ผมไม่เคยแยกหน้าที่ ..สำหรับผมมีหน้าที่เดียวคือ...ต้องช่วยให้ชุมชนเข้าใจและช่วยตัวเองได้...
ชายฝั่งที่งอกออกมาจากการทำปะการังเทียม
วันนี้อยากเล่าถึง...ครูภูมิปัญญาไทยแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง อีกท่านหนึ่ง...
สรณพงษ์ บัวโรย หรือ “ครูพงษ์” ที่คนไม่มีรากเรียกติดปาก ได้รับการยกย่อง จากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 3 ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2546
ย้อนไปเมื่อคราวต้องไปประเมินเชิงประจักษ์ หลังพิจารณาเอกสารที่ส่งมารับการประเมินเพื่อยกย่องเป็น “ครูภูมิปัญญาไทย” นั้น คณะทำงานผู้มีหน้าที่คัดเลือกหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า .. เป็นข้าราชการนะ แต่ทำงานเหมือนพวก NGO. ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่...ต้องดูให้ชัด ๆ
ครั้งนั้นคนไม่มีรากมีหน้าที่ลงไปประเมินกับพี่ร่วมโครงการอีกท่านหนึ่ง อดที่จะบ่นเล็ก ๆ ไม่ได้ว่า เลือกทำไมไม่รู้ พวกมีปัญหา ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ นี่น่ะ ครูภูมิปัญญาไทย ต้องมาจากปราชญ์ท้องถิ่นสิ คนนี้เขาเป็นข้าราชการนะ...จะใช่ล่ะหรือ...
พบครั้งแรก...ก็ยิ่งคล้ายพวก NGO หนักเข้าไปใหญ่เลย เพราะทั้งเล่าทั้งอธิบายแต่เรื่องงานชุมชนที่ตัวเองเป็นผู้ประสานงานในจังหวัดสมุทรสงครามให้กับชุมชน ดึงคนนั้นคนนี้เข้ามาร่วมกระบวนการ ประสานงานขอทุนจาก SIF (สำนักงานกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม) พาไปดูปะการังเทียมที่ทำจากยางรถยนต์เก่า พาไปดูกลุ่มทำกะปิคลองโคน ดูกลุ่มทำน้ำตาลมะพร้าว ดูกลุ่มทำน้ำปลา กลุ่มทำปุ๋ยชีวภาพ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดูหิ่งห้อย สารพัดกลุ่ม….ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย แอบคิดในใจ (อีกแล้ว) ทำอะไรเองบ้างนี่ ล้วนแต่ประสานงาน ช่วยสนับสนุนให้คนอื่นทำทั้งนั้นเลยนี่นา...
พอฟังและดูโน่นดูนี่มาก ๆ เข้า ก็เลยถามทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า
คนไม่มีราก : แล้วคุณสรณพงษ์คิดว่าตัวเองทำหน้าที่อะไรคะ...เท่าที่ฟังมีแต่
ช่วยให้ชาวบ้านทำทั้งนั้นเลย...
ครูพงษ์ : ...นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
...หน้าที่ของผมก็คือการช่วยให้ชาวบ้านรวมตัวกันและช่วยตัวเองได้
คนไม่มีราก : อ้าว...แล้วหน้าที่ที่ทำนี่ไม่ใช่หน้าที่ของนักวิชาการส่งเสริม
การเกษตรหรือคะ ถามเสียงเรียบ ๆ บ้าง
ครูพงษ์ : ผมไม่เคยแยกหน้าที่ สำหรับผมมีหน้าที่เดียวคือ...ต้องช่วยให้
ชุมชนเข้าใจและช่วยตัวเองได้...
คนไม่มีราก : อมยิ้ม...ได้คำตอบแค่นี้ก็พอใจแล้ว...
“ครูพงษ์” ครูภูมิปัญญาไทยแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ผู้เป็นนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร ของสำนักงานเกษตรจังหวัดสมุทรสงคราม แต่มีกระบวนการทำงานที่ประสานกับชาวบ้าน ประหนึ่งเป็นผู้นำชาวบ้าน "ครูพงษ์” นอบน้อมต่อผู้คน ทำงานติดดิน ร่วมกับคนในพื้นที่ และใส่ใจที่จะส่งเสริมพลังอำนาจแห่งตนให้กับชุมชน มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย มีการต่อยอดความรู้ และความรู้สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
งานที่ริเริ่มและยังดำเนินต่อมาจนปัจจุบันคือ “มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่น” ในสมุทรสงคราม
คำว่า “มหาวิชชาลัย” นี้ มาจากหนังสือพระราชนิพนธ์พระมหาชนกโดยแยกเป็นคำต่าง ๆดังนี้ “มหา” คือ มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล “วิชชา” คือ องค์ความรู้ที่หลากหลาย และสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “ลัย” คือ ที่อยู่, พื้นที่ที่ให้ความรู้ เมื่อรวมกับคำว่า “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” จึงมีความหมายลึกซึ้งมากขึ้น “ภูมิปัญญา” คือ องค์ความรู้ที่ก่อเกิดจากการคิดค้น ทดลองทำ สะสมยาวนานสู่ลูกหลาน จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง “ท้องถิ่น” คือ ที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นสังคม
เมื่อรวมเป็นคำว่า “มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่น” จึงได้ความหมายว่า แหล่งความรู้ที่เป็นความรู้ท้องถิ่นที่มีองค์ความรู้มากมาย ที่สามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นที่ต้องการเรียนรู้ได้
ครูพงษ์เล่าถึงกิจกรรมของมหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นสมุทรสงคราม ซึ่งการแบ่งออกเป็น 6 ภาควิชา ได้แก่
1. ภาควิชาเกษตรกรรมและพลังงานยั่งยืน
2. ภาควิชาขนมไทยและอาหารไทยพื้นบ้าน
3. ภาควิชาแปรรูปผลผลิตการเกษตร
4. ภาควิชาศิลปวัฒนธรรม หัตถกรรมพื้นบ้าน
5. ภาควิชาสมุนไพรแพทย์แผนไทยพื้นบ้าน
6. ภาควิชาอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง
บุญปรอด เจริญฤทธิ์ เจ้าของนาเกลือที่ผันตัวเองมาช่วยงานครูพงษ์ในการทำงานให้ชุมชน
งานของครูพงษ์ ล้วนเป็นงานที่ช่วยสนับสนุนให้คนอื่นได้แสดงศักยภาพและทำงานประสานกันอย่างราบรื่น โดยไม่เคยถือเป็นเครดิตส่วนตัวว่าเป็นคนคิดเป็นคนทำ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมคิดร่วมสร้างกระบวนการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งทะเลและการสร้างแนวกันคลื่นหรือปะการังเทียมป้องกันชายฝั่งทะเลในจังหวัดสมุทรสงครามโดยใช้กระบวนการชุมชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของทรัพยากรชายฝั่งทะเล การกลับมาของป่าชายเลนอันเป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์และพันธุ์พืชทางทะเล ทำให้เกิดการต่อยอดความรู้ในการเพิ่มมูลค่าและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน เช่น การทำธนาคารหอย ธนาคารปู การทำน้ำปลา การทำหอยแมลงภู่ดอง การทำไวน์จากผลไม้ป่าชายเลน การทำน้ำหมักชีวภาพจากผลผลิตทางทะเล ฯลฯ
มหาวิชชาลัยภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม จึงเป็นแหล่งศึกษาดูงานของคนที่สนใจ มีกิจกรรมต่อเนื่องและสร้างเครือข่ายโยงใยทั่วประเทศเป็นที่รู้จักกันดี
"ครูพงษ์" กับ "น้องหยก" ลูกสาวที่เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
กิจกรรมทั้งหมดนี้...มั่นใจได้เลยว่า...พึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนแน่นอน เพราะเกิดจากการริเริ่ม ความต้องการ การวางแผน การดำเนินการ และประเมินผลการทำงานด้วยคนในชุมชนเอง...
ต้องกล่าวชื่นชมดัง ๆ ว่า
ครูพงษ์ ..เป็นผู้ช่วยส่งเสริมและสร้างให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
***ลืมบอกว่า ครูพงษ์ก็มีบล็อกใน Gotoknow ใช้ชื่อว่า KM เมืองสมุทร
อ้างอิง: ลิงก์ KM เมืองสมุทร