การเรียนรู้ในวันนี้เป็นการเสนอความคิดเห็น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่หลากหลายเกี่ยวกับการ “จัดการความรู้ “ โดยมีท่านอาจารย์ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช เป็นผู้คอยเสนอแนะและจุดประเด็นการแลกเปลี่ยน ทั้งยังช่วยคอยอุดช่องโหว่ทางความคิดบางประเด็น ที่ขาดหายไปในวงแลกเปลี่ยนของเหล่านิสิตปริญญาเอก สาขาวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยทักษิณ
สิ่งที่กระผมเห็นว่า”ได้รับ” อย่างเป็นรูปธรรมจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันนี้ คือ การจัดการความรู้ในองค์กร/ชุมชน นั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราสามารถที่จะเข้าถึง หรือทำความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง(ท่านอาจารย์ย้ำว่าถ้าเราจะเข้าใจถ่องแท้ต้องลงมือปฏิบัติจริง) ทั้งนี้เราจะต้องไม่ละเลย “ศักยภาพ” ขององค์กรหรือชุมชนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม อีกทั้งการจัดการกับความรู้นั้นบางครั้งเราเข้าไปจัดการโดยขาดความเป็น “เอกภาพ” และขาดการประสานสัมพันธ์ การเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างชุมชน/องค์กร อันจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อประมวลความรู้ใหม่จากฐานคิดเดิมมาจัดทำระบบฐานข้อมูล โดยผ่านกระบวนการจัดการความรู้ “แบบมีส่วนร่วม” เพื่อก้าวไปสู่จุดหมายสูงสุดที่ทุกคนในองค์กร/ชุมชนคาดหวังกระผมมีความเชื่อว่าไม่มีวิธีการหรือกระบวนใดๆ ที่จะเป็นสูตรสำเร็จรูปในการ “จัดการความรู้” เพื่อแก้ปัญหาหรือคลี่คลายวิกฤติใดๆ ในสังคมหรือชุมชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ เหตุผลประการหนึ่งก็คือ บริบทต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ตายตัว “การจัดการความรู้” ก็ย่อมเปลี่ยนไปตามบทบริบทที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ณ ช่วงเวลาที่เราเข้าไป “จัดการ” แต่ทั้งนี้ แม้ว่าเราสามารถจะพัฒนาองค์กร หรือชุมชนให้มีศักยภาพได้ระดับหนึ่งแล้ว ใช่ว่าทุกอย่างจะจบสิ้นลง ปัญหาใหม่ก็จะต้องเกิดขึ้นตามบริบทใหม่เพื่อให้เราจัดการ ซึ่งก็ต้องปรับปรนให้ดีขึ้นไปอีก ทั้งต้องสร้างให้เกิด “ความยั่งยืน” ขึ้นด้วย (ซึ่งหลายคนในวงอภิปรายวันนี้พยายามชี้ไปที่ศักยภาพของตัว “ผู้นำ” ทั้งยกตัวอย่างบางกรณีว่าชุมชนจะอ่อนแอ และไม่สามารถที่จะจัดการอันใดได้เมื่อขาดผู้นำที่เข้มแข็ง) ทั้งนี้อาจมีฐานคิดว่า “ศักยภาพทั้งหมดของชุมชนหรืองค์กรเกิดขึ้นได้เพราะผู้นำคนเก่งอย่างเดียวเท่านั้น โดยละเลยความเชื่อมั่นที่เป็น “พลัง” และ “เอกภาพ” เดิมขององค์กร/ชุมชน เช่น ทุนทางวัฒนธรรม(ภูมิปัญญา/ขนบประเพณี/ความเชื่อ ฯ) ทุนทางทรัพยากรสิ่งแวดล้อม หรือทุนที่เป็นทรัพยากรบุคคล
นอกจากนั้น ยังได้ข้อคิดจากอาจารย์อีกประการหนึ่งว่า “การมองสิ่งใดๆ ไม่จำเป็นต้องใช้กรอบทฤษฎีมาครอบ” เพราะบางครั้งทฤษฎีที่เรานำมาใช้วิเคราะห์ หรือสังเคราะห์อาจเป็นการ “ปิดกั้น” ข้อเท็จจริงหรือบริบทอื่นๆ จนเรามองมันไม่เห็น หรือเราละเลยเพราะคิดว่าไม่อยู่ในทฤษฎี แต่การมองที่เป็น “องค์รวม” ทั้งหมดต่างหากที่สามารถจะเห็นอะไรได้กว้าง และรอบด้านกว่าเพราะเราไม่ “ติดยึด” อยู่กับทฤษฎีใด ทฤษฎีหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่พร้อมที่จะผสมผสานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายและข้อเท็จจริงของความรู้ที่เราเข้าไปจัดการ แน่นอนที่สุดเราคงไม่ละเลยความสำคัญของ “วัฒนธรรม” ไป เพราะผู้คนที่เราสัมพันธ์ในชุมชน/องค์กรต่างก็อยู่บนพื้นฐานทางวัฒนธรรมเดียวกัน อีกทั้งเราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธเทคโนโลยี่สมัยใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเราสามรถใช้มันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดขององค์กรแล้ว เครื่องมือธรรมดาอาจกลายเป็น “สิ่งวิเศษ” ขึ้นมาได้
ในความรู้สึกของผม “การจัดการความรู้” ผมขอสรุปตามความเข้าใจของผมที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ว่า ”เป็นการเก็บ การรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ให้เป็นกลุ่มก้อนเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา(องค์กร/ชุมชน) รวมทั้งการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาบนฐานความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่เดิม ทั้งนี้อาจจะใช้(หรือจำเป็นต้องใช้)เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ จัดระบบ เพื่อสร้างประสิทธิภาพของงานหรือองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศ บนฐานของการดำเนินการ “แบบมีส่วนร่วม “ (ถูกผิดประการใดแล้วแต่ท่านอาจารย์จะชี้แนะครับ)การสอน(ที่อาจารย์เรียกว่า “สอนแบบไม่สอน”) กลับเป็นการจุดประกายความคิดให้นิสิตได้ถกเถียงหาข้อสรุป และเสนอทัศนะที่หลากหลายโดยไม่มีการปิดกั้น พร้อมกับคอยซัก หรือจุดประกายให้นิสิตด้วยกันถกเถียง เป็นบรรยากาศทางวิชาการที่กระตุ้นให้นิสิตตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หากมีการติดขัดประการใดเกิดขึ้นอาจารย์ก็ช่วยชี้ทางให้ ซึ่งกระผมมีความรู้สึกว่าเป็นบรรยากาศการเรียนรู้ภายใต้บรรยากาศที่อบอุ่นยิ่ง ครับ
นายอุทิศ สังขรัตน์
ไม่มีความเห็น