ผมประทับใจมากครับกับค่าย
สิ่งที่สกิดความรู้สึกคือ
ที่พี่ติงพูด"เมื่อก่อนคนเรียนกฎหมายมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน
แต่ปัจจุบันเราเรียนกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคตนเอง"
น่าคิกมากครับ
อาจารย์คะ เรามาค่าย เราได้อะไรมากมายแล้วเราให้อะไรกับชาวบ้านบ้างคะ
..........................................
ถึงนิสิตชาวค่ายทุกท่าน
ตามที่ทุกท่านมุ่งมั่นจะช่วยเหลือชาวบ้านชมภูอย่างที่ตั้งใจไว้ ผมขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่าด้วยเหตุที่ค่ายของเราเป็นค่ายศึกษา ทำให้ชาวค่ายรู้สึกว่ากิจกรรมหลักของค่ายนี้คือ การเข้ามาศึกษษเพียงอย่างเดียวและดูเหมือนจะเป็นการรับเพียงอย่างเดียวซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่ครับ..
สิ่งที่ผมมุ่งหวังมากกว่านั้นคือ การที่นิสิตที่กลับจากค่ายเมื่อเกิดแนวความคิดแล้วก็ทำการถ่ายทอดแนวคิดให้สังคมรับรู้เพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น (ไม่ว่าใครจะเห็นอย่างไรก็ตาม)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอเชิญชวนนิสิตชาวค่ายทุกท่านร่วมกันเขียนblog โดยให้ใช้คำสำคัญว่า "ค่ายสิทธิมนุษยชนบ้านชมภู 1" เพื่อความสะดวกในการค้นหาและรวบรวมครับ
การเขียนblog นั้นเป็นแบบ Free Style ครับเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกระตุ้นให้สังคมรับทราบและตระหนักถึงปัญหาครับ
2 วันกับอีก 1 คืน ประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืมและจะสานต่อเจตนารมณ์ของอาจารย์ครับ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายของไทยในอนาคต
สวัสดีครับอาจารย์
เรื่องที่อาจารย์อยากให้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการไปค่ายครั้งน้ผมคิดว่าจะใช้เป็นกรณีศึกาเปรียบเทียบกับหมู่บ้านของผมครับ
คือที่หมูบ้านของผมมันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับแต่ผมเห็ฯความเข้มแข็งของชุมชนนี้แล้วเลยอยากขบคิดง่าจะนำอไรไปพัฒนาบ้านเกิดผมได้บ้าง
ตอนนี้ขอศึกษษหข้อมูลก่อนนะครับ
อีเมล์ผม [email protected](
ชาวบ้านชมภูได้ให้ข้อคิดอะไรดีดีมากมายจริงๆค่ะ แสดงถึงความเข้มแข็งของคนในชุมชน ความสำนึกรักบ้านเกิด สร้างความตระหนักถึงสภาพสังคมในปัจุบันได้เป็นอย่างดีค่ะ หาชุมชนแบบนี้ได้ยากมากในปัจจุบัน
ประทับใจมากเลยค่ะ ชาวบ้านชมพู เปนชุมชนแห่งนักสู้จิงๆค่ะ ชอบสะพานแขวนมากเลยค่ะเสียวดี
e-mail: [email protected]
การลงพื้นที่ศึกษาปัญหาสิทธิมนุษยชนครั้งนี้ ทำให้พวกเราทราบถึงการออกมาต่อสู้เพื่อป้องกันสิทธิของชาวบ้านจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงโม่หินของชาวบ้านตำบลชมภู โดยการไปสำรวจพื้นที่จริงที่เกิดจากโรงโม่หินแล้วก็ทำให้เราตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านกลุ่มนี้มากขึ้นกว่าการได้รับรู้จากการเรียนในตำรา และยังทำให้เกิดคำถามตามมาว่าในฐานะที่เราเรียนคณะนิติศาสตร์เราจะมีวิธีการใดที่จะช่วยเหลือชาวบ้านกลุ่มนี้เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการทางกฎหมายได้บ้าง
แม้การเข้าค่ายครั้งนี้จะเป็นเพียงการเข้ามาศึกษาปัญหาที่ชาวบ้านตำบลชมภูประสบแต่เพียงอย่างเดียวก็ตาม แต่จากการศึกษาดังกล่าวก็ทำให้เกิดประเด็นแก่นิสิตทุกคนว่าเราจะมีมาตราการใดบ้างที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว(วนแน่ๆเลย) กล่าวคือ ตามความเห็นของผมเห็นว่าการเข้าค่ายครั้งนี้ถือเป็นการจุดประกายความคิดให้กับนิสิตนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเกิดจากการตระหนักถึงปัญหานั้นร่วมกันจากการลงพื้นที่ซึ่งประสบปัญหาจริง ๆ และหลังจากนั้นก็ได้มีการปรึกษาร่วมกัน แม้จะเป็นการมาศึกษาแต่เพียงอย่างเดียวก็ตาม และภายหลังจากการลงพื้นที่ซึ่งเกิดปัญหานั้นก็อาจทำให้พวกเราชาวค่ายมีความเห็นถึงมาตราการที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันทำให้เกิดความหลากหลายของความคิดของแต่ละคนในการแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคต
ความเห็นของผมที่มีต่อค่าย คือว่า ประทับใจคับ
การไปออกค่ายครั้งนี้ต่างกับค่ายอื่นๆที่เคยได้ประสบพบมา ภายในค่ายทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกทางความคิดอย่างเสรีซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างหนึงที่เรามองข้าม(จากประสบการที่ไปออกค่ายมา ค่ายอื่นๆจะใช้ระบบอวุโส/ไซโคซะส่วนใหญ่)ซึ่งคณาจารย์ทุกท่านได้ให้การดูแลนิสิตในค่ายเป็นอย่างดี ยอมเสียสละเพื่อความสบายของนิสิต(เสียสละห้องน้ำ) ขอบคุณมากๆค่ะ(น้ำหนักขึ้นมาโลครึ่ง..สุดยอด)
จากข้อมูลที่ได้จากการออกค่าย เข้าใจได้ว่าชาวบ้านชมพูมีความเข้าใจในสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายแล้ว ทำให้เกิดแรงบรรดาลใจ(อีกครั้ง มันมาเป็นพักๆแล้วก็ไป)อยากให้ชาวตามหมู่บ้านต่างๆที่ห่างออกไปอีกมีความเข้าใจในข้อกฎหมาย เพื่อที่จะเป็นเกราะป้องกันภัย(ต้องใช้คำนี้เท่านั้น)จากกิเลสของบุคคลจำพวกทาสของวัตถุซึ่งถึงแม้ว่ามีการเลิกทาสไปแล้วแล้วก็ไม่ทำให้เผ่าพันธุ์นี้หมดไป(สงสัยเผ่าพันธุ์นิยมสูง)
การไปออกค่ายครั้งนี้ยังมีข้อข้องใจอยู่หลายประการ เพราะข้อมูลต่างๆที่ได้รับนั้นมาจากบุคคลเพียงฝ่ายเดียว(กลุ่มไม่อาจให้สรุปได้ว่าเหตผลของฝ่ายใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน อยากหาคำตอบยิ่งหนักแต่ช่วงนี้การมาของเทศกาลการสอบช่างทำให้เวลาเหลือน้อยเต็มที จึงต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน(แหะ แหะ)
อย่างไรเสียการหาคำตอบก็ยังคงมีต่อไป(คิดว่านะ)ถ้าหากว่าทางคณาจารย์กรุณา หลังสอบแล้ว น่าจะมีการออกค่ายยอ่างต่อเนื่องเพื่อการศึกษาที่ไม่ขาดตอน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นที่เดิม คนที่เขามีปัญหายิ่งกว่านี้ก็มีมากมาย จากข้อมูลที่ได้รับมาจากค่ายที่แล้วมีความเห็นว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์มากกว่าพัฒนา
ขอขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านนะค่ะที่ให้โอกาศในการเรียนรู้ครั้งนี้ หากมีการเยนใบสมัครคร้งต่อไป จะไม่เขียนด้วยความประมาทเลิ่นเล่ออย่าสงเด็ดขาด
การออกค่ายเพื่อศึกษาปัญหาสิทธิมนุษยชนครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกแต่ประสบการณ์ที่ได้รับนับได้ว่าคุ้มค่ามากครับ
ประสบการณ์ที่ผมได้รับ และ ไม่มีวันลืมคือ การต่อสู้ต่อความไม่ยุติธรรมในสิ่งที่ชาวบ้านได้รับ
สิ่งที่ชาวบ้านพูดแล้วผมได้ยินคือ
"ผมจบแค่ ป.4 และ ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย"
นั้นเป็นประโยคที่ผมฟังแล้วประทับใจมากเลยครับ ทำให้ผมคิดได้ว่า มนุษย์เราไม่ว่าจะมีสถานะทางสังคมเช่นไร ต่างก็มีจิตสำนึกในการหวงแหนในสิ่งที่ชุมชนของตนมีอยู่ และ พร้อมที่จะปกป้องสิทธิที่ชุมชนมีอยู่เท่าที่จะกระทำได้
ชาวบ้านชมภูสำหรับตัวผม คือ นักสู้ ที่ยิ่งใหญ่ นักสู้ผุ้เห็นแก่ส่วนรวมและทรัพยากรสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นทรัพยากรที่คนส่วนใหญ่ หวังที่จะกอบโกย เอานจากธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่เคยคิดถึง ปัญหาที่จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การลงพื้นที่ครั้งนี้ข้าพเจ้าประทับใจ ในมิตรภาพ ที่ชาวบ้านมอบให้ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก้ตาม ทำให้ข้าพเจ้าดิดว่า ถ้าหาก ประชาชน ส่วนใหญ๋ของประเทศ ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสิทธิ ของการเป็นมนุษย์มากกว่านี้ ปันหาต่างๆๆก้คงมีน้อยลง ชาวบ้านไม่ได้เก่ง หรือมีความรุ้มากมายในการที่จะไปต่อสุ้กับ คนที่มีความรู้ ย่อมถูกกลั้นแกล้ง จนทำให้มองว่ากระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถทำให้คนที่กระทำผิดถูกลงโทษ ในความคิดของชาวบ้านคิดว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากทำให้พวกเค้าจม ลงไปเรื่อยๆๆ
เราในฐานะนักกฎหมายในอนาคต ควรที่จะตระหนัก และ เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษากฎหมาย ไม่ได้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนที่เค้าต่อสุ้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม นั้นมากกว่าที่จะเป็นสิ่งที่นักกฎหมายที่ดีควรทำ มากกว่า ลาภ ยศ และตัวเอง เพียงอย่างเดียว
ปล.ผมอยากให้มีกิจกรรม ค่ายเป็นครั้งที่สอง เพื่อที่พี่น้องค่ายจะได้ช่วยอะไรได้มากกว่านี้คับ
โหวว ค่ายนี้ประทับใจสุดๆๆค่ะ เฟริน์เองเปนคนพิดโลกเองแท้ๆ แต่ไม่เคยรับทราบถึงปัญหาของชาวบ้านที่ชมภูเลย สะท้อนให้เหนว่าปัญหาเหล่านี้อยู่ใกล้ๆตัวเราแล้วก็ไม่ใช่แค่ที่บ้านชมภูแต่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ในหลายๆพื้นที่อย่างแน่นอน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านชมภูเปนเพี่ยงส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เราได้เหนว่ายังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังต้องการความช่วยเหลือและความร่วมมือจากพวกเรา
นักกฏหมายที่มีคุณธรรม ตรงนี้สำคัญมากนะค๊ะ...
"ผมจบแค่ ป.4 และ ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย"
แต่คำพูดทุกคำของคุณลุงและคุณพ่อผู้ใหญ่..
คำพูดง่ายๆ แต่จริงใจ
และแสดงออกถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์จริง
คำพูดที่แม้แต่คนที่ร่ำเรียนกฎหมายสูงๆ ก็ไม่อาจพูดได้
แม้คุณลุงจะไม่ได้ความรู้จากการร่ำเรียนในสถาบันการศึกษา
แต่ฉันเชื่อว่า ..คุณลุงมีความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงมากกว่าคนที่เรียกตัวเองว่ามีการศึกษาหลายคน
ประทับใจจากค่ายแรกค่ะ
ส้มโอ
วันแรกของการไปค่าย
อาจารย์ถามเราว่า..."รู้สึกอย่างไรกับการออกค่ายครั้งนี้บ้าง?"
ตอนแรกก็ลองคิดหาคำพูดที่สวยหรูร่ายยาวเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างก็พูดกันไปหมดแล้ว อีกทั้งยังประกอบกับความง่วงที่ทับถมอย่างหนัก พอถึงตาเราที่ต้องตอบคำถาม
ก็เลยตอบไปเพียงแต่ว่า"ดีค่ะรู้สึกดีกับการมาค่าย เพราะว่าเป็นค่ายแรกของการเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ นอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ก็ยังได้เพื่อนมากมาย เพราะมีแต่คนพยายามจะคุยกับเรา ยัดเยียดความเป็นเพื่อนให้ดีค่ะ อบอุ่นดี" ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของคนในค่าย ..หึๆๆ..ก็ยังดีนับว่ายังเรียกเสียงหัวเราะได้
แต่ที่จริงอยากตอบว่าดีมากเลยที่ตัดสินใจมาค่ายครั้งนี้ ชาวบ้านที่บ้านชมภูแข็งแกร่งมากต้องยอมรับจริงๆ ทุกคนพร้อมที่จะเผชิญกับอิทธิพลต่างๆเพื่อบ้านเกิด ผิดกับเราเองที่รู้เกี่ยวกับกฎหมายดีแท้ๆ แต่กลับไปใช้รักษาบ้านเกิดไม่ได้ ปากก็พูดบอกว่าเรียนจบไปแล้วจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตน แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ได้ทำไรอะไรเลย
ควมจริงแล้วคนเราไม่ได้ผิดต่อคำพูดของตน เพียงแต่ไม่มีเวลาในการที่จะทำให้คำพูดเหล่านั้นเกิดขึ้นต่างหาก เพราะมัวแต่สนใจแต่เรื่องของตนมากเกินไป
พอกลับจากการเข้าค่ายครั้งนี้ทำให้เราเริ่มอยากจะรู้ความเป็นไปเกี่ยวกับบ้านเกิดเราเหมือนกัน...
เราในที่นี้หมายถึงคนเขียนน่ะ ไม่ได้พาดพิงถึงใคร
e-mail: [email protected]
อยากบอกอาจารมากเลยค่ะว่าการไปเข้าค่ายครั้งได้อ่ะไรหลายๆอย่างกับหนู
ได้ทั้งความรู้ แนวคิด ความสนุกสนาน และอะไรๆอีกหลายๆอย่างการออกค่ายครั้งนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าหนูควรตั้งใจเรียนให้มากขึ้นและมันทำให้หนูรู้ว่าหนูเรียนนิติศาสตร์เพื่อจุดประสงค์อะไรอย่างน้อยหนูก็ได้รู้ว่านิติศาสตร์สามารช่วยเหลือคนที่ด้วยโอกาสได้
อยากบอกอาจารว่า"ขอบคุณมากๆค่ะ" และอยากให้อาจารจัดค่ายแบบนี้อีกบ่อยๆหนูจะได้ไปอีก อิอิ
e-mail:[email protected]
หลังจากไปออกค่ายครั้งนี้รู้สึกว่าเป็นค่ายแรกที่ทุกคนที่ไปแล้วกลับมากล่าวถึง
สิ่งที่ได้พบได้เจอ ต่างเรื่องราวและแง่มุม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือ หลายคนคิดอะไรได้มากขึ้นจากสิ่งที่แต่ละคนได้เจอ
หลายคนพยายามที่จะสานต่อสิ่งที่ตนเองคิดอยากจะทำก็อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน
เพราะ 1 ความคิดของชาวค่าย 1 คนอาจเป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายโครงการ
แต่อย่างไรก็ตามแม้สิ่งที่เราคิดอาจจะไม่ได้ทำแต่อย่าน้อยเราก็ได้ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหากเราอยากแก้ไขและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเราต้องเดินเข้าหาปัญหา ไม่ใช่การตั้งรับอยู่กับที่เพราะปัจจุบันปัญหาเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด
สร้างสรรค์และสานต่อ
ค่ายนี้สนุกค่ะ
อีเมล์ : [email protected]
ค่ายนี้สนุกครับ
อีเมล์ : [email protected]
มารายงานตัวช้าไปนิดสส์คะ มาช้ายังดีกว่าไม่มานะคะ
หลังจากค่ายครั้งนี้มีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่พบเจอและสัมผัสได้คือ
รอยยิ้ม....ของชาวบ้านที่ให้การต้อนรับผู้มาเยือน
เสียงหัวเราะ....ของน้อง ๆ ที่อีกไม่กีปีคาดหวังว่าเค้าคงจะเป็นกำลังสำคัญของที่นี่(หากไม่ถูกกระแสสังคมเมืองซัดมากเกินไป) และ
ความมุ่งมั่น....ของชาวค่ายหลายๆ คน ถูกจุดขึ้นมา (อีกครั้ง )
เคยได้ฟังคำพูดเพ้อเจ้อที่บอกว่า "ภายใต้เลือดและเนื้อ มีความคิด และความคิดกันกระสุน" แรก ๆฟังอาจไม่เข้าใจนัก จนกระทั่งได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง
ที่ถูกถ่ายทอดและบอกเล่าจากกลุ่มคนที่เป็นเงาของความคิดของ ผู้ที่จากไป...(พีโจ)
ตอนนี้ความคิดของพี่โจกันกระสุนมา เกือบ 8 ปีแล้ว
มันยาวนาน พอ ๆ กับที่ชาวบ้านรอคำตอบของคำถามที่ว่า
ความยุติธรรม มันยังคงมีอยู่จริงมั้ย ?
คำถามนี้อาจกระตุกต่อมใครต่อใครหลายๆ คน (รวมถึงหนูด้วย)
ความแข็งแกร่งของชุมชน ที่เกิดจากคนตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง
ลุกขึ้นมาประกาศว่าตัวเองว่า ต่อต้านการสร้างโรงโม่ กระทั่งถึง การสร้างเขื่อน
การยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐ ใช่ว่าจะอยู่ในฐานะศัตรู
หากแต่เป็นการยืนหยัดเพียงเพื่อรักษา ผืนป่าอันอุดมให้คงอยู่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้อยู่ชั่วลูกชั่วหลาน
สิ่งที่ชาวบ้านยืนยันคือ ไม่ต้องการเขื่อน เพราะพอใจแล้วกับการทำนาปีละครั้ง
พอหน้าฝนเข้าป่าหาหน่อไม้ ไม่วัดความร่ำรวยหรือความเจริญตรงที่วัตถุหรือเงินทอง เพียงพอเท่าที่ธรรมชาติจะอำนวย
ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ดีและน่าจะยอมรับความคิดเห็นของคนในชุมชน
อีกฟากหนึ่งของชาวบ้านที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน (ซึ่งเราไม่ได้ลงไปสัมภาษณ์) ตรงนี้เค้าอาจจะมีเหตุผลอีกเช่นกัน
แต่การจะทำอะไรที่กระทบกระเทือนคนหมู่มากแล้ว จำต้องเลือก เ ห ตุ ผ ล ที่ ดี ที สุ ด
หากการทำเขื่อน เพียงเพื่อแค่เหตุผลทางเศรษฐกิจ + การท่องเทียว
คุ้มหรือไม่ในระยะยาว ?
ตรงนี้ฝ่ายที่เห็นด้วยอาจตอบได้เป็นตัวเลขทีมีมูลค่าสวยหรู
ส่วนฝ่ายที่เค้าไม่เห็นด้วย คงได้แต่เพียงบอกว่าผืนป่าหมดไปอีกแล้ว 3 พันกว่าไร่
หวังอยู่ลึก ๆ ว่ามันน่าจะมีทางออกที่ดีที่สุด
และหวังอยู่ลึก ๆ (ไม่รู้กี่เมตร 55+)ว่าแสงเทียนครั้งนี้ที่ถูกจุด แก่เพื่อนชาวค่าย
จะไปสว่างไสว ตอบคำถามให้แก่สังคมและร่วมหาทางออกที่ดีทีสุดให้หลาย ๆชุมชนที่กำลังประสบปัญหา
------------------------------------------------------
ข่าวฝากด่วนครับ
ตอนนี้พึ่งทราบข่าวจากข่าวท้องถิ่นของ CableTVพิษณุโลกช่วงเวลา 24.00น.ว่า ที่บ้านชมภู ตำบลชมพู อำเภอเนินมะปราง มีน้ำป่าหลากมาเข้าท่วมหมู่บ้านฝั่งขวา น้ำสูงขึ้น 100 เซนติเมตรครับ ชาวบ้านบางส่วน ประมาณ 30 ครัวเรือน ถูกอพยพมารวมตัวกันอยู่ที่วัดบ้านชมภูครับ โดยมีหน่วยราชการเข้าไปให้ความช่วยเหลือแล้วครับ ถ้ามีอะไรด่วนเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบอีกครั้งครับ พรุ่งนี้ผมจะติดต่อผู้ใหญ่บ้าน/ พี่เทพ / ติงดูครับ ว่าได้รับความช่วยเหลือแล้วหรือยัง
หากต้องการกำลังเสริม
เรียกตัวได้นะค่ะ
(หากตรงกับวันที่สอบ งดสอบเลย อิอิ)
ตอนนี้จะช่วยน่งภาวนาให้ทุกคนปลอดภัย
ทราบขาวเหมือนกันครับ
อยากทราบว่าเป็นไงบ่างครับ
อาจารรายงานให้ทราบด้วยนะครับ
เห็นว่าไปอยู่ที่วัดกัน
หากขัดสนไง
ก็ให้บอกด้วยนะครับพวกเราพร้อมช่วยครับ
เมลล์เบนนะครับ [email protected]
แอดมานะชาวค่ายแล้วเรามาเม้ากัน
งั้นคงได้ฤกษ์ยกเรื่องเขื่อนมาเล่นอีแน่แล้วครับ