ตามเพื่อนไป เมืองกรุง....... ( 1)


รุ่งอรุณในเมืองหลวง

 

     ได้รับการชักชวนจากเพื่อนรักว่า  จะไปอบรมด้วยกันมั้ย 21 - 23 นี้ ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง อย่าจมอยู่กับความเสียใจจากการที่สูญเสียคุณแม่ไป หักใจเสียบ้างนะ  นั่งคิดทบทวนคำพูดของเพื่อนอยู่หนึ่งคืน ก็คิดว่า ไปเที่ยวสัก 2 - 3 วันก็ดี เผื่อจะคลายความคิดถึงลงได้บ้าง และไม่ได้เที่ยวด้วยกันในกรุงเทพฯมาสิบกว่าปีแล้ว เพราะต่างคนต่างมีครอบครัวกันไป และบวกกับกองหนุนจากเจ้าน้องชาย ที่เห็นพี่สาวเงียบๆเหงาๆ  ตัดสินใจแล้วก็โทร.กลับทันทีว่า ok.จะไปด้วย ไปกันสามคน น้องชายขับรถไปให้ เอารถไปทิ้งไว้ที่แฟลตน้องเค้านะ  แต่เพื่อนบอกว่าเราสองต้องไปพักกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านประดิพัทธ์ เพราะโรงแรมที่จัดอบรมเต็มหมดแล้ว ขนาดจองล่วงหน้าเป็นเดือน ยังเต็มหมดเลย (เออ..โรงแรมก็โรงแรม.. ตกลง)     

     เราสามคนเดินทางถึงกรุงเทพฯ ประมาณหกโมงครึ่ง เกือบมืดแล้ว น้องชายเอารถกลับไป  ปล่อยให้สองสหายอยู่กันตามลำพัง มีเวลาเดินเที่ยว 2 - 3 ชั่วโมง แลเห็นผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่   บนถนนมีรถราวิ่งไม่ขาดระยะ หมดโอกาสเดินข้ามถนนเหมือนบ้านนอกเราเลย ต้องใช้แต่สะพานลอยเท่านั้น

     ได้เวลาหิวอาหารเย็น เราสองคนก็เดินปรี่ไปที่ห้องอาหารใกล้ๆโรงแรมที่พัก   ซึ่งจัดบรรยากาศได้อย่างน่าเชิญชวนให้แขกเข้าไปลิ้มชิมรสชาติของอาหารเป็นอย่างยิ่ง ตกแต่งด้วยต้นไม้นานาชนิด เขียวชอุ่มดูแล้วร่มรื่น ยังนับว่ามีปอดให้คนกรุงหายใจเพิ่มขึ้น  นอกจากนั้นยังประดับประดาด้วยไฟสวยงาม  คงจะเปลืองค่าไฟน่าดู

                                          

พอเดินเข้าไปพนักงานเสริฟทั้งหญิงทั้งชาย ยกมือไหว้เป็นอันดับแรกก่อนเลย ต้อนรับด้วยน่าตายิ้มแย้มแจ่มใส  เป็นวิถีแบบไทยๆที่ยังมีให้เห็นในเมืองหลวง พอเราสั่งอาหารมานั่งรับประทานกัน และมีโต๊ะใกล้เคียงอีกประมาณ 3 - 4 โต๊ะ เสียงดนตรีก็บรรเลงขึ้น   เหมือนกับรู้ใจกันเลย ว่ามาจากเมืองปากน้ำโพ   ได้ฟังเพลงลุ่มเจ้าพระยา  ประทับใจจริงๆค่ะทั้งเพลงทั้งการต้อนรับ สองคนเม้าท์กันเพลินจนสามทุ่มกว่า   รับประทานอาหารเสร็จเราก็กลับที่พัก หมดแรงจากการเดินทางและเดินเที่ยว(ด้วยวัยอาวุโสมั้ง) อาบน้ำเสร็จก็หลับสนิทกันทั้งคู่

   จวบจนรุ่งเช้า ปกติอยู่บ้านนอกตอนเช้ามืดจะได้ยินเสียงไก่ขัน  เสียงนกเสียงกาส่งเสียงร้องให้จ้อกแจ้กจอแจ  เรียกพวกพ้องเพื่อนฝูงให้ออกหาอาหาร  เราก็พลอยตื่นพร้อมไก่ไปโดยปริยาย เช่นเดียวกันเมื่อเปลี่ยนบรรายากาศเข้าเมือง  เมื่อถึงเวลาก็ต้องตื่น แต่ไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา   เปิดม่านไว้แลเห็นพระอาทิตย์เริ่มขยับเขยื้อนจะพ้นขอบฟ้า มองดูแล้วสดชื่นเหมือนอยู่ที่บ้านเราเลย อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน  ตะวันดวงเดียวกัน หากแต่พอรุ่งอรุณในเมืองหลวง บ่งบอกให้รู้ว่า เราต้องเตรียมตัวออกเดินทางกันแล้ว  อยู่เมืองหลวงแตกต่างจากชนบท ที่ต้องแข่งกับเวลา แข่งกับการเบียดเสียดแออัดทั้งการเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ค่อยจะสะดวกสบาย  เพราะต้องบวกเวลาเผื่อรถติดไว้ด้วย   ทุกคนต้องเร่งรีบบางครั้งเลยดูเหมือนแล้งน้ำใจ    กลายเป็นการเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้ตั้งใจ

                      

                                       

 

       ไม่ว่าจะอยู่ในชนบทบทหรือเมืองหลวง สิ่งที่เหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน คือเราทุกคนต้องแข่งขันกับตัวเอง ในทุกๆเรื่อง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดและมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ให้คนรอบข้างเดือดร้อน 

หมายเลขบันทึก: 178409เขียนเมื่อ 24 เมษายน 2008 00:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

มาทักทายอาจารย์ก่อน แล้วจะมาใหม่นะครับ อิอิๆๆ

สวัสดีค่ะ อาจารย์ขจิต

  • ขอบคุณที่แวะมาทักทาย
  • ชีพจรลงเท้าเหมือนกัน  รู้สึกว่าอาจารย์จะไปทั่วแล้วนะคะ
  • เดินทางปลอดภัยค่ะอาจารย์

สวัสดีค่ะ ท่านผอ.ประจักษ์

  • ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมและให้กำลังใจค่ะ
  • ขอชื่นชมผลงานของท่านผอ. เก่งทั้งโรงเรียนเลยค่ะ
  • ขอบพระคุณอีกครั้ง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท