ข้อคิดของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน Gotoknow คือ "เรามิใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น"


การเกิดมาในชีวิตนี้ เราไม่ควรให้ความสำคัญตนผิดมาครอบงำใจเรา ไม่ควรให้อารมณ์ที่เป็นไปในทางลบมาก ลบความงดงามของชีวิตที่มีค่ามหาศาลนี้ แต่ควรเปิดใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยความอ่อนโยน และยอมรับที่จะทำตัวให้เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดินด้วยหัวใจที่งดงาม เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข และมีความดีเป็นอาภรณ์ประดับใจในวันข้างหน้า

การใช้ชีวิตในสังคมเสมือนโดยผ่านเว็บไซต์ Gotoknow เป็นเวลา 6 เดือน ทำให้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ทั้งดีและไม่ดี เสมือนโลกจริงอย่างใดอย่างนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

ผมไม่เข้าใจหรอกว่า Gotoknow เกี่ยวกับการจัดการความรู้ การประกันคุณภาพ KM TQR Porfolio อย่างไรกันแน่ ไม่ทราบ ... เขียนบันทึกให้ความรู้เรื่องนี้กันมาหลายท่าน ก็ล้วนแต่มีคำเฉพาะอยู่มากมาย ไม่ชวนให้น่าสนใจติดตามสำหรับคนที่ไม่ฉลาดอย่างผม คือ อ่านแล้วไม่สนุก ใจก็ปิดไปเสีย

 

แต่ที่แน่นอน คือ Gotoknow มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือ "การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน"

ถ้าเป็นสมาชิก .. ก็ถ่ายทอดความรู้ของตนในรูปของการเขียนบันทึก, การอ่านบันทึกสมาชิกท่านอื่น การแสดงความเห็นสำหรับความรู้ในบันทึกนั้น ๆ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไรก็ตาม

ถ้าไม่เป็นสมาชิก ... ก็จะอ่านบันทึกที่สนใจเป็นหลัก พร้อมกับอยากแสดงความคิดเห็นก็ทำได้ในบันทึกที่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่สมาชิกแสดงความคิดเห็นได้ในบันทึกนี้ เหมือนสมาชิกคือ อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย

 

แต่สิ่งที่พบเห็นหลายครั้งหลายหนคือ ความขัดแย้งระหว่างเจ้าของบันทึก กับ ผู้แสดงความคิดเห็น (ทั้งเป็นสมาชิก และไม่เป็นสมาชิก)

 

เจ้าของบันทึกในเขียนในแง่มุมของตัวเอง ในขณะที่ผู้แสดงความคิดเห็นก็แสดงความคิดเห็นในแง่มุมของตัวเองเช่นกัน ... หากเจ้าของบันทึกยังยืนยันว่าตัวเองคิดดี คิดถูก ก็จะตอบโต้กลับมายังผู้แสดงความคิดเห็น บางทีก็แรง ไม่ไว้หน้า ด่าทอ เอาอัตตา ความเป็นตัวตนนำมา หรือไม่ก็คิดว่า ไม่รู้หรือไงว่า ผมเป็นใคร ชั้นเป็นใคร ในที่ทำงานของชั้นใคร ๆ ก็ต้องยกมือไหว้หัวโขนของชั้น หรือไหว้ครุยวิทยฐานะของชั้นไง สามบั้ง ไม่เห็นหรือไง

บรรยากาศการไม่ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองขี้เท่อที่ทะเลาะกัน ไม่สนใจส่วนรวม สนใจแต่ตนเอง ... อย่ามาบอกว่า ผมตำแหน่งนี้ การศึกษาโน้น ใครจะมาแสดงความคิดเห็นแตกต่างจากผม ไม่ได้ ... ต่างจากผม คือ ผิด ตั้งตนเป็นศัตรูกับผม

 

ผมไม่อยากให้บรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น ซึ่งผมก็ทราบดีว่า ห้ามกันไม่ได้หรอก ร้อยพ่อ พันแม่ เรียนต่ำ เรียนสูง มันก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีเหตุผล ก็คือ ไม่มี นั่นแหละ

 

ข้อเขียนของท่านผู้มีปัญญาท่านนี้ อาจจะทำให้ท่านฉุกคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาสักเรื่อง แต่สำหรับผม เมื่อได้อ่าน ก็คิดถึงเรื่องที่กล่าวไว้ข้างต้น การมองเห็นบรรยากาศการไม่ยอมรับคิดเห็นของคนอื่น เพราะว่า คน ๆ นั้น คิดว่า "ตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น" ... คิดแค่นั้นนั่นแหละ นำมาซึ่งความขัดแย้ง

 

โปรดอ่านข้อเขียนนี้ และลองไตร่ตรองถึงตัวเองดู

 

เรามิใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น

 

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่า เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์โลกทั้งหลาย ภาวะของความเป็นมนุษย์ สามารถพัฒนา เพื่อจะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปได้ทว่าในความโชคดีก็มักมีความโชคร้ายแฝงตัวอยู่เสมอ เพราะมนุษย์มีจิตใจที่ซับซ้อนกว่าสัตว์ชนิดอื่น จึงทำให้มีทั้งความสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป

ยิ่งมนุษย์ไร้วิธีการจัดระเบียบความซ้ำซ้อนในชีวิตของตัวเองด้วยแล้ว สิ่งที่ตามมาก่อเป็นความหมองเศร้าที่ยากเกินกว่าจะสลัดให้หลุดออกไปได้ มนุษย์จึงต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้นตราบนานเท่านาน ที่สำคัญสิ่งที่ก่อให้คนเรามีความแปลกแยก และห่างจากความเข้าใจอันดีงามในชีวิต นั่นก็เพราะ "ความสำคัญผิดในตัวเอง"

 

บางครั้งเป็นที่น่าเสียดาย บทเรียนแห่งชีวิตที่คนเราเรียนรู้กันมา เพราะถ้ามองโดยคุณค่าที่ควรจะเป็นสำหรับคนเรา บทเรียนที่ผ่านมาสำหรับคนที่จิตใจดีงาม อ่อนน้อมถ่อมตน และโค้งคารวะตามธรรมชาติ เขาย่อมเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าสิ่งดีงามด้วยความยินดีและรู้คุณ

ต่างจากคนที่สำคัญตนเองผิด ความรู้ที่ได้รับอาจเป็นเพียงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่ช่วยตกแต่งให้เกิดความเข้าใจผิดในชีวิต และเพิ่มพูนความเป็นตัวตนของเขาให้หนาขึ้น สิ่งที่ได้รับมาจึงเป็นไปเพื่อทับถมให้ผู้อื่นต่ำต้อยกว่าตน หรือเป็นการได้มาเพื่อกลบคุณค่าของตัวเองให้ด้อยค่าลง

 

การสำคัญตนผิดถือว่า เป็นการเดินทางไปสู่หายนะอย่างน่าใจหาย ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้คน หน่วยงานที่เกี่ยวพัน และสภาพแวดล้อมที่ตัวเองเสพคุ้น สิ่งที่เกี่ยวข้องล้วนเสี่ยงต่อการนำมาซึ่งความทุกข์และปัญหาทั้งสิ้น

 

เพราะความสำคัญผิด จึงทำให้เราตัดสินใจเพียงลำพัง โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจ

เพราะความสำคัญผิด จึงทำให้เราข่มคนอื่นด้วยกิริยาและท่าทีที่ไม่เป็นมิตร

เพราะความสำคัญผิด จึงทำให้เราห่างเหินจากมิตรภาพที่งดงามจากคนรอบข้าง

เพราะความสำคัญผิด จึงทำให้เราถอยห่างจากคุณค่าของชีวิตที่ควรจะได้รับมากกว่าที่ควรจะเป็น

 

เมื่อทำความเข้าใจด้วยปัญญา เราจะเห็นได้ว่า การก้าวไปในแต่ละขณะของชีวิตนั้น มีสิ่งที่รอคอยการเรียนรู้จากเราอีกมากมาย มิใช่ว่าต้องติดยึดอยู่กับความคิดเห็นของตัวเองฝ่ายเดียว เพราะการคิดเห็นเช่นนี้ ถือเป็นการกักขังให้สติปัญญาที่มีอยู่แคระแกร็น ซึ่งไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่ถูกดัด จนะไม่มีโอกาสได้ชูต้นตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

แต่หากยอมเปิดใจรับรู้และทำความเข้าใจกับโลกที่กว้างใหญ่ ย่อมทำให้รู้ว่าแท้จริงเราเป็นแค่เพียงหน่วยเล็ก ๆ ของโลกเท่านั้น เพราะยังมีอะไรอีกมากมายที่รอการค้นหาจากเราผู้เยาว์วัย แต่เพราะความสำคัญผิดที่เราสร้างเป็นกรอบขังสติปัญญา จึงทำให้เรามองสิ่งใดแล้วสรุปตามความเข้าใจของตน จึงเป็นเหตุให้ประสบกับควาามเขลาอยู่เรื่อยมา

 

มีครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ไปกราบนมัสการ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี เขาได้กล่าวเชิงสงสัยและไม่มั่นใจในคำสอนทางพระพุทธศาสนาว่า

"พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วิทยาศาสตร์เขาดีกว่า ทำอะไรเขาก็พิสูจน์ได้เยอะ ทำอะไรออกมาก็ปรากฎให้เห็นได้ แต่พุทธศาสนาพิสูจน์ไม่ได้"

 

ฝ่ายหลวงพ่อชา เมื่อรับฟังความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์แล้ว เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์อีกด้านให้เขาได้เรียนรู้ ท่านจึงกล่าวให้ข้อคิดว่า

"เราอาจยังไม่ถึงพุทธศาสตร์ก็ได้ ก็เหมือนกับว่ามือเรามันสั้น แต่รูมันลึกไป เราล้วงมือลงไป มือมันสั้นมันสุดแค่นี้ แต่รูมันยังลึกเข้าไปอีก เราจะปฏิเสธว่า เอ๊ะ ! รูมันหมดแค่นี้เอง มันจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่ ความจริงมือเรามันสั้น เหมือนกับว่าเครื่องบินมันบินไป เครื่องบินนั้นมีอยู่ แต่สายตาของเรามันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่เห็นเครื่องบิน แต่เครื่องบินมันยังมีและบินไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่ามันไม่มี"

 

เมื่อพิจารณาคำกล่าวของหลวงพ่อชา บางครั้งชีวิตคนเราไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ ที่มองยังไม่เห็นความลึกซึ้งของความรู้อีกด้านหนึ่ง แต่มักสรุปเป็นความเข้าใจส่วนตัวว่า "เรารู้แล้ว"

ถ้าเรามีวิธีคิดที่เข้าข้างตัวเองอยู่บ่อย ๆ นั่นเชื่อว่า เราปิดประตูแห่งการเรียนรู้ของตัวเองอย่างน่าเสียดาย เพราะเมื่อใจปิดตัวเองลง ถึงแม้จะมีสิ่งดีงามเรียงรายอยู่มากมาย สิ่งที่มีอยู่ก็เปรียบเป็นแค่ขยะเน่าที่อยู่ข้างบ้านของเราเท่านั้น

 

สิ่งดีงามที่เจิดจำรัสสำหรับปราชญ์ จะกลายเป็นซากของความรู้ที่ไม่มีโอกาสฉายแสงสำหรับคนใจแคบ ความเพริศแพร้วของความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ต่างอะไรจากเศษก้อนหินที่วางระเกะระกะบนเนินเขา สิ่งที่มีอยู่จึงเป็นเพียงความด้อยค่าสำหรับคนที่หลงใหลใจตัวเอง

แต่สำหรับคนที่เปิดใจกว้างและไม่สำคัญตนเองผิด สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนเป็นคำถามที่ทำให้ตัวเองมีโอกาสเรียนรู้อยู่ในที ถึงแม้จะเป็นความเลวร้ายที่พานพบ แต่ก็มักมีจุดจบที่เป็นความสุขเสมอ หากเป็นความดีงามที่ประสบ ยิ่งทำให้ความเด่นสวยในชีวิตได้มีโอกาสเผยตน และฟ้องความงามของการเกิดของบุคคลนั้นอย่างน่าชื่นชม

 

ฉะนั้นการเกิดมาในชีวิตนี้ เราไม่ควรให้ความสำคัญตนผิดมาครอบงำใจเรา ไม่ควรให้อารมณ์ที่เป็นไปในทางลบมาก ลบความงดงามของชีวิตที่มีค่ามหาศาลนี้ แต่ควรเปิดใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยความอ่อนโยน และยอมรับที่จะทำตัวให้เหมือนเด็กที่เพิ่งหัดเดินด้วยหัวใจที่งดงาม เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข และมีความดีเป็นอาภรณ์ประดับใจในวันข้างหน้า

ถ้ามีสติที่มากพอ เราจะรู้ว่า การสำคัญตนผิด ถือว่า เป็นเรื่องน่าอายสำหรับการเรียนรู้ชีวิตของเราเอง

 

 

การรู้จักตนเองเป็นสิ่งสำคัญ การกระทำใด ๆ ก็ตาม ย่อมต้องมีสติเป็นตัวกำกับ เมื่อปัญญาเกิด คุณจะเข้าใจในข้อเขียนนี้เอง ... แต่ถ้าไม่เข้าใจ ปล่อยผ่านมันไปเถอะครับ ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก และก็ไม่ต้องมาใส่ใจ ถือว่า เป็นแค่บันทึกขยะที่รอวันทิ้งลงสู่ถังเท่านั้น

พรุ่งนี้ เทศบาลฯ ก็มาเก็บไปทิ้งแล้ว

 

สวัสดีครับ :)

 

 

แหล่งอ้างอิง

ชุติปัญโญ (นามแฝง). ทำใจเสียบ้าง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น. พิมพ์ครั้งที่ 9.

              กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ใยใหม, 2550.

หมายเลขบันทึก: 174770เขียนเมื่อ 2 เมษายน 2008 15:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (37)

สวัสดีค่ะ อ.วสวัตดีมาร

เข้ามาป่วนเพราะชอบคำว่า เรามิใช่คนสำคัญกว่าคนอื่นค่ะ ^ ^

หลายเดือนมาแล้วเบิร์ดได้ฟังคนสำคัญผู้หนึ่งเล่าถึงคุณพ่อของเค้าว่า

ก่อนคุณพ่อจะถึงแก่กรรม ท่านได้ให้ คำแนะนำอันมีค่ายิ่งซึ่งได้ช่วยให้เขาเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ เป็นกฎง่ายๆ 3 ข้อค่ะ

ข้อแรก อย่ากลัว “เขา” เพราะคนส่วนมากร้อยทั้งร้อยล้วนกลัว “เขา” เสียจริงๆ นะคะ…”เขา”ว่าอย่างโน้น “เขา”ว่าอย่างนี้ กลัวไปเสียหมดจนแทบไม่ต้องทำอะไร

และ “เขา”ก็กลายเป็น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไปซะนี่

กลัว “เขา” จะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราเห็นว่าดี และถูกต้องแล้ว ทำไปเถอะ

เนาะคะ...“เขา”จะว่าอย่างไรช่าง”เขา” ^ ^

ข้อสอง ...“อย่าพยายามสะสมสิ่งของใดๆ ..อย่าไปยึดถือว่าเป็นของเรา “ อย่างการเลี้ยงแมว ถ้าแมวตายก็ตาย… อย่าเอาหัวใจให้แมวแทะนะคะ อิ อิ อิ ระวังอย่าให้อะไรมามาทับหัวใจ มีตึกแล้วตึกจะพังก็ช่างตึกไปอยู่กระท่อมก็ได้เนาะคะสบายใจดี อย่าให้ตึกมาทับหัวใจเราจนไม่มีความสุขในชีวิต.. เก็บหัวใจไว้ให้ดีเพราะหัวใจเป็นบ่อเกิดแห่งความรื่นรมย์ของชีวิตค่ะ..ฮี่ ฮี่ ฮี่

ข้อสาม รู้จักหัวเราะตัวเองเสมอๆ ..ทุกๆ

คนย่อมมีสิ่งที่น่าหัวเราะอยู่ในตัวทั้งนั้นนะคะ

แต่พวกเราส่วนมากชอบหัวเราะคนอื่นจนลืมคุณประโยชน์ของการหัวเราะตัวเองที่ทำให้เราไม่ลืมตัว ..

จะเห็นว่ากฎง่ายๆ 3 ข้อนี้..ข้อหนึ่ง . .จะทำให้เราเข้มแข็ง

กล้าหาญที่จะทำตามความคิดซึ่งเราเห็นว่าถูกต้องนะคะ

และข้อนี้แหละค่ะที่จะทำให้เรามีความก้าวหน้ากว่าคนอื่น

ข้อสอง . .จะทำให้เรามีอารมณ์โปร่ง เบาสบายทุกเมื่อ ไม่ลุ่มหลงของรักใดๆ

จนเกิดทุกข์ และไม่ยอมให้อะไรๆ มาบีบหัวใจเล่นได้ ..อิ อิ อิ

และ .. ..ข้อสาม ..หากว่าเรารู้จักหัวเราะตัวเอง

ก็จะทำให้ระลึกได้เสมอว่าเรามิใช่คนที่สำคัญกว่าคนอื่นแต่อย่างใด..แมะล่าเล่ามาตั้งนาน ดึงลงชื่อบันทึกจนได้ 555 ( เกือบไป เกือบลงไม่ถูกแล้วค่ะ ^ ^ )

ตามรอยพี่เบิร์ด  มาอย่างเงียบๆ

อ่านแล้วก็เลยต้องกลับมามองตัวเองคะ ว่าเราเป็นอย่างไร

ขอบคุณมากคะ :)

  • ไม่ได้มาป่วนแบบคุณหมอเบิร์ด
  • อิอิอิๆๆ
  • แต่มาบอกว่า การแสดงความคิดเห็น
  • ผมชอบให้คนมาแสดงความคิดเห็น
  • นานมาแล้ว มีผู้บริหารมาว่าด้วย
  • ว่าผมขาด EQ
  • แต่ตอนนี้ไม่มี แล้ว
  • ผมไม่ได้ว่าอะไรเลย บอกว่า นานๆๆจะพบคนขาดทั้ง IQและ EQ
  • อิอิๆๆเลยหายไปเลย
  • แต่ผมชอบอ่านเรื่องของอาจารย์
  • โดยเฉพาะเรื่อง แมว
  • ฮ่าๆๆๆๆ

สวัสดีค่ะน้องชายอาจารย์...วสวัตดีมาร

  • ครูอ้อยเขียนไปตามความรู้สึก ที่ต้องการให้ 
  • ครูอ้อยอ่าน  และแสดงความคิดเห็นไป  อาจมีผิด หรือถูก  สุดแล้วแต่ จะคิดได้....
  • ขึ้นอยู่กับ..เจตนาด้วยนะคะ

ยังไง  ครูอ้อย ก็ชอบบันทึกนี้มากๆค่ะ

สวัสดีครับ คุณ เบิร์ด :)

กำลังคิดว่า บันทึกที่เขียนมานี้ อาจจะไม่มีคนสนใจ หรือ กล้าหาญที่จะเขียนแสดงความคิดเห็น (เพราะ "เขา" ไม่มา)

แล้ว "เขา" คนนั้น ก็มาแล้วไงครับ อิ อิ

รับทราบข้อเตือนใจของคุณ เบิร์ด  ครับ

ข้อหนึ่ง .. อย่ากลัว "เขา"

ข้อสอง .. อย่ายึดมั่น ถือมั่น

ข้อสาม .. หัวเราะให้กับตัวเองเสมอ

 

แมวที่น่าสงสาร โธ่ ๆๆๆ ... :)

 

คุณเบิร์ด ครับ ... ขอบคุณมากนะครับ ด้วยใจจริง

สวัสดีครับ น้อง มะปรางเปรี้ยว :)

  • ขอแอบแสดงความขอบคุณเงียบ ๆ เช่นกันครับ

ขอบคุณครับ :)

สวัสดีครับ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง

  • เรื่องของอาจารย์กับผู้บริหารนี่ ... ฮา ขนาด ครับ
  • ตกลงอาจารย์ไม่ต้องใช้ทั้ง IQ และ EQ ใช่ไหมครับ อิ อิ
  • อาจารย์ยังยืนยันชอบน้องแมวที่ชายหาดอีกหรือครับนี่
  • Oh ! ...

ขอบคุณครับอาจารย์ ... วันนี้ไม่สั้นนะครับ :)

สวัสดีครับ พี่ ครูอ้อย แซ่เฮ

  • พี่ครูอ้อย เป็น "ครู" ไงครับ ย่อมมีความเป็นครูสูง อยากให้สิ่งดี ๆ กับผู้อื่นเสมอ ครับ
  • "เจตนา" ในแง่ของกฏหมายสำคัญมาก แต่ถ้าในแง่ของคุณธรรมจริยธรรม ก็สำคัญใหญ่เลย

ขอบคุณมาก ๆ ครับ พี่ครูอ้อย :)

 

ตามมาอ่าน เพราะ ชอบค่ะ

เมื่อเราเอาธรรมะ เข้ามาช่วยในการคิดแล้ว เราก็จะรู้สึกปลอดโปร่ง โล่ง สบายย นะคะ อย่างที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า "ความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกูเป็นแม่บทของกิเลสทั้งปวง เป็นมูลเหตุของความทุกข์ทั้งปวงคือ เป็นมูลเหตุของโรคทั้งปวง ถ้าเรามีความว่างจากความยึดถือว่าตัวตน ไม่มีความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกูแล้ว สติปัญญาแท้ที่จะดับทุกข์ที่เป็นยาแก้โรคทางวิญญาณได้"

จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง

                   พุทธทาสภิกขุ

 

อ้างอิงจาก: แก่นพุทธศาสน์ โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

สวัสดีครับ ... น้องอาจารย์ หัวใจติดปีก

  • สบายดีไหม ... ครับ หน้าร้อนแบบนี้
  • ยินดี ... จัง ที่น้องเข้ามา ... ใกล้ 200 บันทึกแล้วล่ะ ... พี่จะหยุดแล้วหนา ... น้องต้องทำการแทนพี่ด่วนนะ อิ อิ อย่าอู้ล่ะ
  • การให้ธรรมะ คือ การทำความดี ครับ

ขอบคุณนะครับ :)

ทำไมอ่าาา

เหมือนเกมทศกันฑ์เด็กเหรอคะ

งั้นก็ขอเพิ่มเป็น 300 หน้าละกัน อิอิ

ปล. ฝากลบ ความคิดเห็นที่ 11 ด้วยนะคะ

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณครู

ทุกคนย่อมเป็นทรักพยากรที่มีคุณค่าต่อสังคม ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ แม้แต่โจร โจรก็มีความสำคัญ ถ้าไม่มีโจร ก็คงจะไม่มีบททดสอบให้เรารู้ว่า ตำรวจคนไหนมีความสามารถมากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมลงตัวของมัน แต่จงตั้งมั่นอยู่ในความดีเจ้าค่ะ (ความคิดเด็กๆ คิคิ) รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ

เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ----> น้องจิ ^_^

     สวัสดีครับ อาจารย์ Wasawat Deemarn

  • แวะมาเยี่ยมบันทึกครับ 
  • คนเราต้องเปิดใจให้กว้างครับ  จึงจะรู้จักผู้อื่น ไม่ใช่รู้จักแต่ตนเอง
  • ขอบคุณครับสำหรับบันทึกดีๆ 
  • สวัสดีค่ะอาจารย์ เข้ามาอ่านแล้วค่ะ
  • ชอบที่บันทึกนี้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์
  • ในความหมายของ KM บรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จะเป็นแบบกัลยาณมิตร ไม่มีใครผิด เราจะรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
  • เล่าเรื่องที่ประสบผลสำเร็จสู่กันฟัง
  • แม้แต่การคิด ก็จะคิดในเชิงบวก
  • ดังนั้นการเล่าเรื่อง หรือการเขียนบันทึก ก็จะเป็นประสบการณ์เชิงบวกด้วยค่ะ
  • ที่สำคัญ เราจะเปิดใจให้กัน ไม่มีการวิพากษ์ วิจารณ์กัน
  • ให้ความสำคัญ หรือให้โอกาสผู้ที่อาวุโสน้อยที่สุด
  • ได้มีโอกาสนำเสนอแนวคิด เพราะเราอาจจะได้รับข้อคิดดีดีที่คาดไม่ถึง ก็ได้ค่ะ
  • ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้เท่านี้ก่อนนะคะ
  • ขออภัยที่เข้ามาช้า เพราะช่วงกลางวันมัวแต่ทำงานค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ น้องอาจารย์ หัวใจติดปีก :)

  • ค่ำ ๆ ชอบดูเกมทศกัณฑ์เด็กล่ะสิ ... น้องเดียวม่ายอาว 300 บันทึกล่ะ อิ อิ
  • ยื่นมือมาสิ .. เปลี่ยนตัวกัน

ขอบใจนะจ๊ะ :)

สวัสดีจ้า น้องจิ แซ่เฮ ^๐^!

  • ตำรวจ กะ โจร ... มีทุกสังคมครับ
  • ธรรมชาติสร้างมาให้สมดุลกันเสมอ
  • "เรามิใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น" หมายถึง การเตือนตนเองว่า อย่าคิดว่า ตัวเองเก่งกว่า ดีกว่า คนอื่น ... อย่าเหยียบย่ำหัวใจของคนที่ด้อยกว่าในฐานะทางสังคม แต่หัวใจเขาอาจจะยิ่งใหญ่กว่าเราก็ได้ ไงครับ :)

ขอบคุณนะจ๊ะ :)

สวัสดีครับ อาจารย์ วัลลภ สุวรรณอาภา

  • "คนเราต้องเปิดใจให้กว้างครับ  จึงจะรู้จักผู้อื่น ไม่ใช่รู้จักแต่ตนเอง"
  • ความหมายของอาจารย์ หมายถึง ต้องมอบรอบด้านใช่ไหมครับ ถ้ามองแต่ตัวเอง ก็คือ เห็นแก่ตัว :)

ขอบคุณครับ :)

สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ เอื้องแซะ

  • อาจารย์อธิบายบรรยากาศของ KM ได้ชัดเจน และง่ายต่อการรับฟังดีครับ
  • ดูเหมือน Gotoknow จะตอบสนองหลักการดังกล่าวอยู่มากทีเดียว นะครับ
  • ประเด็น การคิดเชิงบวก , การเปิดใจรับฟัง ... น่าจะเป็นประเด็นที่น่าเหนื่อยใจสำหรับผู้ฝึกอบรมคนในองค์การนะครับ ... การฆ่าอัตตาในตัวคน ลำบากหน่อย ถ้าไม่ถือว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ก็คิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ถ้าได้คนกลาง ๆ ก็จะทำให้องค์กรพัฒนาเร็วกว่าปัจจุบัน
  • ต้องให้อาจารย์เล่าประสบการณ์ KM ไว้ในบันทึกที่สนุก ๆ ให้ฟังนะครับ ผมว่า คงมีประโยชน์ต่อคนอื่นเยอะแยะทีเดียว
  • แต่อาจารย์บอกว่า เข้ามาช้า เพราะทำงาน น้านนนน แสดงว่า ผมเข้าบ่อย ผมก็ไม่ได้ทำงานดิครับ 5555

ขอบคุณครับอาจารย์ .... :)

สวัสดีครับอาจารย์

  • โห มาซะดึกเลยนะครับ
  • ผมยังไงก็ได้แล้วแต่อาจารย์
  • ไปไหน ไปด้วย ว่าไงว่ากัน อิอิอิ
  • ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง ที่นี่ ครับ
  • ขอบคุณครับ
  • บุญรักษา :-)
  • ขอยืมคำนี้จากอาจารย์อวยพร อาจารย์ครับ

สวัสดีครับ คุณ ครูข้างถนน

  • ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมบันทึกนี้
  • ผมเข้าไปแสดงความคิดเห็นแล้วนะครับ
  • เดี๋ยวนี้นอนดึก ตื่นสายไปแล้วครับ
  • วงจรชีวิตไม่ดี

บุญรักษา เช่นกันครับ :)

  • อาจารย์คะ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็เป็นงานที่รับผิดชอบเหมือนกันค่ะ
  • แต่มีงานเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการหลายเรื่อง เพราะคุณครูก็จะปิดภาคเรียนแล้ว จะทำให้ประสานกันลำบาก
  •  เวลาดีที่จะเข้ามา ในg2k ก็เวลาประมาณนี้แหละค่ะ
  •  หรือไม่ก็รอบดึกไปเลย แต่วันเสาร์ - อาทิตย์ก็สบายๆ ค่ะ
  • เคยบันทึกบรรยากาศการพัฒนา K M
  • แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก
  •  เชิญอาจารย์ลองอ่านดูนะคะ
  • ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำค่ะ

มาเยี่ยมครับอาจารย์ครับ

ด้วยความตระหนักว่า "เรามิใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น"

มีความสุขกับทุกวันของชีวิตครับ

ขอบคุณ อาจารย์ เอื้องแซะ  อีกครั้งหนึ่งครับ มาเสริมความให้สมบูรณ์

ขอบคุณ คุณเอก ครับ ... ที่แวะมาเยี่ยม ภารกิจมากมายนะครับ มีความสุขเหมือนทุกวัน :)

  • สวัสดีค่ะ
  • ชอบ ๆ ๆ บันทึกนี้
  • เพราะ..เราไม่ใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น
  • ทึ่งในความขยันค่ะ...( 7 บันทึก)
  • ว่าจะฝึกการเขียนจากการอ่านบันทึกดี ๆ นี่แหละ
  • อาจารย์ชอบฟังเพลงของคาราบาวมั๊ยค่ะ...
  • ชื่อเพลงแง้มใจ...ฟังแล้วให้ความรู้สึกดี..ดี
  • เหมือนบันทึกนี้
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ คุณพยาบาล  สีตะวัน :)

  • ชอบเรื่องราวของบันทึกนี้หรือครับ ยินดีจัง
  • เพลง "แง้มใจ" ร้องว่า ".. เอาดวงใจของเรา ใส่ดวงใจของเขา เขาจะรู้ว่าเรา คิดกับเขายังไง คิดอย่างโน้นอย่างนี้ คิดเอาเองเรื่อยไป เปิดประตูหัวใจ ให้มันแง้ม ออกมา.."
  • ถูกต้องหรือเปล่าไม่ทราบเหมือนกันครับ :)

ขอบคุณมาก ๆ ครับ :)

สวัสดีค่ะ คุณพี่ was

เห่อๆๆๆๆ ตามมากวนจนได้ แต่กว่าจะหาทางเข้าเจอนะต้องตั้งรหัสใหม่กันเลยล่ะตัวเอง

บอกแล้วว่าลืมรหัสเข้าแล้วจริงๆ ต้องขอบพระคุณพี่โอ๋-อโณผู้น่ารัก ที่ส่งสารรักไปลากกลับมา หาทางเข้าตั้งนาน แต่แวะมาเม้นต์คุณพี่ชายคนเดิมก่อนใคร ว่ะฮ่ะฮ่า อิ อิ

เพิ่งไปเที่ยวมาสนุกสนานเบิกบานใจเป็นที่สุด กรี๊ด...สุขใจจริงเอย...เดี๋ยวต้องเเวะไปเจ๊าะแจ๊ะมิตรรักแฟนคนอื่นแถวๆนี้ก่อนนะ

ว่าแต่ว่า คุณพี่ was กะลังสงสัยทำไมท่านไม่ตอบเมลเดี๊ยน สงสัยจะร๊าบไม่ด๊ายไม่ด้ายด้วยอ๊ะป่าวเนี่ย เห่อๆๆๆๆ ตามจายย..จ้ะ

บ๋ายบายเน้อ

อ๋อไง

สวัสดี น้องหมออ๋อ nithimar

  • ดีใจจริงที่หาทางกลับมาถูก ... ไม่หลงทางไปไหนแล้วใช่เปล่า
  • เมล์ที่รับได้นั้น ยังมิได้ตอบ ... แต่มิเกี่ยวข้องกับการรับได้หรือไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในความคิดแบบนั้น
  • สวัสดีปี๋ใหม่ หนา น้อง :)

ขอบคุณครับ คุยกันเรื่อย ๆ ได้หนา ... พี่ใกล้พักร้อนบันทึกแล้วล่ะ

มาอ่าน

ขอบอกสั้น ๆ ว่าโดนใจ ได้ใจ ค่ะ

เราไม่ใช่คนสำคัญ

เราไม่รู้อะไรอีกตั้งหลายอย่าง

เช่น ณ ห้วงเวลานี้ ถ้าดิฉันต้องไปติดเกาะอยู่คนเดียว อดตายแน่ ๆ

จึงพยายามเรียนรู้วิธีที่คน มนุษย์ บรรพบุรุษของเราน่ะ อยู่รอดมีชีวิตได้อย่างไร

เอ๊ะ ว่าจะสั้น ๆ กลายเป็นไม่สั้นเท่าไร

ยินดีครับที่คุณหมอจริยา ภูสุภา  ได้อ่านแล้วพิจารณาข้อเขียนอันเป็นธรรมะในประเด็นนี้

ความน่ากลัวของการนับถือตนเองที่สูง ๆ มักทำให้เราลืมมองเท้าตัวเองว่ามาได้อย่างไร ใครให้มา ใครดูแลมาถึงได้โตแบบนี้

หรือบางคนอยู่ในฐานะทางสังคมที่สูง สูงเกิดจากการยอมรับในสังคมนั้น ๆ อาจจะให้หลงลืมได้ง่ายว่า เรายังมีอะไรที่ไม่รู้อีกต่างมากมายตามที่คุณหมอกล่าวจริง ๆ ด้วย

บุญรักษา ครับคุณหมอ :)

เจ้าของบันทึกในเขียนในแง่มุมของตัวเอง ในขณะที่ผู้แสดงความคิดเห็นก็แสดงความคิดเห็นในแง่มุมของตัวเองเช่นกัน ... หากเจ้าของบันทึกยังยืนยันว่าตัวเองคิดดี คิดถูก ก็จะตอบโต้กลับมายังผู้แสดงความคิดเห็น บางทีก็แรง ไม่ไว้หน้า ด่าทอ เอาอัตตา ความเป็นตัวตนนำมา หรือไม่ก็คิดว่า ไม่รู้หรือไงว่า ผมเป็นใคร ชั้นเป็นใคร ในที่ทำงานของชั้นใคร ๆ ก็ต้องยกมือไหว้หัวโขนของชั้น หรือไหว้ครุยวิทยฐานะของชั้นไง สามบั้ง ไม่เห็นหรือไง

สวัสดีครับอาจารย์ บางทีการโต้วาทีก็จำเป็นนะครับ อิๆ ยกตัวอย่าง พระสารีบุตร โต้วาทีกับปริพพาชิกาทั้ง ๔ คน(นาง สัจจา นางโสภา นางอธิวาทกา นางปฏิจฉรา)

ช่วยลบข้างบนด้วย  อิอิ  ครูอ้อยตอบผิดคน  ขออภัย

แต่คิดถึง เหมืแนกันค่ะ อาจารย์

สวัสดีครับ พี่ ครูอ้อย แซ่เฮ :)

คิดถึงผิดคน มันน่าน้อยใจไม๊เนี่ยครับ

5555

สวัสดีค่ะ อาจารย์

ติดตามมาอ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ ถูกใจจัง ได้ข้อคิดมากเลยค่ะ

ชอบคำที่ว่า "เรามิใช่คนสำคัญกว่าใครอื่น" คนทุกคนมีความสำคัญในตัวเองเสมอในวงการทำงานของ วิชาชีพพยาบาลเรามีเจ้าหน้าที่ที่มาจากหลายๆสาขาวิชา การใช้คำนี้เตือนสติในการทำงาน ดูดีทีเดียว แต่ ฝากต่อว่าอย่าคิดว่าเราไม่สำคัญเสียจนไม่กล้าดึงศักยภาพในตนเองที่มีอยู่มากมายมาแสดงออกเพื่อพัฒนางาน

มีบทความมาฝากด้วยค่ะ ( เป็นคำสอนของหลวงพ่อชา สุภัทโท ในหนังสือ ความรู้สึกดีๆมีได้ทุกวัน )

เธอจงระวังความคิด

เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

เธอจงระวังการกระทำ

เพราะการกระทำจะกลายเป็นความเคยชิน

เธอจงระวังความเคยชิน

เพราะความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย

เธอจงระวังนิสัย

เพราะนิสัยจะกลายเป็นตัวกำหนดชีวิตของเธอเอง

ดูเหมือนว่าอาจารย์จะพักร้อนเขียนบันทึก น่าเสียดายจัง กำลังติดตามอ่านด้วยความสนุก ได้ความรู้ ได้ข้อคิด ส่งกำลังใจให้อาจารย์เลื่อนเวลาพักร้อนหน่อยนะค่ะ

ขอบคุณครับ คุณพยาบาล อังคณา ที่แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ ... ผมพักร้อนทุกวันแหละครับ :)

สวัสดีค่ะ

  • โผล่มาเรียนรู้จากอาจารย์อีกแล้วค่ะ
  • เพื่อจะได้ระลึกถึงข้อคิดละเมียด ๆ เช่นนี้ ในขณะที่กำลังใช้ชีวิตหยาบ ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ค่ะ
  • ด้วยความระลึกถึงค่ะ

ขอบคุณมากครับ คุณ ครูปู ที่ยังคิดว่าบันทึกอันล้าสมัยนี้ยังมีประโยชน์หลงเหลืออยู่บ้าง :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท