"ภาษาเขียน" เป็นอารยธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อน เป็นพัฒนาการที่สามารถรักษาอารยธรรมของเผ่าพันธ์นั้นได้ยาวนานกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีแต่ "ภาษาพูด" แต่ไม่มี "ภาษาเขียน"
เราจะเห็นได้จากร่องรอยของภาพเขียนสีต่าง ๆ ตามผนังถ้ำโบราณ เช่น รอยทาบฝ่ามือสี ภาพเขียนสีรูปเรือ คน สิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ที่มนุษย์คุ้นเคย ... ภาษาภาพอย่างอักษรรูปลิ่มของอียิปต์ อักษรภาพอย่างภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากมนุษย์ใช้ภาษาเขียนลงกระดาษด้วยปากกา หรือ ดินสอ มนุษย์ยังเปลี่ยนพฤติกรรมการเขียนเหล่านั้นโดยผ่านเทคโนโลยี เช่น การพิมพ์ตัวอักษรด้วยโปรแกรมพิมพ์เอกสาร ฯลฯ
เมื่อมีระบบเครือข่ายสากลอินเทอร์เน็ต ก็มีการพิมพ์ลงในโปรแกรมต่าง ๆ เช่น พิมพ์งานผ่าน Browser, พิมพ์จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงเพื่อน, เขียนไดอารี่ออนไลน์, แสดงความคิดเห็นบนเว็บบอร์ด, คุยด้วยตัวอักษรผ่านโปรแกรม Chat หรือ Instant Messanging ต่าง ๆ เช่น MSN, Google Talk เป็นต้น
คนหลายคนชอบคิด ชอบฝัน ชอบนึกเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ในใจ สิ่งที่ผ่านไปในแต่ละวัน อยากเก็บประสบการณ์ ความรู้สึกนั้นไว้เป็นร่องรอย ก็เลือกที่จะเขียน "สมุดบันทึก" หรือ "Diary"
โลกเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามา ... เกิดโลก "สมุดบันทึกออนไลน์" หรือ "Diary Online" เกิดขึ้น
คนเปลี่ยนพฤติกรรมจากวิธี "การเขียน" มาเป็นวิธี "การพิมพ์" แทน
"การเขียน Diary Online" เป็นที่นิยมในทุก ๆ ระดับอายุ เพราะผู้เขียนจะเลือกได้ว่า เขียนแล้วอยากให้คนอื่นอ่านได้ หรือเขียนแล้วอยากเก็บไว้อ่านคนเดียว ก็ได้ ทำให้เกิดสังคมหรือชุมชนเกิดขึ้น เป็นชุมชนย่อย ๆ หากแต่ "Diary Online" มุ่งเน้นการเขียนบันทึกประจำวันเป็นหลัก
ต่อมาเกิด "WEBLOG" มีการกร่อนคำลง เหลือแต่คำว่า "BLOG" แทน ที่เรา ๆ ท่านรู้จักกันจากการให้บริการใน Gotoknow.org นี่แหละครับ
"BLOG" หรือ "สมุดบันทึก" ในสายตาผม
เป็นพัฒนาการแบบผสมผสานกัน ระหว่าง Web Board และ Diary Online ...
Web Board ... เน้นการตั้งคำถาม เพื่อหาผู้รู้มาตอบ หรือ แสดงความคิดเห็น
Diary Online ... เน้นการเขียนเรื่องราวส่วนตัว แต่บางทีก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้ทราบด้วย จึงมีตอบความเห็น กำลังใจกันอยู่ด้วย
แต่ภาพลักษณ์ของ BLOG ... กลับไม่ใช่เรื่องราวส่วนตัวซะทีเดียว หากแต่เป็นการเลือกเขียนประเด็นอื่น ๆ ในทุกประเด็นความสนใจ มีทุกรูปแบบ การให้ความรู้ การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว การให้กำลังใจ การพาเที่ยว การนำสภาพแวดล้อมของตนเองมาแสดงด้วยรูปภาพ ฯลฯ สารพัดมากมายวิธีการ
ทำให้เกิดคำว่า "การจัดการความรู้" เกิดขึ้นในการเขียนสมุดบันทึกเหล่านี้ กว้างขวางและมากมาย เรียกว่า ครอบจักรวาล ก็ยังพอจะพูดได้
เขียนไปเขียนมาไหงยาวจัง :)
เข้าประเด็นที่ว่า ... เชื่อหรือไม่ครับว่า "การเขียน" รักษาโรคได้ ?
ผลวิจัยทางการแพทย์กว่าสองทศวรรษยืนยันว่า การเขียนสามารถช่วยให้ สุขภาพกายและจิต ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะการเขียนเพื่อระบายประสบการณ์ที่เลวร้าย เครียด หรือกระทบจิตใจมาก ๆ
การเขียนความรู้สึกเชิงลึกต่อเหตุการณ์ที่กระทบอารมณ์ ความรู้สึก และจิตใจอย่างแท้จริง เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกวันละ 15 - 20 นาทีเป็นประจำนั้น ได้รับการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่า ส่งผลดีต่อร่างกายของผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ทางด้านจิตใจก็ช่วยให้หายเครียดและช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับหลับได้สนิทขึ้น ฯลฯ ซึ่งเป็นผลที่ดีพอ ๆ กับผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ทางการแพทย์ที่ยุ่งยาก ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงกว่านี้
เดนนิส สโลน นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเทมเพิล ในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่า หลังการเขียนบันทึก กลุ่มตัวอย่างจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลทีเกี่ยวเนื่องกับความเครียดต่ำลง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
ผลระยะยาวต่อสุขภาพใจ
การเขียนเป็นยาคลายเครียดขนานดีที่ช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้ เพราะการได้นั่งลงเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึกและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างซื่อตรง เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่ตกค้าง และจัดระเบียบความทรงจำของตนเอง อีกทั้งยังทำให้มองเห็นปัญหาต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น ทำให้สามารถยอมรับ จัดการ และปล่อยวางปัญหาได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น "การเขียน" ไม่ว่าจะเป็นการจับปากกาแล้วเขียนลงสมุด หรือจับคีย์บอร์ดแล้วพิมพ์ลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ ล้วนแต่ให้ประโยชน์สำหรับสุขภาพของผู้เขียน ดังผลงานวิจัยที่ได้ออกมาสนับสนุน
นอกจาก "การจัดการความรู้" ในเรื่องราวมากมายแล้วนั้น Gotoknow ยังคงมีประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพอีกด้วย อิ อิ
ดังนั้น พวกเรามาเขียน เขียน เขียน กันเถอะครับ เพื่อสุขภาพ
สสส. คงชอบใจไม่น้อย
สุดท้ายนี้ บันทึกนี้ถ้อยความทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่ประมวลความรู้ความเข้าใจของตัวผู้บันทึกเอง โปรดอย่าได้นำไปอ้างอิงในหลักวิชาการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เขียนมา ผิดบ้าง ถูกบ้าง คงจะได้มีกัลยาณมิตรได้แสดงคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อมูลค่าของสมองผู้เขียนต่อไป
แต่...งานวิจัยเป็นของจริง
เรื่องราวที่เขียนอาจจะดูสับสน เป็นการเขียนไปตามความเคยชิน ไม่มีการวางแผนการเขียนมาก่อน ระบายความรู้สึกที่คิดว่าใช่ลงไป ขออภัยในความสับสนมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
สงสัยสุขภาพจิตต้องปรับปรุง
ขอบคุณจังที่ทนอ่าน ครับ :)
แหล่งอ้างอิง สำหรับ "งานวิจัย"
ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา. "สมุดชีวิต การเขียนเพื่อพัฒนาชีวิตและปลดปล่อยจิตวิญญาณ", Secret. 1, 13 (10 มกราคม 2552) : 44 - 47.
ซาหวาดดีค่ะอาจารย์Wasawat Deemarn
ขอบคุณครับ คุณพยาบาล สีตะวัน ที่ไม่ได้สับสนมากนัก ผมยังงง ๆ เลยครับ :)
เชื่อไหมว่า..ต้อมชอบที่จะเขียนเอามากๆๆ เพราะสำหรับต้อมแล้ว คิดว่า..การเขียนเนี่ยเหมือนผ่านกระบวนการคิด..นิ้วขยับ..ตาดู..เลยได้พิจารณา แต่การพูดเหมือนมันไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดหรือตรองดูมาก
เคยได้ยินมาว่า การเขียนของบางคนก็เป็นเหมือนการระบายความอัดอั้นตันใจ แบบว่าโมโหๆๆ เขียนๆๆ ระบายออกมาเสียบ้างก็เหมือนได้ระบายล่ะมั้งคะ
ดีจ้า หนูต้อม เนปาลี :)
การเขียนผ่านกระบวนการคิดมาอย่างซับซ้อน หากแต่เรารู้สึกว่า เร็วจัง เขียนออกมาได้แล้ว แต่ ... บางคนก็ไม่เร็วนะครับ กว่าจะเขียนออกมาได้สักย่อหน้า คิดอยู่หลายตลบ ... ต้องใช้การฝึกฝนอยู่หลายปีทีเดียว
การเขียนน่าจะเป็นการบำบัดอารมณ์ความรุนแรงและก้าวร้าวของมนุษย์ได้ดีอย่างคาดไม่ถึงนะครับ
งั้นพวกเราต้องช่วยกัน เขียน เขียน เขียน ไม่เลิกรา เมากันหัวราคาเมาส์กันไปเลย อิ อิ
ขอบคุณครับ ... นึกว่าจะไม่มีใครสนใจบันทึกอันสับสนอันนี้ซะแล้ว :)
ชอบจัง ที่ว่า "เมากันหัวรา..คาเม้าส์" เนี่ย ^^ ต้อมว่าบล็อกเกอร์แถวๆ นี้ก็เป็นกันหลายคนนะคะ อุ๊บ! ชนเม้าส์กันหน่อย..ย..ย
วันๆ หนึ่ง ต้อมแทบจะไม่พูดเลย แต่เขียนไปเยอะค่ะ (ในบันทึก ทั้งของตัวเองและพี่ๆ ตลอดจนไม่พลาดกับการได้เขียนจริงๆ ในไดอารี่) เขียนแล้วก็รู้สึกดี..
นั่นสิ หนูต้อม เนปาลี คิดไปได้ยังไหงหว่า "เมากันหัวรา ... คาเมาส์" เนี่ย ...
ยังนี้เรียกว่า เขียนกันสด ๆ มาจากหัวสมองที่ไม่ได้ไตร่ตรองเอาไว้ก่อน
อ้าว ชน น น เมาส์ กระจาย :)
เมากันหัวจ้น ๆ ...
เคยไหม ที่บางที-บางครั้งการเขียนสดๆ กลับดีกว่าการที่เรานำมาเทียบคิด พินิจพิจารณาตั้งมากมายก่ายกองแน่ะ ^^ แบบว่า "ได้อารมณ์"
ชน..น..น เม้าส์กันกระจาย พรุ่งนี้จะแฮ้งค์ไหมอ่ะ อาจารย์?
สวัสดีค่ะ อาจารย์
การเขียนทำให้ได้มอง ได้ทบทวนตัวเอง ทำให้ได้เอาประสบการณ์ของตัวเองมอบเป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วยค่ะ
หลายๆ ครั้ง จะเขียนอะไรก็คิดแล้วคิดอีก คิดและทบทวน ตกผลึกดีๆ แล้วเขียนออกมา ทำให้รู้จักตัวตน รู้จักตัวเองมากขึ้นค่ะ
แถมเขียนแล้วได้แลกเปลี่ยน ยิ่งเป็นความสนุกที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้กำลังใจเพิ่มเติมจากผู้อ่าน ทำให้มีความสุขไปอีกแบบค่ะ ^_^
คิดว่าน่าจะมีส่วนครับ กับการเขียนสามารถรักษาโรคได้ และอีกอย่างที่เคยได้ยินมาว่า การระบายความรู้สึกคือยาขนานเอก
สวัสดียามดึกครับ หนูต้อม เนปาลี :)
"มุขสด" คู่กับ "เมาส์สด" ชนกระจาย ย ย :)
แฮงค์แหง๋มแหง๋ม ... พรุ่งนี้ต้องถ อ น คร้าบ
ขอบคุณครับ
ดีครับ น้องคุณครู เทียนน้อย :)
ลองกลับไปเขียนบันทึกสิครับว่า "เขียนบันทึก รู้จักบล็อก แล้วได้อะไร" ให้การบ้านคุณครูในวันครูที่ 16 มกราคม 2552 ดีม่ะ :)
ทุกอย่างก็เหมือนดาบสองคมครับ เลือกใช้ เลือกพบแต่สิ่งดี ๆ เราก็มีความสุข เขียนระบายทุกข์ เล่าประสบการณ์ ทำให้ได้ฝึกฝนการเขียนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเรียนระดับสูง ๆ ต้องการคนประเภทนั้น :)
เมา..แป้นพิมพ์กันอีกด้วย ... งานนี้ หุ หุ
ขอบคุณ ท่าน ผอ.ศรีกมล ครับ ... เป็นโรคส่วนตัวเลยหรือครับ :)
แซวท่านเล่น ... การเขียนเป็นการฝึกฝนในหลาย ๆ ด้านจริง ๆ ครับ
ขอบพระคุณครับ
บันทึกนี้ต้องบันทึกอีกครั้ง เมื่อน้อง มะปรางเปรี้ยว แวะมาเยือนครับ :)
แหม นานแล้วนะครับ ไม่ได้มีโอกาสต้อนรับผ่านบันทึกโดยตรง
แสนจะดีใจที่แวะเอาประสบการณ์มาเล่าให้ BLOGGER ท่านอื่น ๆ ได้ฟังกัน และเรียนรู้ไปพร้อมกัน
มีหลายสิ่งหลายอย่าง แฝงอยู่ในการเขียน "บันทึก" ครับ ... ใครสนใจทำวิจัยหาคำตอบบ้าง ยกมือขึ้น ...
ขอบคุณนะครับ :)
ขอบคุณครับ คุณ Peace Aoo ... ยินดีต้อนรับสู่ GOTOKNOW ครับ
การเขียนเป็นศิลปะที่ยาก แต่ไม่ยาก หากฝึกฝน ครับ :)
แถมยังรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอีกต่างหาก
เขียนเยอะๆ กลัวจะเป็นโรคติดบล็อกนะสิ อิอิ ตามมาป่วนเล่นๆ
ป่วนด้วยความสุภาพ ... อิ อิ ... ยินดีครับท่าน อัยการชาวเกาะ :)
ดีค่ะ
ว่าแต่ เขียนจนติดบล็อก นี่ รักษายังไงดีคะ
เหอ..เหอ.
อยู่ที่ "หน้าตา" นี่คงไม่ใช่น่ะครับ คุณ ครูปู :)
เห็นเอาหน้าตามาต่อท้ายชื่อกันเยอะแยะเลย
หน้าตาคงไม่ใช่สีเสื้อนะครับ :) หุ หุ
^_^ สวัสดีค่ะ
มารับการบ้านวันครูค่ะ "เขียนบันทึก รู้จักบล็อก แล้วได้อะไร"
ขอไปนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดก่อนนะคะ :)
คิดโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ครับ น้องคุณครู เทียนน้อย :)
แล้วอาจารย์จะรอตรวจการบ้านของหนูนะ อิ อิ
ไม่ได้ทนอ่านหรอกค่ะ
แต่อ่านเพราะอยากรูว่ามันรักษาโรคได้อย่างไร
ก็คนขี้โรคอ่านนี่ อ่านอะไร ก็นึกถึงตัวเอง เผื่อจะเจอสวรรค์โปรดบ้าง
ขอบคุณค่ะ
อ่านอีกรอบค่ะ
เดนนิส สโลน นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเทมเพิล ในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา วิจัยพบว่า หลังการเขียนบันทึก กลุ่มตัวอย่างจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลทีเกี่ยวเนื่องกับความเครียดต่ำลง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
ครูต้อยเป็นไทรอยด์ไฮเปอร์ คุณหมอบอกว่าเกิดจากความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่รู้เป็นสูตรหรือเปล่านะ ทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนทำงานผิดปกติ มากเกินไป
คิดว่า ..การเขียนคงจะลดความเครียดได้ น่าจะส่งผลให้ไทรอยด์ทำงานได้ปกติ อิอิ
งั้นต้องรีบไปเขียนที่ค้างไว้แล้วค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ
ยามมีเวลาก็แวะมาอ่านหลายบันทึกของอาจารย์ จากหลาย Blog แต่ไม่ค่อยได้ Post ความเห็นไว้ .. อ่านเพลินแล้วก็ออกไป .. นิสัยไม่ค่อยดี .. เลยมาสารภาพบาปครับ
อาจารย์ Handy ครับ ... มิเป็นไร มิเป็นไร ครับ ...
ขอบคุณอาจารย์ครับที่แวะมาสม่ำเสมอ ให้ผมได้ชื่นใจ :)
เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมรู้สึกดีขึ้นมากเลย สิบสี่วันกับการเขียนทุกวัน
เป็นอีกบันทึกที่อ่านแล้วมีความรู้สึกชอบถึงชอบที่สุด
สิ่งดีจงยอ้นกลับคืนคุณ wasawat ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณเช่นกันครับผม ;)...
การเขียนเป็นยาคลายเครียด
ที่ช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้
เพราะการได้นั่งลงเผชิญหน้ากับอารมณ์ความรู้สึก
และทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างซื่อตรง
เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้จัดการกับความรู้สึก ที่ตกค้าง
และจัดระเบียบ ควาามทรงจำ ของตนเอง
อีกทั้งยังทำให้มองเห็น ปัญหาต่างๆชัดเจนขึ้น
ทำให้สามารถ ยอมรับ จัดการและปล่อยวางปัญหาได้ง่ายขึ้น
เข้ามาอ่านอีกครั้งก็ยังคงได้รับประโยชน์เพิ่ม
ขอบคุณค่ะ