คนไทยเป็นพวกเจ้าบทเจ้ากลอน แม้เรื่องราวที่สะท้อนบางอย่างเกี่ยวกับวัดๆ ก็มีการผูกเป็นคำคล้องจองอยู่หลายสำนวนเช่น
หมายเหตุ : ขยายความบางศัพท์และบางสำนวน เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น
ส่วนที่ต้องการจะเล่าก็คือ สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง ตามชื่อบันทึกนี้....
...........
สึกอยากสวด นั่นก็คือ พวกที่เคยบวชเรียนอยู่นานพอสมควร มีประสบการณ์ชีวิตในวัดหรือดงขมิ้น แต่อาจอ่อนด้อยประสบการณ์ชีวิตแบบชาวบ้าน บางคนก็ไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมชาวบ้านที่ตนไปอยู่ด้วยเท่าที่ควร จึงกลายเป็น ปม ของคนนั้นๆ...
คนพวกนี้ ศึกษาไม่ถึง ปม ของตนเอง จึงมักจะชอบมาวัด ชอบมาชวนพระ-เณรคุยเรื่องในวัด เช่น เรื่องยศช้างขุนนางพระ เรื่องศาสนพิธี เรื่องข้อปลีกย่อยของหลักธรรมวินัย หรือบางประเด็นในพุทธประวัติ ซึ่งตนเองเคยศึกษาเล่าเรียน เคยได้ยินได้ฟัง หรือเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ...
พวกนี้แหละ จัดว่า พวกสึกอยากสวด
..............
บวชอยากร้องเพลง นั่นก็คือ พระ-เณรที่มีประสบการณ์ชีวิตแบบชาวบ้าน แต่พอบวชมาแล้วก็เกียจคร้านในการศึกษาธรรมวินัย ไม่ชอบท่องสวดมนต์ ชอบที่จะคุยโอ้อวดเรื่องราวแบบชาวบ้าน เช่น ไปเมากันที่โน้น ยกพวกไปตีกันที่นี้ หรือเพลงโน้นนักร้องนั้น เป็นต้น
พระ-เณรกลุ่มนี้ มีความรู้สึกด้อยเกี่ยวกับเรื่องวัดๆ ด้อยประสบการณ์ที่จะคุยกับพระ-เณรรูปอื่นๆ ที่เค้าบวชมานานๆ จึงพยายามยกประสบการณ์แบบชาวบ้านขึ้นมาข่มพระ-เณรบางรูป คล้ายกับลดปมด้อยสร้างปมเขื่อง....
พวกนี้แหละ จัดว่า พวกบวชอยากร้องเพลง
.............
ตามนัยข้างต้น สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง เป็นคำพังเพยเปรียบเปรย คนที่ไม่รู้จักศึกษาสถานภาพตนเอง แล้วดำรงตนให้พอเหมาะสมกับสถานภาพตนเอง....
เมื่อมาถึงยุคอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เป็นพระ-เณรก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งบรรดาพระ-เณรเหล่านั้น บางรูปก็ชอบพูดคุยเรื่องราวแบบชาวบ้าน แสดงความคิดเห็น ความรู้สึกแบบชาวบ้าน นั่นจัดเป็น บวชอยากร้องเพลง
และทำนองเดียวกัน พวกที่เคยบวชเรียนมีประสบการณ์ในวัด ที่ใช้อินเทอร์เน็ตก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง บางส่วนของคนกลุ่มนี้ ชอบที่จะเข้าไปพูดคุยหรือเสนอความเห็นเรื่องราวแบบวัดๆ ทำนองว่าตนรู้หรือเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้ดี พวกนี้เข้าข่าย สึกอยากสวด
อันที่จริงโลกและสังคมเท่านั้นที่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพ แต่อุปนิสัยของคนก็ยังคงเป็นไปแบบเดิมๆ แม้มาถึงยุคอินเทอร์เน็ตแล้ว คำพังเพยว่า สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง ก็ยังไม่ล่าสมัย...
...........
แม้ผู้เขียนมิได้รังเกียจ แต่รู้สึกเบื่อต่อ พวกสึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง (จริงๆ)
ย้ำอีกครั้ง.....
ขำหลวงพี่มากเลยครับ ผมอยากจินตนาการว่าต้องเกิดอะไรขึ้นนะ หลวงพี่จึงได้ร่ายมาเป็นบันทึกนี้ ยอมรับว่าอ่านแล้วโดนจังๆ
นมัสการมาด้วยความเคารพยิ่งยวดครับ
เล่าไว้ เพื่อจะให้บรรดาพระ-เณรลูกศิษย์หรือรุ่นน้อง ที่ใช้อินเทอร์เน็ตแล้วก็ชอบแสดงความคิดความรู้สึกแบบชาวบ้านได้เกิดความสำนึกบ้าง...
และพวกที่สึกๆ ไปแล้วก็เหมือนกัน ถ้ารู้มากก็กลับมาบวชอยู่ในวัดดีกว่า ไม่ต้องมาอวดรู้ ข่มพระ-ข่มเณรอยู่นอกวัด...
เจริญพร
นมัสการครับ
ขออนุญาต ลปรร ด้วยครับ
สึกอยากสวด บวชอย่างร้องเพลง
ผมว่าถ้ามองในวงกว้างๆ นอกวงการพระออกมา ผมว่าบุคคลในลักษณะดังกล่าวก็มีมากนะครับ
เป็นพวกที่ไม่มีความภาคภูมิใจในความเป็นปัจจุบันของตนเอง เลยต้องนำเรื่องในอดีต หรือเรื่องอื่นๆ ที่แสดงความเก่งของตัวเองมาเล่า เพื่อกลบเกลื่อน "ปม" ของตัวเอง
คนจำพวกนี้ น่าจะเข้าข่ายประเภท "รู้ทุกอย่าง เก่งทุกเรื่อง ยกเว้นงานในหน้าที่"
พอจะเข้าประเด็น "สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง" ได้ใหมครับ
ก็ทำนองเดียวกับที่ท่าน ผอ. ว่านั่นแหละ...
ในบันทึกนี้ อาตมาก็ได้ให้ความหมายไว้แล้ว...
สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลง เป็นคำพังเพยเปรียบเปรย คนที่ไม่รู้จักศึกษาสถานภาพตนเอง แล้วดำรงตนให้พอเหมาะสมกับสถานภาพตนเอง....
ดังนั้น ใครก็ได้ ถ้าเป็นไปทำนองนี้ ก็อาจใช้คำพังเพยนี้ไปเปรียบเปรยได้...
เจริญพร
ตามที่อาจารย์ว่ามาก็เคยได้ยินอยู่เหมือนกัน...............
ญาติโยมที่ชอบสวดศพหลังจากพระ-เณรสวดเสร็จ... หรือพระ-เณรที่ชอบเล่นเสียง เล่นลูกคอ หรือทวงทำนองในเวลาเทศน์จนเกินพอดี... ก็มีผู้ล้อเลียนว่า พวกสึกอยากสวดบวชอยากร้องเพลง เช่นเดียวกัน
สำนวนเดิมคงจะเริ่มต้นจากนี้ ต่อมา ความหมายของสำนวนก็ค่อยๆ กว้างออกไป กลายเป็นคำพังเพยทำนองเปรียบเปรย.....
เจริญพร
สาธุ ที่เสนอเรื่อง สึก กะ สวด ให้พวกเราได้ยิ้ม กับ ธรรมะ
นมัสการค่ะ
สงสัยท่านคงจะรำคาญอะไรบางอย่างนะคะ
และก็เหมือนอาจารย์พิสูจน์ค่ะ ไม่คุ้นกับ สึกอยากสวด บวชอยากร้องเพลงนี้เลยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ ได้ทราบแล้วค่ะ แปลกดีเหมือนกันค่ะ เฉพาะคำพังเพยนี้
แต่พฤติกรรมที่ท่านเล่า เห็นบ่อยค่ะ ไม่แปลก
กราบ 3 หนค่ะ
พวกที่บวชนานๆ แล้วสึกไป เป็นประเด็นที่น่าสนใจเหมือนกันในสังคมไทย เช่น มีโยมคนหนึ่ง ก็บวชอยู่หลายปี แต่เมื่อสึกแล้ว ปกติจะไม่เข้าวัดเลย ยกเว้นมีงานบุญสำคัญๆ เท่านั้น...
แต่หน้าบ้านของโยมคนนี้ ใส่บาตรทุกวัน โดยให้ภรรยาบ้างลูกบ้างเป็นคนใส่บาตรตอนเช้า (ภรรยาและลูกเล่าว่า ถูกบังคับ) ส่วนตนเองไม่ค่อยจะใส่บาตร....
นอกจากนั้น ที่่บ้านก็จะนำอาหาร ขนม หรือผลไม้มาถวายที่วัดเสมอ... ฟังว่า บางครั้งกำลังจะเริ่มทานข้าวที่บ้าน ก็หยิบปิ่นโตตักแกง แล้วก็ใช้ลูกว่า รีบเอาไปถวายพระที่วัดด่วน...
เครื่องใช้อื่นๆ เช่น จอบ มีด ฆ้อน เป็นต้น... พระ-เณรในวัดรู้กันว่า ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ไปยืมได้จากบ้านนี้ จะได้แน่นอน แม้ที่บ้านนี้ไม่มี เค้าก็จะจัดการซื้อหรือยืมจากที่อื่นมาให้....
แปลกอย่างเดียวคือ คุณโยมคนนี้ไม่เข้าวัดเลย สงสัยเกรงคำครหาว่า สึกอยากสวด... (..........)
เจริญพร
นมัสการครับ
ได้ความรู้และแนวคิดใหม่จากบันทึกนี้ในทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน เรียนรู้ในสังคมวัด และสังคมชีวิตของชาวไทยเรา ขอบคุณมากครับ
มานพ
[http://itshee.exteen.com/]
mnop
เจริญพร
กราบนมัสการค่ะ หลวงพ่อ
หนูเข้ามาอ่านแล้วก็ตลกดีนะค่ะ อาจจะเป็นนิสัยของคนไทยก็ได้เจ้าค่ะ ที่ชอบทำอะไรผิดๆเพี้ยนๆ หรือว่า มันเป็นกิเลสกัน คิคิ
รักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ หลวงพ่อ --------> น้องจิ ^_^
เห็นด้วยค่ะหลวงพี่
นมัสการค่ะ
wan
wan
เจริญพร
คำพังเพยของพระอาจารย์นี่ เมื่อนึกไปมาก็มีไม่น้อยนะครับ มิน่าตอนผมบวชหนึ่งพรรษาพระอาจารย์บอกว่า หากเธอตั้งใจบำเพ็ญภาวนาจริงก็ตั้งจิตปฏิบัติอย่างเดียวไม่ต้องพูดกับพระรู้อื่นๆและกับใครๆ ยกเว้นตอนพระอาจารย์มาสอบอารมณ์ตอนค่ำๆทุกวัน หากมีคำถามก็ถาม เมื่อจบการสอบอารมณ์ก็กลับไปปฏิบัติ และยึดมั่งการไม่พูดจนกว่าจะครบเวลาที่ตั้งจิตไว้
การพูดก็ดี แต่พูดไปพูดมามันจะพากันออกนอกวัด ก้าวไปสู่เรื่องราวทางโลกน่ะซี เพราะพระบวชใหม่นั้น จิตไม่นิ่ง สลัดไม่หลุดกับหน้าที่การงาน ปัญหา อุปสรรค อนาคต.. กว่าจะสงบลงได้บ้างก็เกือบจะหมดพรรษาแล้วครับพระอาจารย์
กราบนมัสการครับ
อีกมุมนึง
จะจีวรสบงหรือกางเกงเชิร์ต ก็ไม่สามารถเปลี่ยน "ตัวตน" ที่แท้ สุดท้ายชีวิตที่เราใช้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสวดหรือร้องเพลง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาภรณ์ที่ครองอยู่
แล้วเราควรจะมอง "คนๆนั้น" แบบไหน ในบทบาทใด?
จากสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาใช้ชีวิต หรือ จากหมวกที่สรวม จากตำแหน่งในทะเบียน?
เป็นพีช เป็นอาลัยวิญญาณ?