สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยค่ะ เพราะเด็กเขาฟังอยู่ตอนที่ผู้ใหญ่พูด เขาอาจไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย หรือตามความคิดของผู้ใหญ่ไม่ทัน เขาก็ไม่อยากพูด ความจริงเขามีเรื่องที่จะพูดมากมายค่ะ
ยายคิมมีประสบการณ์ค่ะ แรก ๆ ก็ให้เด็กพูดในบรรยากาศที่อบอุ่น กับผู้ใหญ่ที่เขาไว้วางใจก่อน และเพิ่มขีด ขยายเวทีให้เขาทีละระดับ
เด็กที่พูดได้ไม่ได้หมายความว่าเป็นเด็กเก่ง ๆเท่านั้น แต่อาจเป็นเด็กที่ผ่านกิจกรรมโดยตัวเขาเองค่ะ
หลายครั้ง เมื่อได้ฟังถึงกับอึ้งเลยค่ะ
* เพราะเด็กเขาฟังอยู่ตอนที่ผู้ใหญ่พูด เขาอาจไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย หรือตามความคิดของผู้ใหญ่ไม่ทัน เขาก็ไม่อยากพูด ความจริงเขามีเรื่องที่จะพูดมากมายค่ะ
(ครับ ความจริงเด็กเขามีเรื่องที่จะพูดมากมาย แต่ผู้ใหญ่ไป "บลอ็ก" ความคิดเขาหมด)
* ยายคิมมีประสบการณ์ค่ะ แรก ๆ ก็ให้เด็กพูดในบรรยากาศที่อบอุ่น กับผู้ใหญ่ที่เขาไว้วางใจก่อน และเพิ่มขีด ขยายเวทีให้เขาทีละระดับ
( เป็นประสบการณ์ที่ดีมากครับ ผมคงจะนำไปใช้ในการพัฒนาในโอกาสต่อไป)
* เด็กที่พูดได้ไม่ได้หมายความว่าเป็นเด็กเก่ง ๆเท่านั้น แต่อาจเป็นเด็กที่ผ่านกิจกรรมโดยตัวเขาเองค่ะ
(ครับ ต้องจัดกิจกรรมให้เขามีประสบการณ์)
* หลายครั้ง เมื่อได้ฟังถึงกับอึ้งเลยค่ะ
(นี่แหละครับ ความมหัศจรรย์ของเด็ก อย่าคิดว่าเด็กคิดไม่ได้)
ขอบคุณมากครับที่เข้ามาเสริมเติมเต็ม เป็นประโยชน์มากเลยครับ
สวัสดีค่ะ
ยายคิมแวะมาคุยด้วยค่ะ ตามมาคุยด้วยค่ะ กิจกรรมที่ยายคิมเกี่ยวข้องนั้น จะพยายามเลือกเด็กที่ไม่มีคนสนใจ หรือเด็กที่ครูคนอื่นไม่ต้องการ หรือเด็กที่เขาที่ใคร ๆ ว่าไม่เอาไหน
ถ้าเราคัดเลยโดยครูเป็นผู้เลือก ระบุ หรือกะเกณฑ์เจาะจงห้ เขาไม่มีวันจะร่วมมือหรอกค่ะ เพราะเขาไม่มั่นใจ
แต่เราอย่าทำให้เขารู้ตัว .... ตามวิธี (ของใครก็ของใครนะคะ) แล้วมาถามความสมัคร ขอให้ได้เพียง ๑ คน แล้วเขาจะไปชวนกันเอง ก็กลุ่มเดียวกันนั่นแหละค่ะ
สุดท้าย เราก็ได้ก้าวขึ้นบันไดไปอีก ๑ ก้าว ทั้งครูและเด็กค่ะ
สวัสีดีค่ะ
มีเรื่องเล่าของเด็กที่ไม่พูด ไม่ยิ้ม และเกลียดครู (ทั้งโรงเรียน) มาแสดงค่ะ ยายคิมคัดมาจากสมุดที่โรงเรียนจัดทำมาเป็นที่ระลึกค่ะ
* จะพยายามเลือกเด็กที่ไม่มีคนสนใจ หรือเด็กที่ครูคนอื่นไม่ต้องการ หรือเด็กที่เขาที่ใคร ๆ ว่าไม่เอาไหน
(ดีมากเลยครับ ให้โอกาสเด็กหลังห้อง)
* ถ้าเราคัดเลยโดยครูเป็นผู้เลือก ระบุ หรือกะเกณฑ์เจาะจงให้ เขาไม่มีวันจะร่วมมือหรอกค่ะ เพราะเขาไม่มั่นใจ
( ครับ เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง)
* แต่เราอย่าทำให้เขารู้ตัว .... ตามวิธี (ของใครก็ของใครนะคะ)
(ทำให้เนียนๆ นะครับ)
* แล้วมาถามความสมัคร ขอให้ได้เพียง ๑ คน แล้วเขาจะไปชวนกันเอง ก็กลุ่มเดียวกันนั่นแหละค่ะ
(ดีมากเลยครับ)
สุดท้าย เราก็ได้ก้าวขึ้นบันไดไปอีก ๑ ก้าว ทั้งครูและเด็กค่ะ
(เป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่เลยครับ)
ขอบคุณสาระดีๆที่นำมาแลกเปลี่ยนครับ
สวัสดีค่ะ อ.small man
การยัดเยียดให้เด็กพูดหรือทำอะไรเป็นการกระทำที่โหดน่ะค่ะ
เราควรให้สิทธเสรีภาพกับเด็ก ขอบคุณค่ะกับบันทึกดีๆเช่นนี้ค่ะ
เรียนท่านรอง เด็กกลุ่มนี้ เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นเด็กมีปัญหา แว่ะเวียนมาที่ กศน.ตำบลบ้านโต้น เป็นประจำ ในใจผมก็เกรงว่าจะเข้ามาสร้างปัญหาให้ผม แต่เมื่อเปิดใจได้พูดคุยกับกลุ่มเขา ก็เข้าใจ และเปิดเวทีให้พวกเขาได้แสดงออก ปัจจุบันนี้ เป็นกลุ่มบีบอยกลุ่มแรกของอำเภอพระยืนครับ
จริงครับ ผมว่าสังคมบ้านเราเอาผูู้ใหญ่ เป็นศูนย์กลางมากไปจริงๆครับ..
ขอบพระคุณสำหรับแง่คิดครับ ทำให้ผมได้คิดไปเขียนต่อได้อีก
ที่มีกิจกรรมดีๆ ให้ดูดีจังครับ ไหนๆ ก็มาเยี่ยมแล้ว ขออนุญาตนำข่าวน้ำท่วมมาฝากถึงที่เลยครับ
สวัสดีค่ะท่านรองฯ
หลากหลายความเห็นดีมากเลย ล้วนแต่เป็นผู้มีความตั้งใจสร้างเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ แต่ก็ยังไม่เห็นแนวทางที่จะนำมาใช้อย่างได้ผลเลย
ครูตาดูแลเรื่องสภานักเรียนเข้มแข็งในโรงเรียนอยู่ค่ะ มีผลงานออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น กิจกรรมจิตอาสาดูแลน้องเล็ก (พี่ชั้นโตผลัดกันไปช่วยกันดูแลน้อง ๆ อนุบาลเช่น ตัดเล็บ ล้างมือ หวีผม ) จิตอาสาพาน้องเก่ง (พี่สอนน้อง) ประกวดมารยาท ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้หากครูปล่อยให้เด็กทำไปตามลำพัง ไม่มีการกำกับ ดูแล ติดตาม (ปล่อยปละละเลย) หรือไม่ให้กำลังใจคณะทำงานอย่างใกล้ชิด เด็กก็จะทำไปอย่างไร้กระบวนการ สเปะสปะไม่มีทิศทาง ไม่เกิดประสิทธิภาพค่ะ
หากจะทำให้เกิดผลจริง ๆ น่าจะต้องเกิดจากกระบวนการทำงานของทีมครูที่ดูแลเรื่องนี้ ร่วมกันวางแผนกับเด็ก ๆ ติดตามการทำงาน ตรวจสอบ ให้คำปรึกษาด้วยใจรักและเมตตาต่อเด็ก ไม่ใช่สั่ง ๆ ๆ ๆ ซึ่งทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น ...ผลออกมาจะกลายเป็นว่าสภาเด็กทำกิจกรรมตามครูสั่ง ...