เมื่อตอนเป็นเด็กอยู่ในวัยเรียนชั้นประถมศึกษา ผมก็คงจะเหมือนกับเด็กๆ ทั่วไปที่มักเต็มไปด้วยความอยากรู้เห็น อยากได้ประสบการณ์ใหม่ อยากทำงานและกิจกรรมชีวิตอย่างที่ผู้ใหญ่ทำได้ อีกทั้งเต็มไปด้วยจินตนาการและความฝัน ยิ่งบ้านเกิดเป็นบ้านนาป่าดงอย่างยิ่ง ก็ยิ่งจินตนาการถึงโลกภายนอกไปต่างๆ นาๆ
ยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง ครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร พวกผมก็คิดกันแทบตาย คิดไม่ออกสักอย่าง บางคนก็บอกอยากเป็นตำรวจ เพราะเคยเห็นตำรวจไปไล่จับชาวบ้านเล่นโบกแถวหมู่บ้าน อยากเป็นทหาร เพราะเคยเห็นทหารไปรบตามป่าและไปอยู่ในหมู่บ้าน อยากเป็นครู อยากเป็นหมอ เพราะครูเป็นที่รักและเกรงกลัวของเด็กๆ เห็นหมอเข้าไปปลูกฝีที่โรงเรียน
ผมนั้น ตอนแรกบอกอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ เพราะมีรถเมล์วิ่งผ่านโรงเรียนไปอำเภอและเห็นกระเป๋าทำโน่นนี่เยอะดี ทั้งครูและเพื่อนๆ ขบขันกันมาก เมื่อเลื่อนชั้นสูงขึ้นจาก ป 2 เป็น ป 3 พอคุณครูถามอีก คราวนี้ผมเลยเลือกเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ คืออยากเป็นนายอำเภอ เพราะเคยเห็นไปตรวจโรงเรียนและใครต่อใครก็ยอมให้หมด
หลังจากนั้น พวกผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง ก็มักจะล้อผมว่า ไอ้นายอำเภอ ไอ้นายอำเภอ ก่อนจบก็อยากเป็นคนขับรถแทร๊กเตอร์ เพราะคนขับรถแทร๊คเตอร์ขุดสระน้ำให้โรงเรียนและหมู่บ้าน
ความที่เป็นชุมชนกันดารบ้านป่าแดนดงอย่างนั้น ทุกอย่างจากภายนอกชุมชน เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน ก็จะกลายเป็นของแปลก น่าสนใจ น่าตื่นเต้น ชวนอัศจรรย์ใจไปหมด โดยเฉพาะมอเตอร์ไซคล์กับรถยนต์ที่เข้าไปบรรทุกข้าวหลังหน้าเก็บเกี่ยวและนวดข้าว ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นรถฮีโน่และอีซูซุหัวโตๆ ที่เวลาติด พวกผู้ใหญ่ก็ต้องช่วยกันเอาเหล็กข้อเหวี่ยง แหย่เข้าไปหมุนเครื่อง ให้เครื่องยนต์ติด
เวลามีรถยนต์และรถมอเตอร์ไซคล์เข้าไปในหมู่บ้าน จะได้ยินเสียงแต่ไกล พวกเด็กๆ มักจะหูผึ่งจนเนื้อเต้น เล่นอะไรอยู่ก็จะต้องทิ้งและวางมือ พลันก็รวมตัวโดยเร็วแล้วก็แข่งกันวิ่งออกไปรับ พอใกล้ถึงก็จะซุ่มข้างทางเพราะกลัวผู้ใหญ่ที่ขับรถจะเห็นและจำรายตัวเอาไปฟ้องพ่อแม่พวกเรา
ตอนนั้น ผู้คนดูเหมือนว่ารู้จักและเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันไปหมดทั้งอำเภอ รถจะวิ่งไปตามทางเกวียน จึงวิ่งได้ช้า พอรถวิ่งมาถึงและผ่านหน้า พวกเราก็จะกรูกันออกไปวิ่งตามหลังฝุ่นตลบ หากเป็นรถมอเตอร์ไซค์ ก็วิ่งไล่ดมควันจากท่อไอเสียแล้วก็ทำเสียงรถไล่ตามไปอยู่ข้างหลัง พอเป็นรถยนต์บรรทุกข้าว ก็ต้องพยายามไล่เกาะท้าย แล้วก็ยกเท้าขึ้นโหนต่องแต่ง ไม่ว่าจะมากี่คัน พวกผมก็จะวิ่งไล่ไปจนพ้นละแวกบ้าน แค่นี้แหละครับ ที่ถือว่าสนุกกับสิ่งที่แปลกและทันสมัยที่สุด แต่ต้องใช้จินตนาการช่วยมากหน่อย
ขาออกจากหมู่บ้านก็วิ่งอีก ซึ่งเคยเล่นกันเพลินจนรถขึ้นถนนใหญ่ วิ่งเร็วกว่าที่เคยรู้จัก ทำให้ลงจากรถไม่ได้ ก็ร้องไห้จ้ากันอยู่บนกองข้าวเปลือกบนรถ ผู้ใหญ่ที่ขับรถได้ยินก็หยุด จากนั้นมาก็เข็ด ไม่วิ่งไล่และเกาะท้ายรถตอนขาออกหมู่บ้าน
อีกแหล่งประสบการณ์ที่นำไปสู่การได้เล่นและใช้ชีวิตแบบเด็กๆด้วยกันมากก็คือ หนังสือ นิทาน และการสอนที่โรงเรียนของคุณครู วันไหนครูสอนเรื่องสัตว์สวยป่างาม ตกเย็น พอท่องสูตรคูณและกราบพระเสร็จ ก็กลายเป็นฝูงสัตว์และฝูงนก วิ่งตับแล่บตามทางเกวียนกลับบ้าน ฝุ่นคลุ้งกระจาย แต่ในจินตนาการคือบินกลับครับไม่ใช่วิ่งกินฝุ่น บินกันเป็นฝูงเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นอีกากัน เพราะทำเสียงง่ายดี ก๊า ก๊า
ยุคนั้น โรงเรียนจะปิดเทอมสามครั้งในหน้าฝนหรือหน้าไถนา หน้าเกี่ยวข้าว และหน้าแล้ง ครั้งละประมาณหนึ่งเดือน เด็กๆก็จะต้องไปช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยงควาย เล่นและดูแลน้อง ผมเริ่มไถนาเป็นตั้งแต่อยู่ชั้น ป 6 หัวแทบจะยังไม่พ้นหางไถ การได้อยู่และทำงานกับพ่อแม่ไปด้วย จึงได้รับรู้ถึงความเหนื่อยากของพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี เมื่อได้เรียนและอ่านหนังสือแล้วมีเรื่องราวให้จินตนาการถึงการช่วยพ่อแม่ หรือทำอะไรได้อย่างผู้ใหญ่ ก็จะแปรไปสู่การเล่น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พวกผมเด็กๆก็เกิดจินตนาการและเล่นโดยทำจริงๆ คือเล่นเป็นหอยสังข์กับเหล่าเทวดาและนางไม้ ที่คอยแอบช่วยการงานและคุ้มครองพ่อแม่ ที่มาคือ ได้เรียนและอ่านหนังสือกันที่โรงเรียนเช่นกัน
วันนั้นพ่อแม่ไปซื้อของที่อำเภอ พอปลอดผู้ใหญ่ ผมกับเพื่อนก็กลายเป็นหอยสังข์กับรุกขเทวดาแล้วแต่อยากจะเลือกเป็นกัน ทำนองว่าจะปรากฏตัวจริงๆ ก็ต่อเมื่อไม่มีพ่อแม่และผู้ใหญ่เห็น ออกมาทำสิ่งที่จะทำให้ผู้ใหญ่และพ่อแม่มีความสุขว่างั้นเหอะ ออกจากเปลือกหอยเป็นเด็กขยันอย่างในเรื่องลูกน้อยหอยสังข์ และออกจากต้นไม้ มาเป็นคนทำงานบ้านรอรับพ่อแม่กลับมา อย่างนิทานเรื่องรุกขเทวดาที่คุณครูเล่าให้ฟัง
ช่วยกันถูบ้าน ตักน้ำใส่ตุ่ม เก็บข้าวของทั่วบ้าน ทำกันกระทั่งบ่าย ทุกอย่างก็ดีไปหมดครับ ช่วยกันหิ้วน้ำใส่ตุ่มเต็มทุกตุ่ม สนุกและไม่เหนื่อยครับ เพราะเป็นรุกขเทวดากันหมดแล้ว ไม่ใช่ตัวจริงที่ขี้เกียจและน่าเคาะกะโหลกทุกตัว
แต่แล้ว ก็เจอความเป็นจริงอย่างหนึ่งจากการเล่น ที่เล่นเอาเหล่าหอยสังข์และรุกขเทวดาอยากออกจากร่าง แล้ววิ่งหนีหายให้พ้นจากไม้เรียวของพ่อแม่ อย่างใจจะขาดเลยทีเดียว
เรื่องของเรื่องก็คือ.....หลังจากทำอะไรหมดแล้ว ในหนังสือและนิทานลูกน้อยหอยสังข์บอกว่า พ่อแม่ทำงานเหนื่อยยาก น่าสงสาร หอยสังข์และเหล่ารุกขเทวดา ซึ่งคอยดูแลคุ้มครองคนดี ก็จะออกมาเตรียมหุงหาข้าวปลา น้ำท่า ไว้รอพ่อแม่ โดยไม่ให้พ่อแม่รู้ พอพ่อแม่กลับมาก็จะได้ความประหลาดใจและกินข้าวกินปลาอย่างมีความสุข ดังนั้น ลำดับต่อไปพวกผมก็จะต้องปิดท้ายด้วยการหุงข้าวทำอาหารและเตรียมสำรับกับข้าวสิครับ กะว่าเมื่อเสร็จแล้ว ก็จะคืนร่างเป็นเด็กธรรมดาที่ขี้เกียจ ดื้อ มอมแมม และน่าตีเหมือนทุกวัน แล้วก็แอบมีความสุข
มาพลาดตรงนี้แหละ เพราะก่อไฟกับหุงข้าวนี่ไม่เคยทำจริงครับ เคยแต่เห็นข้าวเต็มหม้อทุกที เลยช่วยกันกับเพื่อนตักข้าวสารใส่หม้อเต็มๆอย่างที่เคยเห็นตอนที่เป็นข้าวสวย แล้วก็ลำดับไม่ถูกอีก เพราะพอเอาน้ำใส่ลงไป แล้วก็หามไปตั้งไว้ข้างเตา จากนั้นจึงค่อยก่อไฟ กลับขั้นตอนไปหมด
คราวนี้ก็ยุ่งอีกครับ เพราะก่อไฟเป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นมันติดอย่างที่แม่ทำสักที เอากาบมะพร้าวใส่แล้วก็นั่งโบกกันอยู่นั่นแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ติด ผ่านไปเป็นชั่วโมง กระทั่งหอยสังข์กับรุกขเทวดาชักเริ่มปอดแหก ต้องแยกกันไปดูต้นทาง แล้วก็ก่อไฟจะหุงข้าว หม้อข้าวที่ใส่ข้าวสารเต็มหม้อพร้อมกับใส่น้ำไปแล้ว ก็ตั้งมันอยู่ข้างเตานั่นแหละครับ จนบ่ายคล้อย ข้าวก็หุงไม่ได้ น้ำพรงน้ำพริก กับคงกับข้าวอย่างอื่น อย่างที่วางแผนกันว่าจะทำ เลยไม่ต้องพูดถึง
ที่สุดก็ถอดใจเพราะใกล้เวลาที่พ่อแม่จะกลับแล้ว เลยตัดสินใจเลิกที่จะหุงข้าวและเตรียมสำรับกับข้าว แล้วก็เริ่มกลัวแม่ตีแล้วครับ วิญญาณหอยสังข์และเหล่ารุกขเทวดาออกจากร่างไปตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ จึงช่วยกันหิ้วหูหม้อข้าวคนละข้าง หามหม้อข้าวสารใส่น้ำไปเททิ้งที่กอไผ่ข้างบ้าน
เสร็จแล้วก็ดับไฟ ทำความสะอาด แล้วก็เผ่นไปทำเป็นเล่นกันอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม่นานพ่อแม่และพวกผู้ใหญ่ก็กลับมา ตอนแรกก็มีแต่เรื่องดีๆครับ เจอโอ่งล้างเท้าที่ตีนบันไดมีน้ำอยู่เต็ม พื้นบ้านสะอาดสะอ้าน พ่อแม่ถึงกับออกปากชมเลยเชียว แต่ผมกับเพื่อนใจเต้นตึ่กๆ สักพักก็แทบจะลมใส่ เพราะแม่เริ่มเดินเข้าครัวและได้ยินเสียงร้องออกมาว่า ทำไมเตาร้อนเหมือนกับใครก่อไฟ เสร็จครับ เสร็จ !!!!
หอยสังข์กับเหล่าเทวดาเลยต้องเดินออกไปสารภาพกัน พ่อแม่ร้องตกอกตกใจ เพราะชาวบ้านจะระวังเรื่องฟืนไฟกัน เลยก็ต้องเล่าให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ฟังอย่างหมดเปลือก อีกทั้งพาไปดูข้าวสารที่เททิ้งไปแล้วอีกด้วย
ตอนนั้น กลัวโดนตีเป็นที่สุด นั่งเล่นกันบนลานดินใกล้ๆบ้านอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไพล่รอฟังว่าจะถูกเรียกไปตีกันเมื่อไหร่ การณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พ่อแม่และญาติๆ หลังจากรู้เรื่อง ก็กลับไม่โวยวายและไม่เรียกพวกเราไปตีอย่างที่มักเป็น ตรงกันข้าม กลับทำท่าเหมือนกับบ่นไปพอเป็นพิธี
หลังจากนั้นมา ผมกับเพื่อนที่เป็นหอยสังข์กับเทพผู้คุ้มครองพ่อแม่ ก็มักถูกล้อเล่นหัวอยู่เสมอว่า หุงข้าวใส่ข้าวสารเต็มหม้อ ก่อไฟไม่ติด แล้วก็ช่วยกันเทข้าวสารทิ้งในกอไผ่
ส่วนพวกผมก็ไม่โกรธหรืออายเหมือนการถูกล้อแบบทั่วไป เพราะเมื่อล้อเรื่องนี้ พวกผมกลับรู้สึกถึงน้ำเสียงของความภูมิใจต่อลูกหลานของพ่อแม่และพวกผู้ใหญ่
อันที่จริง เราทุกคน มีพลังการอ่าน การเรียนรู้ และเป็นนักพิสูจน์ความจริงของการปฏิบัติทางความรู้ตั้งแต่เด็ก อีกทั้งอยากทำสิ่งดีๆเพื่อดูแลผู้อื่นให้มีความสุข เมื่อเติบใหญ่แล้ว ความทรงจำงดงามอย่างนี้ ทุกคนคงยังจำได้ เมื่อพ้นวัยเด็กเนิ่นนานไปแล้ว ยังบ่มเพาะสิ่งนี้ไว้ได้อยู่ไหมครับ
ลองเก็บมานั่งรำลึกถึง ทบทวนชีวิตและเล่าแบ่งปันกัน ก็เป็นบทเรียนและให้การเรียนรู้ที่สามารถสร้างความสุขลึกซึ้ง เห็นรายละเอียดและความงดงามรายทางมากมาย.
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่แบ่งป้นครับ รุ่นพี่ ;)
1. Wasawat Deemarn สวัสดีครับอาจารย์วสวัสดีมาร เหมือนชวนรำลึกถึงเรื่องราวตอนเด็กๆเลยนะครับ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการนำมาชวนกันคิดถึงปัจจุบันและอนาคตของคนทำงานด้วยกันเพื่อตระหนักว่า การลงทุนเพื่อสร้างคนนั้น ตอนที่ทำและตอนที่ประเมินผลตามกิจกรรมในปัจจุบันนั้น ก็อาจจะไม่เห็นผลที่มีพลังในระยะยาวดีๆ เลยลองยกตัวอย่างให้คนที่มีประสบการณ์เหมือนกัน ลองใช้ประสบการณ์และบทเรียนชีวิตที่ได้แก่ตนเองเป็นตัวหยั่ง ผมว่าคงจะทำให้เราได้มุมมองและวิธีปฏิบัติดีๆในหลายเรื่องอีกเยอะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
อ่านแล้วเห็นภาพ รู้สึกสบายๆเพลิดเพลินค่ะ
ขอบคุณค่ะเอาภาพมาแลกขอบคุณที่เขียนภาพครูอ้อยตะโกนเรียกท่านกู้ให้ค่ะ..
ว่าจะไม่พูดก็ต้องพูด..เรื่องจะถูกตีนี่แหละ..ตอนนั้นอยู่ป.5 แม่เริ่มให้ทำแกงส้ม..แกงส้มแรกคือแกงส้มผักบุ้ง ผ่านไปได้ด้วยดี..แกงส้มต้องคู่กับปลาเค็มทอด..เมนูก็จะเป็นอย่างนี้ ผัดเผ็ดผักบุ้งกับปลาเค็มทอด แกงคั่วหน่อไม้ก็ปลาเค็มทอดเรียกว่าต้องกินให้หมดหน้าแล้งกันเลยเดี๋ยวหน้าน้ำหลากจะมีปลามาใหม่..ว่างั้นค่ะ..อยู่มาวันนึงย่าเอาปลาหมอนาตัวใหญ่ๆมาให้ด้วยว่าจับได้ในหนองน้ำที่ใกล้แห้งปลามันแถกขึ้นมาย่าเลยเอามให้ทำกับข้าว...ด้วยความอยากให้แม่ได้กินปลาสดๆเลยทำปลาหมอทอดให้กรอบพักไว้ ซอยขิงสดเยอะๆลงไปเจียวให้กรอบแล้วจึงใส่ปลาหมอทอดที่พักไว้ลงไปคลุกใส่น้ำเปล่าให้ท่วม รอให้เดือดใส่น้ำปลา ชูรส ตักใส่ถ้วยไว้หวังให้แม่กลับมาจากขายขนมแล้วจะได้ซดให้ชื่นใจคล่องๆคอเป็นจริงดังนั้น..แม่อร่อยมาก..กินไปชมลูกสาวไป..แต่มาเป็นเรื่องตอนใกล้หมด..และโชคดีที่แม่ใกล้อิ่ม..แม่ก็บอกว่าแต่เอ..อะไรมันขมๆน่ะลูกแม่ใช้ช้อนเขี่ยที่ท้องปลาซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ีค่อยกรอบและแม่ยังไม่ได้กิน..มีเฮครับ..เพราะเด็กป.5 ทำปลาไม่ได้เอาขี้ปลาออกครับท่าน..จากคำชมเป็นคำด่าลั่นบ้านเลยค่ะฮาๆๆๆๆงิๆๆ
เรื่องราวน่ารักมากเลยค่ะ เป็นความช่างคิดในวัยเด็ก ตัวเองกว่าจะหุงข้าวพอเป็นก็ต้องขึ้นมัธยมต้นที่ไปค่ายลูกเสือโน่น ซึ่งก็ต้องลุ้นกันกับเพื่อนว่าจะได้กินข้าวหน้าตาสวยงาม ดิบ หรือไหม้ ส่วนใหญ่จะหุงเยอะไว้ก่อนเพราะข้างล่างไหม้ข้างบนก็ยังกินได้ ปกติอยู่บ้านไม่เคยทำเพราะยังเด็ก แต่ก็จะช่วยงานบ้านแบบที่ไม่อันตราย เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน พับผ้า เท่าที่พอทำได้ พอโตมาราวมัธยมปลายถึงจะได้หัดทำอาหารเองจริงจัง แต่ก็ไม่ได้ก่อเตา ใช้หม้อหุงข้าวกับเตาแก๊สก็เลยง่ายหน่อย
ใช่ค่ะ..ครูอ้อยเรียนศิลปะที่อาชีวศึกษานครปฐม..ลูกศิษย์ก้นกุฏิอาจารย์เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ อ.สมศักดิ์ วิภาคพันธุ์(ตอนครูอ้อยจบมาท่านย้ายไปอยู่เสาวภา) อ.สมศักดิ์(ตัวเล็ก) นามสกุลลูกศิษย์ลืม...อ.ไพศาล ชุ่มสุวรรณ คนนี้มีส่วนผลักดันที่ให้มาเรียนภาพพิมพ์ ด้วยว่าจะอยู่คลุกคลีกันทั้งหมด อ.ไพศาลคงเห็นพฤติกรรมการเรียนและความอดทนในการทำงานกอรปกับการเรียนวิชาอื่นๆของครูอ้อยไม่ดีเท่าภาพพิมพ์ เมื่อจะจบปวช.อ.ไพศาลได้แนะแนวว่า.วัชรีสนใจเรียนภาพพิมพ์ไหม ในตอนนั้นก็ถามอาจารย์ไปว่าครูแนะนำหนูเพราะอะไรคะ..ก็เป็นจริงดังว่า.อาจารย์ไพศาลบอกว่าเธอมีแววเรียนทางนี้ดีกว่า.จะไปเรียนจิตรกรรมสู้เขาไม่ได้เชื่อครูซิ..อาจารย์ก็เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับภาพพิมพ์ที่ละ5ข้อ 10ข้อ นอกเหนือจาการปฏิบัติในเวลาเรียนสุดท้ายก็เริ่มบทบาทสมมุติ ด้วยการสอบสัมภาษณ์ โดยอ.ไพศาลเป็นผู้สัมภาษณ์ สอบ 2 หัวเรื่อง คือภาพพิมพ์Woood cut กับ SillkScreen ...พอจบก็มาติวกับรุ่นพี่ที่เพาะช่าง..ก้ไม่ได้ติวกับรุ่นพี่เท่าไรส่วนใหญ่จะติวกันเอง..อาศัยเพื่อนชื่อหงส์เด็กไทยวิจิตรศิลปติวภาพคนเหมือน ปลิงเด็กอบลช่วยบอกเทคนิคการลงแสงเงาให้ถูกต้องยิ่งขึ้น..เมื่อการสอบมาถึงก็สอบผ่าน..เข้าสู่การสัมภาษณ์.อาจารย์ อัศนี ชูอรุณ เป็นผู้สัมภาษณ์..หัวเรื่องก็คือท่านถามขั้นตอนการทำซิลสกรีน..เลยไม่กดดัน ก็บอกท่านไปเรื่อยตามที่ขั้นตอนและการได้ปฏิบัติมาจริง..จึงได้เข้าไปเรียนในคณะวิจิตรศิลป์ เอกภาพพิมพ์ดังกล่าวค่ะอาจารย์..ในตอนนั้นมีอ.อัศนี ชูอรุณ อ.จุฬาฑิตย์ ทองรุ่งโรจน์ อาจารย์วัชรี วงศ์วัฒนอนันต์ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาค่ะ..
อาจารย์เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ ค่ะ..ครูม่อยสลับชื่อค่ะ..อ.เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ..อ.สมศักดิ์ วิภาคพันธุ์ (ซึ่งในตอนนี้ไมทราบที่ท่านอยู่ที่ไหนค่ะ) สมศักดิ์ บำรุงศักดิ์(ถามเพื่อนเพื่อนจำนามสกุลได้) ทั้ง 2 สมศักดิ์ไม่ใช่อัตโสภณค่ะ..
พี่อ้อยรุ่นพี่ของครูม่อยก็อยู่ทีอาชีวศึกษานครปฐมด้วยนะคะ..อ้อยพบพี่เขาบ่อย พี่อ้อยน่ารักเสมอ..กับน้องๆพี่อ้อยไม่เคยหวงอะไร..เอื้ออาทรเสมอเลย..อีกคนก็พี่เสาวรส โพธินาม (พี่จุ่ม) อีกทั้ง อ.สมพล ดาวประดับวงศ์..สรุปที่อาชีวศึกษานครปฐมอ.ศิลปะน่ารักทั้งภาควิชาศิลปกรรมเลยค่ะ..