ประมาณปี ๒๕๑๒ เป็นปีที่แล้งและนาล่ม เดือดร้อนและยากแค้นที่สุดเท่าที่ผมจำได้ บ้านผมเคยทำนา ๑๔ ไร่และได้ข้าวเปลือก ๗-๘ เกวียนทุกปี แต่ในปีนั้นเหลือข้าวเปลือกไม่ถึง ๑๐๐ ถัง เป็นปีที่ต้องไปหาซื้อปลายข้าวที่ใช้สำหรับเลี้ยงหมูมาหุงกิน และหลายวันผมและพี่ๆน้องๆก็เดินถือกาละมังไปขอข้าวสารตามบ้านญาติพี่น้องมาหุงกิน หลายครั้งผมสังเกตเห็นว่าแม่เศร้าและเหมือนกับแอบร้องไห้
น้ำท่าก็แล้งและแห้งขอดไปหมดทั้งสระตามบ้าน โรงเรียน และสระของวัดทุกลูก ผมและพี่ชายต้องหัดที่จะเดินไปหาบน้ำไกลจากบ้าน ๒-๓ กิโลเมตรเพื่อใช้เป็นน้ำดื่มและหุงข้าวในแต่ละวัน การประสบกับความเดือดร้อนและเกิดความทุกข์ยากของชีวิต ทำให้ชาวบ้านรู้สึกไวต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่นได้ดี จึงเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้เป็นโอกาสและทางเลือกในการแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
ด้วยเหตุนี้ นอกจากครอบครัวผมอาจต้องไปขอทานจากผู้อื่น หรือไปทำการงานใช้แรงเพื่อขอทานและแบ่งปันข้าวปลาอาหารมาประทังชีวิต บางปีบ้านผมและทั้งกลุ่มละแวกบ้านญาติพี่น้อง ก็จะมีชาวบ้านจากถิ่นอื่น ทั้งจากพิจิตร โคราช และภาคอิสาน ที่ประสบกับนาล่มและเผชิญเคราะห์กรรมในชีวิต เดินทางรอนแรมมาขอแบ่งปันข้าวปลาอาหาร บางครั้งก็ตีมีด เคียว และคอนของท้องถิ่นติดมือมาเพื่อขอแลกอาหารการกิน
หลายครั้งก็เดินมาหากันและนั่งต้อนรับขับสู้กันเหมือนกับเป็นญาติพี่น้องอยู่ที่บ้านผม แม่ก็จะหุงหาข้าวปลาอาหารและจัดน้ำท่า รวมทั้งสูบยาเคี้ยวหมากกันก่อน ญาติพี่น้องอื่นๆรวมทั้งพวกผมเด็กๆ ก็จะช่วยกันเดินไปบอกยังทุกบ้าน
ไม่นานก็จะมีชาวบ้านด้วยกันมานั่งห้อมล้อมพร้อมกับหอบหิ้วและถือข้าวของติดมือมาด้วย ชาวบ้านทุกคนทั้งผู้มาเยือนและผู้ต้อนรับไม่มีใครมีเงินทองเลย แต่มีทั้งข้าวเปลือก ข้าวสาร มะพร้าว พริก ปลาร้า และทุกอย่างที่ทุกบ้านมีกิน ชาวบ้านมักให้สิ่งต่างๆแก่ผู้อื่นที่ดีกว่าที่ตนเองกินและใช้ หรืออย่างน้อยก็ให้อย่างเสมอกับที่ตนเองมีและเป็น เป็นตลาดแลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งของ ซึ่งกำหนดด้วยคุณค่าทางจิตใจ มากกว่าจะเป็นเงินทองและผลกำไร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในกลุ่มชาวบ้านที่เดินทางมาแลกสิ่งของ มีหญิงอยู่ในระหว่างเลี้ยงลูกที่ยังไม่หย่านมมาด้วย แต่ไม่ได้เอาลูกมาลำบาก การเดินทางรอนแรมข้ามวันคืนทำให้นมคัด ปวด และทำท่าจะไม่สบาย แม่ก็ไปช่วยดูแลและสอนวิธีบีบนมออกมา เสร็จแล้วก็นั่งคุยและกินข้าวปลาอาหารด้วยกัน
อีกกว่า ๓๐ ปีต่อมา ผมได้ทำวิจัยกับชาวบ้านในภาคตะวันตกของประเทศ ชาวบ้านจากจังหวัดสุพรรณบุรีก็สะท้อนบทเรียนของคนที่รวมกลุ่มกันทำงานพัฒนากิจกรรมเพื่อปรับปรุงสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ด้วยกันในชุมชนเมืองว่า คนยากจนมักจะมีความมีน้ำใจและความมีจิตสาธารณะเป็นสิ่งทดแทน ทำให้มีวิธีสร้างสรรค์ชีวิตส่วนรวมด้วยกันให้ดีขึ้นได้
ผมได้ยินแล้วก็ได้การเรียนรู้อย่างซาบซึ้งใจว่า การดำรงชีวิตและการมีการเรียนรู้จากธรรมชาติของชีวิตนั้น แม้จะต่างช่วงเวลาหลายสิบปี ต่างท้องถิ่น ต่างสภาพแวดล้อม แต่ช่างให้บทเรียนและข้อสรุปที่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง การหยั่งความทุกข์สุขของชีวิตได้ ก็จะสัมผัสบทเรียนอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ที่แผกต่างกันอย่างมากมาย สามารถเข้าใจ เห็นใจ และมีความรู้สึกทุกข์ร้อนด้วยกันได้
ความทุกข์สุขของชีวิตและการเห็นอกเห็นใจกันของผู้คน จะคิดและเข้าใจเอาด้วยความรู้ไม่ได้ ทว่าต้องรู้จักจากการใช้ชีวิตและเรียนรู้ออกมาจากหัวใจเพื่อหยั่งชีวิตกับผู้อื่นด้วยใจเขาใจเรา และเมื่อผู้คนต่างก็มีชีวิตจิตใจเป็นพื้นฐานเหมือนกันทุกชาติทุกภาษา การรู้จักชีวิตและรู้ทุกข์สุขของชีวิตจากก้นบึ้งหัวใจ ก็ทำให้ผู้คนเข้าใจและเห็นใจกันได้โดยสื่อตรงจากใจสู่ใจ.
มาชื่นชมผลงานรุ่นพี่ที่ เพาะช่างครับ
กำลังนั่งชื่นชมงานของอาจารย์กู้เกียรติอยู่พอดี งานดีจริงๆนะครับ
เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และผู้อ่านทุกท่าน
· อาตมาภาพจำปี พ.ศ. ไม่ได้แน่นอน แต่ญาติลูกพี่ลูกน้องกันในฐานะพี่สาวคือพี่เล็ก พวงจำปา ยืนยันมาว่าประมาณ ๒๕๒๑-๒๕๒๒ เพราะใช้วิธีนับอายุลูกชายโดยแกบอกว่าลูกเกิดปีนั้นพอดีก็เลยใช้เป็นข้อมูลได้ค่อนข้างแน่นอน
· เป็นปีที่อำเภอหนองบัวนครสวรรค์แห้งแล้งมากที่สุดที่อาตมาจำได้ ถ้าเป็นปี ๒๕๑๒ นี่คิดว่าอยู่ ป.๓ เลยไม่ทราบเหตุการณ์ช่วงนี้ชัดเจน
· แต่ปีที่จำได้ว่าแห้งแล้งนี่เพราะนาอาตมาได้ข้าวประมาณสัก ๕๐ถัง(๑ เล่มเกวียน) บางครอบครัวได้แค่ถัง-สองถังเอง
· อาตมาต้องไปเผาถ่านที่บ้านเขานางต่วม ตำบลธารทหาร
อำเภอหนองบัว
· ไม้ในป่ามีเยอะมากสามารถเผาถ่านกันได้ทั้งหมู่บ้าน พ่อค้าที่มารับซื้อมาจากวังพิกุล เพชรบูรณ์ ชุมแสง
· เตาถ่านชาวบ้านเรียกว่าเตาอบ โดยขุดเป็นหลุมขนากว้างสัก ๓ เมตร ลึกท่วมหัวคน(เกือบ ๒ เมตร) ด้านบนปั้นด้วยดินคล้ายรูปโดมสูงท่วมหัว เจาะรูเป็นปล่องให้ควันไฟออกเมื่อไฟเผาไหม้
· เวลาลงไปตั้งเรียงท่อนไม้ในเตาร้อนก็ร้อน อากาศถ่ายเทก็ไม่ค่อยจะมี ต้องเรียงไม้ให้ชิดกันจนแน่นสนิท เวลาเปิดเตาเก็บถ่านไม่มีไหม้เลยแม้แต่ท่อนเดียว ถ่านจะสวยมากมีราคาดี ช่วงนั้นกระสอบละ ๑๕-๑๖ บาท(ปัจจุบัน กระสอบละ ๑๘๐ บาท)
· เป็นปีที่ลำบากที่สุดในชีวิตที่จำได้
· ช่วงนั้นบ้านเขานางต่วมมีทีวีเครื่องเดียวที่บ้านเจ๊กป้อ(ชาวบ้านเรียกอย่างนั้นก็เลยจำชื่อจริงท่านไม่ได้)อยู่ใกล้สระน้ำสาธารณะชาวบ้านเรียกหนองหิมพานเป็นสระน้ำใหญ่มาก
· ตกเย็นคนจะมาคอยดูโทรทัศน์เต็มลานบ้านเจ๊กป้อเหมือนเป็นโรงหนังประจำหมู่บ้าน
· บ้านญาติที่เป็นที่พักชั่วคราวอยู่ห่างสระน้ำต้องใช้เกวียนเข็นน้ำหรับเอาไว้ใช้
· ส่วนน้ำบริโภคต้องไปเข็นเกือบถึงบ้านวังบ่อไกลมากทีเดียว
เจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
ที่หมู่บ้านครูอ้อยเล็กหน้าแล้งเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะมีขอทานที่ไม่เอาสตางค์ค่ะเอาแต่ข้าวสารเท่านั้นค่ะ..บางที่เราตำข้าวพอกินไม่มีข้าวสารมากพอให้เขา..เราก็ถามเขาว่าเอาข้าวเปลือกได้ไหม..เอาไปตำเอาเอง..เขาก็เอาค่ะ..
การแลกเปลี่ยนสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร หมู่บ้านครอ้อยมีข้าวมีปลา..ครูอ้อยและน้องขุดหลุมโจรดักปลาหมอ...ได้มากๆปลาหมอตายยากค่ะ..แม่จะเอาไปแถวๆลาดหญ้าแพรกเกือบติดเขตแดนราชบุรี..ไปแลกอ้อยมาให้ลูกๆแทะกินกันค่ะ..
ส่วนที่ขายได้ก็จะมีตามธรรมชาติ..ผักบุ้ง ผักกุ่มเขาเอาไปดอง หอยโข่งเขาเอาไปให้เป็ดกิน หอยขมไปแกง ผักเสี้ยน หอยกาบเอาไปผัดเผ็ดขี้เมาชอบ
...เฮ้อเกิดสมัยเดียวกะครูม่อยจริงๆนะเนี่ย...
หลายอย่างคล้ายกันมากเลยนะครับ รู้จักทำหลุมโจรดักปลาอีกด้วย แต่คงไม่ได้เกิดร่วมสมัยกับรุ่นผมหรอก ไม่อยากให้แก่น่ะ
หลีกเลี่ยงไม่พ้นหรอกค่ะอาจารย์ยังไงก็ต้องแก่ตามกัน...ขอบคุณค่ะที่ไม่อยากให้แก่..
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์
ประทับใจ น้ำจิต มิตรไมตรี วิถีประชา ของชาวบ้านในพื้นที่ชนบทค่ะ
ยิ่งห่างไกล ทุรกันดาร ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน ...
ภูมิปัญญาชาวบ้าน ควรได้รับการบอกเล่าต่อและสืบสานไว้ด้วยความเคารพค่ะ