"...เทศน์คาถาพันและใส่บาตรพันก้อน ที่แถวบ้านผมเรียกนั้น ก็คือ เทศน์มหาชาติ เป็นงานบุญที่ชาวบ้านให้ความสำคัญและจัดขึ้นด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างวางของชุมชน ..."
ในอดีตนั้น เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสองหรือเดือนยี่ จะเป็นหน้าลมล่องข้าวเบา ข้าวหนักนาปีกำลังป็นข้าวเขียว ข้าวเบาจะเริ่มแก่ เหมาะสำหรับทำข้าวเม่า ทำข้าวยาคูหรือกวนข้าวทิพย์ และทำกระยาสารท
เป็นช่วงหลังออกพรรษา น้ำในคลองยังไหลเอื่อยและเริ่มใกล้จะทรงตัวเป็นน้ำนิ่งรอแห้งขอดเมื่อถึงหน้าแล้งในอีก ๒-๓ เดือนถัดไป ลมหนาวเย็นไหลล่องสม่ำเสมอ ทำให้เหมาะสำหรับการเล่นว่าว กลางวันและยามเย็นพัดเรื่ยทิวไผ่และไล้รวงข้าวเป็นริ้วคลื่น ตกกลางคืนก็ไหลลมบนส่งว่าวสนูทำเสียงสนูล่องลอยอยู่กลางเวหากล่อมผู้คนให้หลับฝันตลอดคืน
หลังออกพรรษาแล้ว ชาวบ้านก็จะรอคอยงานบุญที่สำคัญที่สุดของปีคือเทศน์คาถาพันและใส่บาตรพันก้อน และหลังจากนั้นอีก ๒-๓ เดือนหลังฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งย่างเข้าสู่หน้าแล้ง ก็จะเป็นช่วงเทศกาลงานประจำปีของวัดต่างๆ ทั้งวัดกลาง วัดเกาะแก้ว วัดกระดานหน้าแกร เป็นฤดูธรรมและฤดีกาล เพื่อการพัฒนาจิตใจ สร้างความร่มเย็นเป็นสุข และบ่มสร้างความรื่นรมย์ในจิตใจของชุมชน
เทศน์คาถาพันและใส่บาตรพันก้อน ที่แถวบ้านผมเรียกนั้น ก็คือ เทศน์มหาชาติ เป็นงานบุญที่ชาวบ้านให้ความสำคัญและจัดขึ้นด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางของชุมชน มีทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ซึ่งชาวบ้านก็จะรวมตัวกันขอเป็นเจ้าภาพ ๑๓ กลุ่มๆละ ๑ กัณฑ์ ใน ๑๓ กัณฑ์นั้นก็จะประกอบไปด้วยหมวดธรรมต่างๆรวมทั้งหมด ๑ พันคาถา จึงเป็นที่มาของการเรียกเทศน์คาถาพัน
การเทศน์และการฟังธรรมจากเทศน์คาถาพัน ๑๓ กัณฑ์ให้ได้อานิสงน์มากนั้น เชื่อกันว่าจะต้องฟังเทศน์ให้ครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ จังมักจัดเทศน์อย่างต่อเนื่องนับแต่ย่ำรุ่งตี ๔ ตี ๕ ถือเป็นเทศกาลทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชน
แม่ ญาติๆ และชาวบ้านในชุมชน จะระดมพลังกันเตรียมจัดศาลาก่อนถึงวันงานวันสองวันอย่างคึกคัก เสาศาลาทุกต้นจะสานชะลอมเล็กๆผูกติดไว้สำหรับให้ชาวบ้านเดินใส่บาตรข้าวเหนียวให้ครบพันก้อนซึ่งเรียกว่า ตักบาตรพันก้อน ทั้งศาลาก็ตบแต่งให้เหมือนกับป่าที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยผลหมากรากไม้เหมือนกับการจำลองป่าหิมพานต์ ประดับตามเสาและธรรมมาสน์ด้วยต้นกล้วย อ้อย และกล้วยเป็นเครือ ตามขอบศาลาและคาน ก็สานไม้ไผ่และทำดอกไม้จากต้นโสน นั่งทำกันเป็นวันสองวันโดยงานฝีมือของคนจากหลายหมู่บ้าน ใครอยากได้บุญก็แวะเวียนไปช่วยกันทำ งามรานตาเต็มศาลาด้วยพลังบุญของชุมชน
การเทศน์มหาชาติจะเทศน์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าตรู่ตี ๔-ตี ๕ โดยจะมีการละเล่นสลับบ้างอยู่เป็นระยะๆ ที่ขาดไม่ได้คือ การเล่นบทบาทสมมุติเป็นสัตว์และตัวละครในเนื้อหาของกัณฑ์เทศน์ต่างๆ โดยเฉพาะกัณฑ์ชูชก ซึ่งจะต้องหาเด็กมาเป็นกัณหา-ชาลี เฒ่าชูชก และฝูงหมา ซึ่งก็มักจะทำให้ชาวบ้านได้ทั้งความสนุกสนาน ตลกขบขัน และร้องไห้สงสารกัณหา-ชาลี ผู้ที่อาสาแสดงในปีหนึ่งๆก็มักจะเป็นที่ร่ำลือและจดจำกันไปทั้งชุมชน
เมื่อถึงเทศกาลเทศน์คาถาพันและตักบาตรพันก้อน พ่อแม่จะทำอาหารและเตรียมขนมมากเป็นพิเศษมากกว่างานอื่นของทั้งปี เมื่อถึงยาม ๔ ตอนไก่ขันครั้งแรกแม่ก็จะตื่นและชวนผมกับพี่ชายไปวัด แม่พายเรือและให้ผมนอนไปในเรือ แล้วก็พายไปวัดกลางซึ่งเป็นวัดดั้งเดิมของชุมชน อากาศหนาวเย็นหน้าลมล่องข้าวเบาเย็นเฉียบไปตามแขนขาและใบหู ฝีพายแม่กระทบกราบเรือ ส่งเรือพุ่งแหวกผิวน้ำเป็นจังหวะที่มั่นคงและต่อเนื่อง เพ็ญเดือนอ้ายส่องแสงนวลเหมือนลอยไหลตามเรือไปด้วย เมื่อถึงวัดก็จัดแจงตักบาตรพันก้อนแล้วก็ไหว้พระฟังเทศน์ทั้งวัน
ดอกไม้จากไม้เนื้ออ่อนจำพวกต้นโสน เป็นงานฝีมือและทำเป็นดอกไม้ตบแต่งศาลาวัดจำนวนพันดอก
ตอนกลางวันก็จะมีการทำโคมลอย โดยทำจากกระดาษแก้วหลายๆสี ติดแต่ละแผ่นให้ต่อกันเป็นผืนใหญ่ด้วยแป้งเปียกและยางมะตูม แล้วขึ้นรูปเป็นโคมขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งเปิดออกและติดวงกลมทำด้วยไม้ไผ่ ทำเป็นขอบปากโคมลอยเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓ ฟุต พร้อมกับขึงเชือกซึ่งมัดก้อนผ้าชุบน้ำมันขี้โล้หรือขี้ไต้ซึ่งทำจากยางไม้สำหรับจุดไฟให้ควันและแสงไฟติดไปกับโคมลอย เมื่อจะปล่อยโคมลอย ชาวบ้านจะสุมควันไฟใส่เข้าไปในโคม โบกพัดกระทั่งโคมมีควันอัดเข้าไปจนโป่งลอย
จากนั้นก็จะช่วยกันห้อมล้อมและถือขอบปากโคมลอยให้ทรงตัวให้ดี นำเอาจดหมายจากชาวบ้านและเศษสตางค์จำนวนหนึ่งติดไปกับโคม พร้อมกับจุดก้อนผ้าที่ปากโคมให้ติดไฟจนลุกท่วม จากนั้นก็จะรอจังหวะให้มีลมส่งและพัดออกไปในด้านที่โล่งที่สุด เมื่อได้จังหวะดีแล้วก็จะช่วยกันปล่อยโคมลอยออกไป โคมลอยจะค่อยๆลอยไต่ระดับ บ้างก็เหมือนจะตกและบ้างก็ลอยขึ้นสูงวนไปมา ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้นและได้ความสนุกสนาน
การปล่อยโคมลอย เป็นการบูชาด้วยดวงประทีปต่อพระรัตนตรัยในงานบุญประเพณีระดับชุมชนเท่านั้น ไม่เป็นที่นิยมทำในระดับปัจเจก ทั้งโดยเป็นสิ่งยุ่งยากที่ต้องทำช่วยกันเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีกำลังทำ และเกินฐานะของบุคคล อีกทั้งเป็นโอกาสส่งข่าวสารเสี่ยงทายไปสู่ผู้คนและชุมชนที่โคมลอยจะลอยไปถึง ในจดหมายนั้น จะบอกกล่าวถึงชุมชน วัด และงานบุญประเพณีที่ทำและปล่อยโคมลอย พร้อมทั้งระบุวันที่ ปี ข้างขึ้น-ข้างแรม รวมทั้งมีสตางค์ติดไปด้วย
เมื่อโคมลอย ลอยสูงขึ้นไปจนถึงลมบน ก็จะมีลมส่งลอยไปไกลได้หลายวัน บางครั้งจากบ้านผมที่ชุมชนบ้านตาลิน อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ดังในปัจจุบันนี้ ก็อาจจะลอยไปตกถึงจังหวัดพิจิตรและพิษณุโลกบ้าง ทางใต้ก็ไปจนถึงลพบุรีและสระบุรีบ้าง ก้อนผ้าจุดไฟและผูดติดที่ปากโคมลอยจะทำให้มองเห็นลูกไฟลอยในท้องฟ้าในยามค่ำคืน ชาวบ้านก็จะรู้ว่าเป็นโคมลอย
การรู้กันว่าบนโคมลอยมีสตางค์ อีกทั้งข่าวสารงานบุญที่จะร่วมอนุโมทนาและมีกระดาษแก้วซึ่งจะทำว่าวได้หลายตัว เหล่านี้ ก็จะทำให้เป็นสิ่งจูงใจให้เด็กๆและชาวบ้านปลายทางวิ่งตามเก็บโคมลอยและเปิดจดหมายออกอ่าน เมื่อรู้ข้อมูลของชุมชนที่ส่งและเสี่ยงทายโคมลอยแล้ว ชาวบ้านและชุมชนปลายทางก็จะมีธรรมเนียมนับความเป็นญาติพร้อมกับหาทางส่งข่าวกลับไปยังแถวบ้านผม จองกฐินหรือขอเดินถือจดหมายกลับไปสร้างความคุ้นเคยเป็นญาติ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลและทำบุญด้วยกันในอนาคต เป็นการสื่อสารและสร้างเครือข่ายไปตามศักยาพโดยวิถีชุมชนอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้ฤดูกาลทำนาและฤดูกาลธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไปหมดจนแทบไม่เหลือร่องรอยต่างๆของอดีตแล้ว ชาวบ้านและชุมชนเกือบทั่วทุกท้องถิ่นไทยไม่ได้อาศัยเพียงน้ำหลากประจำปี และไม่ได้ใช้ข้าวหนักกับข้าวเบาสำหรับปลูกในที่นาลุ่มกับที่ดอนอีกต่อไป ลมล่องข้าวเบาก็ไม่มีความสัมพันธ์กับการทำอยู่ทำกินในวงจรชีวิตชุมชน
การทำนาในปัจจุบันจะเริ่มได้เร็วและในแต่ละที่ก็เก็บเกี่ยวไม่พร้อมกันเลย เมื่อถึงหน้าลมล่องข้าวเบาซึ่งจะเป็นปลายเดือน ๑๑ และเดือนอ้าย-เดือนยี่ อย่างในอดีต ก็อาจจะเป็นหน้าแล้งและไม่หนาวอย่างเมื่อก่อน สิ่งที่ยังคงพอจะเห็นร่องรอยอย่างในอดีตจึงไม่ใช่ฤดูกาล ทว่า เหลือเพียงการทำบุญออกพรรษาแล้วก็ตามด้วยการเทศน์คาถาพัน ซึ่งยังขับเคลื่อนกิจกรรมชีวิตด้านในของชาวบ้านและชุมชนอย่างสืบเนื่อง เป็นฤดูธรรมและฤดีกาล.