เจอรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาถามว่า ต้องมีเท่าไหร่ จึงจะพออย่างยั่งยืน สำหรับการเกษียณ
ผมคิดอยู่นาน ว่าจะบอกว่าอะไรดี
ในการคำนวณของผม คำตอบสำหรับแต่ละคน จะไม่เหมือนกันเลย
อยากบอกว่า "ตัวเลขจะต่างกันออกไปได้มากนับร้อยเท่าสำหรับแต่ละคน" แต่เกรงว่า ตอบแล้ว จะเป็นการพูดกวนบาทา
แต่เป็นการตอบที่จริงใจที่สุดในชีวิต
เบื้องหลังวิธีคิดของผมคือ สมการ ซึ่งเคยพูดถึงแล้วในหัวข้อก่อน ๆ
สมการนี้ชี้ว่า คำว่า พอ ขึ้นกับการใช้จ่ายแต่ละปี และขึ้นกับฝีมือการลงทุน
แค่สองเรื่องนี้ แต่ละคน แต่ละบ้าน ก็ไม่มีทางเหมือนกันแล้ว เป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก ๆ
ผมใช้สูตรว่า
พอ = ค่าใช้จ่ายแต่ละปี หาร [(ผลตอบแทนการลงทุนเป็นร้อยละต่อปี - ร้อยละของเงินเฟ้อ)/100]
ผลตอบแทนการลงทุนได้มาเท่าไหร่ โดนเงินเฟ้อจัดการไปเรียบร้อย คร่าว ๆ คือ 5 % ต่อปี (ตัวเลขนี้ ย้อนไปดูในบทความเก่า ๆ ที่ผมเคยเขียนไว้)
เมื่อใช้ค่าเงินเฟ้อ 5% อ้างอิง แล้วชี้ให้เห็นว่า เมื่อแทนค่าในสูตร จะได้ว่า
ถ้่าผลตอบแทนการลงทุนเป็นร้อยละต่อปีต่ำกว่า 5 % มีเท่าไหร่ ก็อาจไม่พอ เว้นแต่ตายเร็วก่อนเงินหมด
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอายุยืนกว่า 80 หรือ 90 ?
ที่ 5% ไม่พอ เพราะโดนเงินเฟ้อช่วยใช้ไปแล้ว 5% การใช้จ่ายจริง จึงเป็นการ "กินทุน" ไปเรื่อย ๆ หมดวันไหน ก็จบ
ตัวเลข 7.5 %, 10 % หรือ 15 % ดูว่าสูง แต่ไม่ถึงขั้นว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากลงทุนอย่างเหมาะสมกับตัว
ในกรณีของการลงทุนในหุ้น วอร์เรน บัฟเฟต มีแนวคิดว่า เมื่อมองในระยะยาวมากนับสิบ ๆ ปี ผลประกอบการของบริษัท ไม่ว่าจะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นหรือไม่ ก็ควรจะทำให้มูลค่าส่วนที่ผู้ถือหุ้นถือ โตในอัตราร้อยละที่เท่ากัน ไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ตาม
ตัวเลขที่เขาใช้ประมาณการเติบโตจากการลงทุนคือ 100% หาร PE ratio ของงบดุลของบริษัทนั้น
หากลงทุนใน Index Fund (ซึ่ง LTF และ RMF บางกอง ก็เข้าข่ายนี้) ตัวเลขการเติบโตระยะยาว ก็จะเท่ากับ 100% หาร PE ratio ของหุ้นทั้งตลาด
PE ratio ของหุ้นทั้งตลาดปัจจุบัน อยู่ประมาณ 11 การซื้อ LTF หรือ RMF ระยะยาวที่เป็น index fund ควรได้ผลตอบแทนระยะยาวอยู่ที่ 100% หาร PE ratio ของตลาด ได้ตัวเลขเป็น 9 %
ถ้าผมลงทุนใน Index Fund ทำนองนี้แบบหมดหน้าตัก หมายความว่า ไม่ว่าราคาหุ้นจะผันผวนรุนแรงเพียงใด ผมก็ควรจะคาดหมายการเติบโต หรือผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่ 9 % ได้
ในกรณีนี้ พอ = ค่าใช้จ่ายแต่ละปี คูณ 25 (=100/[9-5])
แต่ตัวเลข PE ตลาดประเทศไทย ทั่วไปแล้ว มักจะต่ำกว่า 11 จึงหมายความว่า ตัวคูณ อาจลดกว่านี้ได้อีก
ดร.นิเวศน์ เคยให้ความเห็นว่า ลงทุนแบบ value investor ผลตอบแทนการลงทุน 15 % อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำให้ พอ = ค่าใช้จ่ายแต่ละปี คูณ 10
จะเห็นได้ว่า ตัวคูณ ขึ้นกับ "ฝีมือ" การลงทุนระยะยาวเป็นอย่างมาก
ไม่มีที่ว่างของการลงทุนระยะสั้นในสูตรนี้ เพราะการลงทุนระยะสั้น ถ้ากำไร เป็นรายได้จร ถ้าขาดทุน เป็นรายจ่ายจริง
นักลงทุนแนว value investor ทั่วไป จึงอยู่ในข่ายเป็นไปได้ที่ตัวคูณดังกล่าว อยู่ระหว่าง 10 - 25
ส่วนค่าใช้จ่ายแต่ละปีของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน
คนที่สามารถพึ่งตนเองได้เรื่องที่อยู่อาศัย และเรื่องอาหาร ก็สามารถตัดทิ้งค่าใช้จ่ายรายปีได้ไม่น้อย
คนที่อยู่ในถิ่นที่ค่าครองชีพต่ำกว่าเดิม 3 เท่า ก็สามารถมีน้อยลงแบบหาร 3 ก็ได้คุณภาพชีวิตระดับเดิม (เช่น เช่าบ้านในเมืองใหญ่ ซื้อทุกย่างก้าว กับบ้านในเมืองเล็กที่ขยับขยายทำผักสวนครัวทานเองได้ แค่ผักสวนครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจเทียบเท่ากับทุ่นไปไม่ต้องเก็บเงินหลักแสนบาทแล้ว
เช่น ทุ่นค่าวัตถุดิบทำอาหารและค่าเดินทางไปหาซื้อ (ผัก พริก มะนาว ฯลฯ) ถ้าทุ่นได้เพียงวันละ 20 บาท เทียบรายจ่ายปีละ 7000 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับต้องลงทุนไป 1 แสนบาทในการลงทุนที่ผลตอบแทน 7% ซึ่งหมายความว่า ไม่ต้องใช้เงินหนึ่งแสนบาทนี้ แต่ได้คุณภาพชีวิตที่ดีเทียบเท่ากัน
นี่คือที่มาของตัวเลขที่ต่างกันออกไปได้มากนับร้อยเท่าสำหรับแต่ละคน
แค่ผักสวนครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจเทียบเท่ากับทุ่นไปไม่ต้องเก็บเงินหลักแสนบาทแล้ว
เห็นด้วยมากๆค่ะ
พี่เองเป็นคนรู้จักใช้เงินมาตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ค่อยมีปัญหา การขาดแคลนสักเท่าใด ส่วนตัว ไม่ค่อยเคร่งว่า จะต้องมีเงินออมเท่าใด ในยามเกษียณ แต่ก็ประมาณการจากการใช้จ่ายในปัจจุบันก่อนเกษียณ ค่ะ ว่าหากเราเกษียณแล้ว เราน่าจะใช้เงินประมาณเท่าไร ก็ได้คำตอบว่า เป็น 50-70% ของเงินที่ใช้ก่อนเกษียณก็แล้วกัน
และก็ควรอยู่ต่ออีกสัก 20-25 ปี (คือประมาณว่าจะมีอายุขัยถึง 80-85 ปี) จึงได้ตั้งเป้าหมายว่า จะต้องออมเงินเท่าไรจึงจะพอใช้หลังเกษียณ ซึ่งจะเผื่อ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 3% ต่อปีด้วย ซึ่งถึงตอนนี้ ก็น่าจะมีพอแล้ว ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย เพราะวางแผนมานาน 20 กว่าปีก่อนเกษียณแล้ว
ส่วนตัว คิดว่า ทุกคนควรจะวางแผนไว้ให้นานๆ เป็น 20 ปีเลยค่ะ ไม่งั้น จะมาเร่งเอาตอนหลังๆ อาจจะเหนื่อยเหมือนกัน
เป็นอีก idea หนึ่งค่ะสำหรับคนทำงานประจำ ส่วนตัวเชื่อว่าเก็บแล้วแค่พอกินหรืออาจจะเกือบๆ ไม่พอ เลยปันเงินตัวเองเป็นสี่ส่วนในการใช้จ่าย คาดการณ์ไว้ว่าภายในไม่เกินสิบปี ก็จะมีพอที่จะใช้ในวัยเกษียณอย่างไม่เดือดร้อน ส่วนที่เหลือถือว่าเป็นโบนัสให้กับตัวเองและคนในครอบครัวที่จะได้ทำอะไรได้สะดวกใจหน่อย ส่วนต่างๆ ที่แบ่งไว้ก็ดังนี้ค่ะ
- ส่วนตัว ครอบครัว+การศึกษาหลาน
- เงินออมฝากธนาคาร
- เงินลงทุนหุ้นหรือกองทุน
- เงินหมุนเอาไปต่อเงิน
มาอ่านเอาความรู้ก่อนค่ะ จะค่อย ๆ ไปวางแผน ว่าตัวเอง ควรออมอย่างไรบ้าง
ที่ผ่านมาไม่ค่อยวางแผน
คิดเพียงว่า ใช้แต่จำเป็น ใช้ที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อลูก อสังหาริมทรัพย์ไม่(ค่อย)ลดค่าจึงซื้อเก็บไว้บ้าง ซื้อให้พ่อแม่อาศัย ซื้อให้ครอบครัวตัวเอง...
ฮา! เข้าข่าย บุคคลจอมตืด จนลูกชายยังแซวว่า เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เกิดสภาพ"ฝืด"
(อิ อิ ไทยนิยม แต่หา ฌ ตั้งนาน)
สวัสดีครับ พี่ Sasinand
คุณ. Little Jazz
คุณหมอเล็ก...