บันทึกนี้ขอนำสรุปจากการเล่าประสบการณ์ ของศาสตราจารย์ ดร.จรัล จันทรลักขณา เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่เกษตรกรคลื่นลูกใหม่ วันที่ 29 สิงหาคม 2551 ในช่วงเช้า เวลา 3 ชั่วโมง เนื้อหามีความหลากหลายมาก ผมจึงขอนำประเด็น และรายละเอียดประกอบการเล่าที่สำคัญๆ มาบันทึกแลกเปลี่ยนเชิญอ่านได้เลยครับ
ศาสตราจารย์ ดร.จรัล จันทรลักขณา
ศาสตราจารย์ ดร.จรัล จันทรลักขณา ได้เกริ่นในเบื้องต้นว่าจะเป็นการเล่าเพื่อเชื่อมโยงความเข้าใจ จะไม่เน้นเทคโนโลยี เพราะเราสามารถไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมเอาเองได้ เนื้อหาของการเล่าประสบการณ์ เรียงตามเนื้อหาดังนี้ครับ
1. บทบาทการเกษตรในประวัติศาสตร์
เป็นการเล่าถึงการเริ่มต้นของชนชาติไทย ว่าเริ่มเป็นปึกแผ่นและตั้งเมืองหลวงกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึงยุคกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเมืองไปสามารถพึ่งพาตนเองได้ และสร้างบ้านสร้างเมืองมาด้วยอาชีพเกษตรกรรม เรารุ่งเรืองมาได้ด้วย "ข้าว" จนมาถึงกรุงเทพฯ เราก็ยังอาศัยการเกษตร สินค้าหลักของเราก็มาจากการเกษตร "เราสร้างชาติมาด้วยข้าว"
ดังนั้น อาชีพการเกษตรจะยังคงอยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป
2. อู่ข้าวอู่น้ำข้ามสหัสวรรษ
แผนที่ของ FAO ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีสีเขียวเพียงประเทศเดียวในเอเชีย เพราะเราเป็นประเทศที่สามารถผลิตอาหารได้เกินความต้องการ และมีการขายเป็นสินค้าออกเพื่อเลี้ยงพลเมืองของโลก ดังนั้น ทุกประเทศจึงสนใจที่จะเข้ามาแย่งชิงในรูปแบบต่างๆ (โดยไม่ใช้อาวุธเหมือนอดีต) เพื่อครอบครองแหล่งผลิตอาหารอันสำคัญนี้
( อาจารย์ยังเล่าข้อมูลให้ได้คิดว่า เราเป็นเจ้าของที่ดิน แต่โฉนดที่ดินอยู่ในธนาคาร แต่ที่สำคัญธนาคารเป็นของต่างชาติไปเกือบหมดแล้ว.....? )
นอกจากนั้นยังได้เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ทั้งบวกและลบ ให้ได้เข้าใจ เช่น
· ข้าว ซึ่งอยู่คู่กับสังคมไทย จะอย่างไรครนไทยก็ต้องกินข้าว ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลมากมาย แต่ก็ไม่สามารถผลิตข้าวได้แม้แต่เมล็ดเดียว
· ความเจริญตามรอยไถ ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสุดท้ายก็จะกลับมาสู่วิถีดั้งเดิม แม้ไม่ทั้งหมด
· วัวควาย ฯลฯ หายไปเกือบหมดแล้ว(เข้าโรงงานทำลูกชิ้น)
· การเกษตรแบบวิถีชีวิต ก่อให้เกิด ประเพณี ภาษา เกมส์ กีฬา สันทนาการ ต่างๆ มากมาย
· ศิลปวัฒนธรรม เพลง การแสดง
3. บทบาทของการเกษตรมีมากกว่าที่เห็น
หากเราพิจารณาดีๆ จะทำให้เห็นว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลใดของบ้านเราที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ดังนั้นการเกษตรจึงมีความสำคัญยิ่ง ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านี้
· ปัจจัย 4 เพื่อชีวิต เราอยู่ในภาคการผลิตอาหารที่สำคัญที่สุด(นะจะบอกให้) เพราะเงินกินไม่ได้ น้ำมันก็กินไม่ได้
· การพึ่งพาตนเอง และการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น
· ความมั่นคงของครอบครัว
· สันติสุขของสังคม GDH
· ความมั่นคงของชาติและสังคม เพราะ "ใครมีอาหารคนนั้นคือคนที่อยู่รอดคนสุดท้าย"
4. การเกษตรยุคปัจจุบัน
· การเกษตรดั้งเดิม เพื่อชีวิต ยังสำคัญเสมอ และควรรักษาไว้ให้ลูกหลานสืบไป
· เกษตรครัวโลก (ส่งออกสู่ตลาดโลก) เช่น ไก่ กุ้ง ข้าว มันสำปะหลัง ส่วนนี้ก็เป็นรายได้ที่สำคัญของชาติ
· การเกษตรเพื่ออุตสาหกรรม (และพลังงาน) เช่น ยาง อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สบู่ดำ
· ความขัดแย้ง เช่น ไข้หวัดนก(เกษตรเชิงเดี่ยวเพื่อการค้า กับเกษตรเพื่อการพึ่งพาตนเอง) อาหาร/พลังงาน การแย่งชิงอาหารจะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต เราจะมีความมั่นคง เพราะเราสามารถผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศที่มีน้ำมัน เมื่อน้ำมันหมดก็จะไม่เหลืออะไร เพราะน้ำมันก็กินไม่ได้
5. การพัฒนาเกษตรไทย / ในอนาคต
· การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน / ไม่ผลาญ
· การตระหนักเรื่องคุณภาพ / สิ่งแวดล้อม / ไม่ก่อมลภาวะ
· ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ : GMO , ข้าวไฮบริดจ์ สิ่งเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองของเราลดลง เพราะเป้นเทคโนโลยีของต่างชาติ จะทำให้เราต้องพึ่งพาเขาตลอดไป
· การสร้างความเข้มแข็ง แก่ชุมชนสันติสุข
· ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาไทย ยังมีอีกมากมาย เราสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศได้
· การแปรรูปสินค้าเกษตร / อสก. เกษตร (เพิ่มมูลค่า) : ไม่ทำไม่รอด เราจะขายเป็นวัตถุดิบเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจะได้ผลตอบแทนน้อย
6. การเพิ่มมูลค่าการเกษตร "คลื่นลูกใหม่"
คลื่นลูกใหม่ลองวิเคราะห์ให้ดี เรามีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว และหากสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดก็จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดประโยชน์กับบ้านเรา เช่น
· การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์
· วัวชน ไก่ชน (กีฬาชาวบ้าน)
· สมุนไพร
· เกษตรอินทรีย์
· ความสุขมีค่ามากกว่าเงิน
· เศรษฐกิจพอเพียง / ทางสายกลาง / แห่งชวิต (การพัฒนาชีวิต และจิตวิญญาณ)
7. "เกษตรกรคลื่นลูกใหม่" นำสังคมไทยพัฒนา
· นกกระจอก กับ นกอินทรีย์ เราต้องเป็นนกกระจอกที่ไม่กระจอก เพราะนกกระจอกนั้นอยู่กันเป็นสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่มีวันสูญพันธุ์ ต่างกับนกอินทรีย์ ที่ต่างคนต่างอยู่ แบ่งเขตกันอยู่ ในอนาคตมีแต่จะสูญพันธุ์
· ตัวอย่างของคนไทยที่มีความสามารถ และสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง เช่น ลุงยงค์ รณรงค์ : เครือข่าย ยมนา ที่นครศรีธรรมราช เป็นต้น
· เกษตรธรรมชาติ เพราะแนวโน้มคนหันมาบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ และการเกษตรก็ได้เปรียบเพราะเราได้อยู่กับธรรมชาติ ซึ่งประเทศที่เจริญแล้วไม่สามารถทำได้
· ธรรมะของนักเกษตร "คลื่นลูกใหม่"
* ลดโลภ
* มีวินัย
* ใผ่ประหยัด
* ขจัดความเห็นแก่ตัว
· คนไทยในทัศนะของ พระธรรมปฏก คือ
"มองใกล้ ใจแคบ มักง่าย ใฝ่ต่ำ"
· เรามีตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว คือ พ่อของชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั่นเอง
รายละเอียดนั้นมีมากมายครับ สุดท้ายได้ฝากข้อคิดให้แก่เกษตรกรคลื่นลูกใหม่ว่า
"ต้องคิดใหม่ทำใหม่ และคิดจริงทำจริง"
ผมฟัง ศ.ดรจรัล จันทรลักขณา ไปก็ชื่นใจและอิ่มใจไปด้วย เพราะส่วนหนึ่งของแนวทางที่ว่ามานี้ผมมักจะใช้นำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนกับเกษตรกรในเวทีหรือสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ อาจจะไม่ครอบคลุมเหมือนกับที่บันทึกมานี้ แต่ก็ยังดีใจที่เราได้เรียนรู้อะไรๆ ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และน่าจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเราเอง ที่จะได้นำสิ่งเหล่านี้ไปแลกเปลี่ยนและพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกรในโอกาสข้างหน้าเท่าที่จะอำนวย เพื่อให้เกษตรกรบ้านเราได้ภาคภูมิใจในสิ่งที่เป็นตัวตนของเราอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งข้อสรุปก็คือเราเป็นอยู่อย่างนี้นั้นดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปดิ้นรนตามก้นฝรั่งไปเสียทุกเรื่องเสมอไป
บันทึกมาเพื่อการ ลปรร.ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก
4 กันยายน 2551
· คนไทยในทัศนะของ พระธรรมปฏก คือ
"มองใกล้ ใจแคบ มักง่าย ใฝ่ต่ำ"
· เรามีตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว คือ พ่อของชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั่นเอง
รายละเอียดนั้นมีมากมายครับ สุดท้ายได้ฝากข้อคิดให้แก่เกษตรกรคลื่นลูกใหม่ว่า
"ต้องคิดใหม่ทำใหม่ และคิดจริงทำจริง"
"เราต้องเป็นนกกระจอก ที่ไม่กระจอก"
เรามีของดีๆ ภูมิปัญญาดี ๆ อยู่มากมาย แต่เรามองไม่เห็น ไม่นำมาใช้ เราต้องส่งเสริมคนไทย ภูมิใจกับความเป็นเกษตรไทยด้วยกันเอง
เพราะคนไทยก็ไม่ด้อยกว่าชนชาติอื่นๆในโลกเลยหละครับ ...
"ต้องคิดใหม่ทำใหม่ และคิดจริงทำจริง" ใช่เลยครับ
เยี่ยมมากเลยพี่ท่าน
ขอตามมาเยี่ยมเยียนนะ
ได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์ ดร.จรัล พูดเรื่อง ควายและการอนุรักษ์ที่ท่านอาจารย์ทำไว้ที่ จ.สุรินทร์ ผมรู้สึกภูมิใจมากที่เกิดเป็นคนไทย เพราะว่าเราเป็น "นกกระจอกที่ไม่กระจอก" นั้นเอง