การยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากเกินความจำเป็น จนกลายเป็นความจำใจ ทำให้คนเราเสียนิสัย มักง่ายในการใช้ชีวิต เห็นแก่ตัว ใจร้อน ไร้จริยธรรม ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เพราะสะดวกสะบายจนเคยชิน
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นผลดีต่อการเอื้ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันในหลายๆด้าน แต่เพราะเรายังเข้าไม่ถึงเจตนาที่แท้จริงของเทคโนโลยี หรือเรียกง่ายๆก็คือ เรายังใช่เทคโนโลยีกันไม่เป็น เราจึงกลายเป็นผู้ตามเสมอมา ไม่ใช่ผู้นำอย่างที่เข้าใจกัน
การที่เราสามารถใช้เทคโนโลยีชั้นดี มีความทันสมัยได้ นั่นมิได้หมายความว่าเราจะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยอะไร เพราะเราก็ยังคงต้องใช้เทคโนโลยีมือสองกันต่อไป มีแต่รับเข้ามา แต่การพัฒนาต่อมีส่วนน้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการผลิตคิดค้นขึ้นมาเอง นี้--ไม่รวมถึงการพัฒนาเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นการป้องกันข้อครหาว่าเราไร้ศักยภาพความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีใช้เองได้
นี่เป็นผลจากการที่เรารับเอาเทคโนโลยีเหล่านั้นเข้ามาใช้อย่างไร้สาระมากเกินไป แน่นอนอาจมีบางท่านแย้งว่า ส่วนดีมันก็มีอยู่ทำไมไม่มองถึงแง่ดีบ้าง ใช่---มันยังมีดี ทว่า ท่านไม่เห็นหรือว่า ส่วนที่ดีนั้น ถูกนำมาใช้น้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนที่ไม่ดี มันถูกละเลยมานานเท่าไหร่แล้ว แล้วพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็งัดขึ้นมาอ้างทีหนึ่งแล้วก็จบกัน ถ้าหากว่าเราร่วมมือกันต่อต้านและผลักดันสิ่งเหล่านั้นกันทุกคน มีหรือที่มันจะมีส่วนไม่ดีมากกว่าส่วนที่ดี
แต่เราปล่อยปละละเลยกันมานานเกินไป จนกระทั่งทุกอย่างมันบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปหมด เรามุ่งแต่การสร้างฐานะเพื่อหวังว่าสักวันจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ว่า...นี่มันก็ปีมาแล้วล่ะ ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ที่เพิ่มขึ้นมากลับกลายเป็นหนี้สินรุงรัง มันมากเกินไปหรือเปล่า ณ ปัจจุบัน มันทำให้เราต่างลืมอะไรกันไปหรือเปล่า เรากำลังลืมสังคมขั้นพื้นฐานของเราไปหรือเปล่า --- ครอบครัวนั่นไง---
เราปล่อยให้ลูกหลานมีความเป็นอยู่อย่างสบายเกินไป เรากลัวเขาลำบากมากเกินไป เรากลัวว่าเขาจะลำบากเหมือนเราเมื่อครั้งอดีต แต่เรากลับไม่นึกว่า นั่นแหละที่เรากำลังทำให้เขาลำบากในวันข้างหน้า มันเป็นการลดทอนศักยภาพในตัวพวกเขาลงอย่างช้าๆ และในที่สุด ก็ไร้ศักยภาพในการต่อรองกับการใช้ชีวิต ไร้ภูมิต้านทานในการใช้ชีวิต ถ้าหากไม่ปล่อยให้ลำบากกันเสียบ้าง แล้วจะมีภูมิต้านทานในชีวิตได้อย่างไร
การเอาแต่ใจตัวเอง ใจร้อน ขัดใจไม่ได้จนเกินความพอดีของเด็กยุคปัจจุบัน นี่มันเป็นสัญญาณว่าเรากำลังจะไปกันไม่รอด เมื่ออนาคตของเราไปไม่รอด ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้
มันคงไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเรื่องของเด็กสมัยไหน เพราะมันก็เหมือนๆกัน แต่ที่มันไม่เหมือนกันก็คือ ศักยภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาชญากรรมในเยาวชนที่เพิ่มมากขึ้น นั่นคือสัญญาณว่าในอนาคต เราต้องมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวที่ออกจากบ้าน แม้แต่ในบ้านของเราเอง เราไว้ใจใครไม่ได้เลย และถ้าเราไว้ใจใครไม่ได้ เราจะเอาความสงบสุขมาจากไหน ความฝันอย่างนั้นหรือ ???
หากเรายังไม่มีมาตรการอะไรที่เด็ดขาด ชัดเจน และจริงใจในการแก้ไขแล้ว เราจะรอไปถึงเมื่อไหร่ ตอนที่ประเทศชาติแตกสลายไปใช่มั้ย หรือว่าตอนที่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์แล้ว
ไม่ใช่แค่เด็กที่สติแตก แม้แต่พ่อแม่ของเด็กเองก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย ลูกฉันแตะต้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความกันแน่ ยอมไม่ได้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านพี่ naree suwan สบายดีนะครับ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ