"...ความล้มเหลวทางสามัญสำนึก..."


"...ถ้าเราไม่ร่วมมือกันแก้ไขด้วยตัวเอง พึงพาตัวเองก่อน แล้วเทวดาที่ไหนจะมาช่วย..."

"เด็กสมัยนี้ลำบากไม่เป็น เจอความลำบากนิดหน่อยก็ยอมแพ้ ผิดหวังนิดหน่อยก็คิดแต่จะฆ่าตัวตาย ประชดชีวิต ประชดพ่อแม่ ดื้อด้าน ขัดใจไม่ได้ ต้องให้ได้อย่างใจ ใจร้อน ทำอะไรสำเร็จนิดๆหน่อยๆก็ภูมิใจกันจนออกนอกหน้า ทั้งที่มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา"

การยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากเกินความจำเป็น จนกลายเป็นความจำใจ ทำให้คนเราเสียนิสัย มักง่ายในการใช้ชีวิต เห็นแก่ตัว ใจร้อน ไร้จริยธรรม ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เพราะสะดวกสะบายจนเคยชิน

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นผลดีต่อการเอื้ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันในหลายๆด้าน แต่เพราะเรายังเข้าไม่ถึงเจตนาที่แท้จริงของเทคโนโลยี หรือเรียกง่ายๆก็คือ เรายังใช่เทคโนโลยีกันไม่เป็น เราจึงกลายเป็นผู้ตามเสมอมา ไม่ใช่ผู้นำอย่างที่เข้าใจกัน

การที่เราสามารถใช้เทคโนโลยีชั้นดี มีความทันสมัยได้ นั่นมิได้หมายความว่าเราจะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยอะไร เพราะเราก็ยังคงต้องใช้เทคโนโลยีมือสองกันต่อไป มีแต่รับเข้ามา แต่การพัฒนาต่อมีส่วนน้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการผลิตคิดค้นขึ้นมาเอง นี้--ไม่รวมถึงการพัฒนาเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นการป้องกันข้อครหาว่าเราไร้ศักยภาพความสามารถในการผลิตเทคโนโลยีใช้เองได้

นี่เป็นผลจากการที่เรารับเอาเทคโนโลยีเหล่านั้นเข้ามาใช้อย่างไร้สาระมากเกินไป แน่นอนอาจมีบางท่านแย้งว่า ส่วนดีมันก็มีอยู่ทำไมไม่มองถึงแง่ดีบ้าง ใช่---มันยังมีดี ทว่า ท่านไม่เห็นหรือว่า ส่วนที่ดีนั้น ถูกนำมาใช้น้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนที่ไม่ดี มันถูกละเลยมานานเท่าไหร่แล้ว แล้วพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็งัดขึ้นมาอ้างทีหนึ่งแล้วก็จบกัน ถ้าหากว่าเราร่วมมือกันต่อต้านและผลักดันสิ่งเหล่านั้นกันทุกคน มีหรือที่มันจะมีส่วนไม่ดีมากกว่าส่วนที่ดี

แต่เราปล่อยปละละเลยกันมานานเกินไป จนกระทั่งทุกอย่างมันบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปหมด เรามุ่งแต่การสร้างฐานะเพื่อหวังว่าสักวันจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ว่า...นี่มันก็ปีมาแล้วล่ะ ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ที่เพิ่มขึ้นมากลับกลายเป็นหนี้สินรุงรัง มันมากเกินไปหรือเปล่า ณ ปัจจุบัน มันทำให้เราต่างลืมอะไรกันไปหรือเปล่า เรากำลังลืมสังคมขั้นพื้นฐานของเราไปหรือเปล่า --- ครอบครัวนั่นไง---

เราปล่อยให้ลูกหลานมีความเป็นอยู่อย่างสบายเกินไป เรากลัวเขาลำบากมากเกินไป เรากลัวว่าเขาจะลำบากเหมือนเราเมื่อครั้งอดีต แต่เรากลับไม่นึกว่า นั่นแหละที่เรากำลังทำให้เขาลำบากในวันข้างหน้า มันเป็นการลดทอนศักยภาพในตัวพวกเขาลงอย่างช้าๆ และในที่สุด ก็ไร้ศักยภาพในการต่อรองกับการใช้ชีวิต ไร้ภูมิต้านทานในการใช้ชีวิต ถ้าหากไม่ปล่อยให้ลำบากกันเสียบ้าง แล้วจะมีภูมิต้านทานในชีวิตได้อย่างไร

การเอาแต่ใจตัวเอง ใจร้อน ขัดใจไม่ได้จนเกินความพอดีของเด็กยุคปัจจุบัน นี่มันเป็นสัญญาณว่าเรากำลังจะไปกันไม่รอด เมื่ออนาคตของเราไปไม่รอด ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้

มันคงไม่ได้เกี่ยวกับว่าเป็นเรื่องของเด็กสมัยไหน เพราะมันก็เหมือนๆกัน แต่ที่มันไม่เหมือนกันก็คือ ศักยภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาชญากรรมในเยาวชนที่เพิ่มมากขึ้น นั่นคือสัญญาณว่าในอนาคต เราต้องมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวที่ออกจากบ้าน แม้แต่ในบ้านของเราเอง เราไว้ใจใครไม่ได้เลย และถ้าเราไว้ใจใครไม่ได้ เราจะเอาความสงบสุขมาจากไหน ความฝันอย่างนั้นหรือ ???

หากเรายังไม่มีมาตรการอะไรที่เด็ดขาด ชัดเจน และจริงใจในการแก้ไขแล้ว เราจะรอไปถึงเมื่อไหร่ ตอนที่ประเทศชาติแตกสลายไปใช่มั้ย หรือว่าตอนที่ถูกครอบงำโดยสมบูรณ์แล้ว

ไม่ใช่แค่เด็กที่สติแตก แม้แต่พ่อแม่ของเด็กเองก็ยังเป็นไปกับเขาด้วย ลูกฉันแตะต้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความกันแน่ ยอมไม่ได้

นี่เรา เดินกันมาถูกทางแล้วหรือ ??? มันเป็นทางไปนรกหรือสวรรค์กันแน่ มีใครที่คิดจะเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง จะรอไปถึงเมื่อไหร่ จะรอเทวดาที่ไหนมาแก้ไขให้อย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลหรือสังคม ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องของเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กหรือเรื่องไหญ่ แต่ถ้าเราไม่ร่วมมือกันแก้ไขด้วยตัวเอง พึงพาตัวเองกันก่อน แล้วเทวดาที่ไหนจะมาช่วย  ไม่ต้องรอไปหรอกยุคพระศรีอารย์น่ะ ถ้าหากอยากอยู่ในสังคมแบบนั้นก็สร้างมันขึ้นมาสิ จะรอไปเพื่ออะไรมิทราบ เป็นง่อยกันหรือไร ถึงจะต้องรอให้ใครเขามาแก้ไขให้

นี่คือความล้มเหลวทางสามัญสำนึกของสังคมที่ใครจะเข้ามาแก้ไขได้ จะแก้ไขที่ใคร ? รัฐ สังคม ครอบครัว ศาสนา หรือว่าตัวเราเอง หรือว่ายืนมองฟ้ามองดินแล้วโทษว่าฟ้ามันอยู่สูง แผ่นดินมันอยู่ต่ำจึงเป็นอย่างนั้น หรือนั่งฟังคำทำนายลมๆแล้งๆแล้วก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ขอเถอะไอ้คำว่าไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่เนี่ย เอาไปทิ้งทะเลเลยได้มั้ย

แทนที่จะเชื่ออย่างนั้น เอาเวลาไปลงมือแก้ไขกันเลยดีกว่ามั้ย อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย!!!

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเลขบันทึก: 135040เขียนเมื่อ 5 ตุลาคม 2007 05:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • อืมท่าทางทะเลต้องตื้นแน่คะ..เพราะมีแต่คนพูดแบบนี้
  • นั่นสิคะ..ปัญหาที่หมักหมม..เอ๋ยสะสมทุกวันนี้ เพราะเราต่างเกี่ยงกันคะ..แถมโยนความผิดให้คนอื่นอีกต่างหาก
  • มาช่วยกันคนละไม้ละมือดีกว่านะคะ..เริ่มที่บรรดาลูกหลานใกล้ตัวก่อนคะ
  • แล้วต่อยอดถึงลูกหลานคนอื่น
  • แต่ต้องดูทิศทางลมด้วยคะ เตือนเด็กๆสมัยนี้ต้องระวังถูกสวนกลับคะ

ท่านพี่ naree suwan สบายดีนะครับ

  • คนเดี๋ยวนี้กลัวกันโดยใช่เหตุ ไม่เข้าใจเหมือนกัน แทนที่เรามีความเจริญกันมาก็มาก แต่กลับวิ่งถอยหลังไปเชื่ออะไรก็ไม่รู้ที่มันพิสูจน์ได้ยาก ปากก็อยากให้พุทธศาสนาเป็นสาสนาประจำชาติ แต่ในความเป็นจริงกลับหลงงมงายไปกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นอวิชชา ไม่เข้าใจ จริงๆ ที่ไม่ใช่แง่ที่ว่ามันหมายความว่าอะไรนะครับ
  • คนเดี๋ยวนี้ปากไม่ตรงกับใจ ซึ่งมันขัดกับหลักศาสนาอย่างสิ้นเชิง แล้วจะออกมาพูดประกาศได้อย่างไรว่า พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติได้เต็มปากกันล่ะครับ
  • ไม่ปฏิเสธเลยหากจะให้เป็น แต่ต้องเป็นไปทั้งกาย วาจา และใจครับ ไม่อย่างนั้นก็อย่าออกมาพูดกันเลยจะดีกว่า เป็นพระสงฆ์เป็นศิษย์พระตถาคต แต่กลับออกมายืนประท้วงกันเย้วๆ นั่นมันเป็นกิจของสงฆ์หรือเปล่าหนอ? มันเป็นโลกะวัชชะหรือเปล่าหนอ?
  • ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีไว้ให้เก็บเพียงแต่หน่วยกิตครับ แต่มันเป็นกรณีศึกษาชั้นดีที่ไม่อาจมองข้าม ถ้าเรารู้ประวัติศาสตร์ เราก็รู้อนาคตครับ ดูลมต้องดูที่ต้นกำเนิดของมัน เราไม่ห้ามลมพัด แต่เราหาทางป้องกันได้ครับ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท