อัตตา - อนัตตา และ อัตตา - นิรัตตา
ในสุตตนิบาต มีพุทธพจน์ หลายแห่งตรัสถึงพระอรหันต์ คือ ผู้บรรลุจุดหมายแห่งชีวิต ประเสริฐแล้ว หรือท่านผู้ปฏิบัติถูกต้องแล้วว่า เป็นผู้ที่ไม่มีทั้งอัตตาและนิรัตตา หรือทั้ง อตฺตํ และ นิรตฺตํ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ไม่มีข้องในความยึดถือทั้งอัตตาและไร้อัตตา หรือไม่มีทั้งตัวตน และไร้ตัวตน
คัมภีร์มหานิทเทสอธิบาย “อตฺตา” หรือ “อตฺตํ” ว่าได้แก่ อัตตานุทิฏฐิ คือ ความเห็นว่า เป็นตัวเป็นตน หรือสัสสตทิฏฐิ คือ ความเห็นว่า มีตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป และ “นิรตฺตา” หรือ “นิรตฺตํ” ว่า ได้แก่ สิ่งที่จะต้องละหรือปล่อย ถือเอาใจความว่า “พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือท่านผู้มีปัญญาเข้าใจถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีทั้งความยึดถือตัวตนและทั้งความยึดถือว่าไม่มีตัวตน (อุจเฉททิฏฐิ) ไม่มีทั้งสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ และทั้งสิ่งที่จะต้องปล่อย ผู้ใดมีสิ่งที่จะต้องปล่อยละ ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ยึดถือไว้ พระอรหันต์ล่วงพ้นการยึดถือและการปล่อยละไปแล้ว
(ขุ.ม.๒๙/๒๒/๖๖-๖๗. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ,๒๕๐๐)
ความเข้าใจในพุทธพจน์ และอรรถาธิบายข้างต้นนี้จะช่วยให้เข้าใจความหมายของหลักอนัตตาครบถ้วนสมบูรณ์ ยิ่งขึ้น
ธรรมดาว่า ปุถุชนย่อมมีความยึดถือในตัวตนอย่างเหนียวแน่น อย่างหยาบ ๆ ก็ถือเอารูป คือ ร่างกาย เป็นตัวตน เมื่อคิดลึกซึ้งลงไป เห็นว่าร่างกายเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้อย่างชัด ๆ ก็เลื่อนไปยึดเอาจิต หรือคุณสมบัติบางอย่างของจิต เช่นความรู้สึก ความจำ ปัญญา การรับรู้ ว่าเป็นตัวตน ถ้าใช้ศัพท์ทางธรรมก็ว่ายึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตาบางทีก็ยึดถือรวม ๆ คลุมๆ ทั้งกายและใจ คือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด ว่าเป็นตัวตน
บ้างคิดแยบยลลึกซึ้งต่อไปอีกว่าทั้งกายและใจ หรือขันธ์ ๕ ทั้งหมด เป็นตัวตนไม่ได้ แต่มีตัวตนอยู่ต่างหาก เป็นอัตตาหรืออาตมันตัวแท้จริงเป็นแก่นสารของชีวิตซ้อนอยู่ภายในขันธ์ ๕ หรืออยู่นอกเหนือจากขันธ์ ๕ แต่เป็นตัวครอบครองควบคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง
เจ้าลัทธิและนักปราชญ์เจ้าปัญญาผู้สามารถทั้งหลายพากันคิดค้นเรื่องตัวตนนี้ โดยโยงเข้ากับการค้นหาสภาวะแท้ที่มีจริงในขั้นสุดท้าย หรือตัวสัจธรรมหรือบรมธรรม บางท่านก็ประกาศว่าตนได้เข้าถึงสภาวะที่แท้จริงนั้นแล้ว อันเป็นแท้ตัวจริงเป็นอัตตาหรืออาตมันสูงสุด อย่างที่บัญญัติเรียกว่า ปรมาตมันบ้าง พรหมันบ้าง พระผู้เป็นเจ้าบ้าง
ต้องยอมรับว่า เจ้าลัทธิและนักปราชญ์เหล่านั้น เป็นเจ้าความคิดอย่างสูง มีความรู้ความสามารถมากอย่างที่ท่านเรียกว่าเป็นสมณพราหมณ์ ผู้ประเสริฐหรือเป็นเจ้าทฤษฏีชั้นพรหม และสภาวะที่ท่านเหล่านั้นกล่าวถึงก็ประณีตลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ตราบใดที่สภาวะนั้นยังมีความเป็นตัวตนติดอยู่หรือยังเป็นเรื่องของตัวตน ก็พึงทราบว่ายังไม่ใช่สภาวะที่แท้จริง ไม่ใช่ปรมัตถธรรม ไม่ใช่บรมธรรม เพราะยังถูกเคลือบคลุม และยังพัวพันด้วยความยึดถือ
สภาวะจริงแท้นั้นมีอยู่ มิใช่เป็นความสูญสิ้นไม่มีอะไรเลย แต่ก็มิใช่เป็นสภาวะที่จะเข้าถึงหรือประจักษ์ได้ด้วยความรู้ที่ถูกกั้นบังให้พร่ามัวหรือบิดเบือนโดยสภาพเก่า ๆ ที่ผิดพลาด และด้วยจิตที่ถูกฉุดรั้งไว้โดยความยึดติดในภพเก่าที่ยึดพลาดนั้น
การที่สมณพราหมณ์ผู้ประเสริฐหรือเจ้าลัทธิชั้นพรหมจำนวนมาก ไม่สามารถรู้แจ้งแทงตลอดถึงสภาวะแท้จริงขั้นสุดท้าย ก็เพราะว่าแม้ว่าสมณพราหมณ์ หรือ เจ้าลัทธิเจ้าทฤษฎีเหล่านั้นจะรู้ชัดแล้วว่า ตัวตนระดับกายใจชนิดที่เคยยึดถือมาก่อนไม่ใช่เป็นสภาวะที่จริงแท้ และไม่ยอมรับแม้กระทั่งขันธ์ ๕ แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังนำเอาเครื่องพรางตาตัวเอง ๒ อย่างของปุถุชนติดตัวไปด้วยตลอดเวลาในการค้นหาสภาวะที่แท้จริงขั้นสุดท้ายกล่าวคือ
๑. บัญญัติแห่งอัตตา คือ มโนภาพของตัวตนที่เป็นคราบติดมาตั้งแต่ยึดติดในตัวตนระดับหยาบระดับร่างกาย แม้มโนภาพนี้จะละเอียดประณีตขึ้นมากเพียงใด มันก็เป็นภาพอันเดียวกันหรือเทือกเถาเดียวกันอยู่นั่นเอง และเป็นภาพแห่งความหลงผิด ซึ่งเมื่อเขาไปเกี่ยวข้องกับสภาวะใด ๆ เขาก็จะเอาบัญญัติหรือมโนภาพอันนี้ไปป้ายหรือฉาบทาสภาวะนั้น ทำให้มีสิ่งกั้นบัง เกิดความพร่ามัว หรือบิดเบือน และทำให้สภาวะที่เขาเข้าใจ ไม่ใช่สภาวะจริงแท้ที่ล้วน ๆ บริสุทธิ์
๒. ความยึดติดถือมั่น (อุปาทาน) ซึ่งเขามีมาแต่เดิมตั้งแต่ยึดติดในอัตตาอย่างหยาบ ๆ ขั้นต้น ซึ่งเป็นความหลงผิดอยู่แล้ว เขาก็ยังพาเอาความยึดติดนี้ไปด้วยและนำไปใช้ในการสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสภาวะที่จริงแท้ ความยึดติดในภาพตัวตนนี้จึงกลายเป็นเครื่องฉุดรั้งเขาไว้ให้ไม่อาจเข้าถึงสภาวะที่จริงแท้นั้นได้
ถ้าพูดอย่างสั้น ๆ ก็คือ สมณพราหมณ์ หรือเจ้าทฤษฎีเหล่านั้นยังไม่หลุดพ้นนั่นเอง ยังไม่หลุดพ้นจากบัญญัติหรือภาพที่หลงผิด และยังไม่หลุดพ้นจากความยึดติดถือมั่น ซึ่งว่าที่จริงก็พันกันอยู่เป็นเรื่องเดียวกัน คือ พูดรวมเข้าด้วยกันได้ว่า พวกเขาหลงผิดหยิบเอาภาพอัตตาที่ติดมาจากอุปาทานเดิมของตนไปปิดทับสภาวะหรือกระบวนการที่มีอยู่ตามธรรมชาติเสีย เลยวนเวียนติดตันอยู่ตามเดิม ความหลุดพ้นนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะให้เข้าถึง หรือรู้ประจักษ์สภาวะที่จริงแท้ได้ เพราะสภาวะจริงแท้ขั้นสุดท้ายหรืออสังขตธรรม มีภาวะตรงข้ามกับสภาวะฝ่ายปรุงแต่ง เพราะสภาวะจริงแท้ขั้นสุดท้ายหรือ อสังขตธรรม มีภาวะตรงข้ามกับสภาวะฝ่ายปรุงแต่งหรือสังขตธรรม เป็นสภาวะที่ถึงเมื่อสภาวะฝ่ายสังขตะสิ้นสุดลง คือเป็นสภาวะที่จะเข้าถึงเมื่อละความยึดถือในอัตตาได้แล้ว
แม้แต่จะพิจารณาในระดับสังขตธรรมคือสังขาร ถ้าพิจารณาตามแนวพุทธธรรมที่ว่า อัตตาหรือตัวตนเป็นสิ่งสมมติ สภาวะที่จริงแท้ย่อมเป็นสิ่งตรงข้ามกับสมมติ เป็นคนละเรื่องคนละด้านกัน เมื่อพ้นจากสมมติจึงจะเข้าถึงสภาวะจริงแท้ สภาวะจริงแท้ของสมมติจะเป็นอัตตาไม่ได้ พูดง่าย ๆ อย่างชาวบ้านว่า สมมติบัญญัตินั้นๆ แท้จริงเป็นอนัตตา
ตัวการสำคัญของความหลงผิด ก็คือ บัญญัติหรือภาพของอัตตา กับความยึดติดถือมั่นหรือความยึดถือ ในเมื่ออัตตาหรือตัวตนไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสมมติบัญญัติ มันจึงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกยึดถือเอาไว้ ฉะนั้น ในสุตตนิบาตที่อ้างข้างต้น คำว่า “อตฺตา” หรือ “อตฺตํ” จึงแปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่าตัวตนหรือการยึดถือตัวตนก็ได้ แปลว่า สิ่งที่ยึดถือเอาไว้ก็ได้ หมายความว่า ตัวตนก็คือสิ่งที่ยึดถือเอาไว้เท่านั้นเอง มิใช่สภาวะที่มีอยู่จริงในภาวะสมมตินั้น
อีกประการหนึ่ง ในสุตตนิบาตที่อ้างถึงนั่นแหละ ท่านกล่าวถึง “อตฺตา” คู่กับ “นิรตฺตา” หรือ “อตฺตํ” คู่กับ “นิรตฺตํ” และบอกว่า พระอรหันต์หรือผู้ปฏิบัติชอบไม่มีทั้งอัตตาและอัตตัง และไม่มีทั้งนิรัตตาและนิรัตตัง นิรัตตาหรือ นิรัตตังก็แปลได้ ๒ อย่างเช่นเดียวกับอัตตาหรือ อัตตัง คือแปลว่า (การยึดถือว่า) ไม่มีอัตตาหรือการถือว่า (อัตตา)ขาดสูญก็ได้ แปลว่า สิ่งที่จะต้องปล่อยละหรือสลัดทิ้งก็ได้ ข้อนี้หมายความว่าเมื่อไม่ยึดถืออีกว่า ไม่มีอัตตาตัวเองจะเป็นอิสระสบายดีอยู่แล้ว แต่ไปจับยึดสิ่งที่พาให้ผิดเข้า
เมื่อเลิกจับเลิกยึดได้แล้ว ก็จบเรื่องไม่ต้องไปจับไปยึดอะไรอีก เมื่อไม่มีสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งที่จะต้องละต้องปล่อย เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า “นตฺถิ อตฺตา กุโต นิรตฺตํ วา (สิ่งที่ยึดถือไว้ก็ไม่มีแล้วสิ่งที่ต้องปล่อยละจะมีแต่ที่ไหน)
(ขุ.สุง๒๕/๙๒๖/๕๑๕; และคำอธิบายใน ขุ.ม.๒๘/๑๕๔/๒๙๒-๒๙๓.ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ,๒๕๐๐.)
พึงสังเกตด้วยว่า ถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องจริง ๆ แล้ว แม้แต่คำว่าความยึดถืออัตตา ก็ใช้ไม่ได้
ต้องพูดว่าความยึดถือในภาพของอัตตา หรือยึดถือบัญญัติอัตตา เพราะอัตตาเป็นเพียงสิ่งที่สมมติ ไม่มีอยู่จริง ในเมื่ออัตตาไม่มีอยู่จริง ก็เพียงไม่ยึดถือ (ว่ามี) อัตตา หรือไม่ยึดถือบัญญัติของอัตตาเท่านั้นไม่ต้องละอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะยึดถือได้ จะไปละอัตตาที่ไหน การถือ (ว่ามี) อัตตา ก็คือการสร้างภาพอีกอันหนึ่งขึ้นมาซ้อนสภาพความเป็นจริงที่มีอยู่เป็นไปอยู่ สิ่งที่จะต้องทำก็เพียงเลิกสร้างภาพเท่านั้น ถ้าไม่เลิกสร้างภาพนั้น แม้เลิกยึดอย่างหนึ่งแล้ว ไปจับสิ่งอื่นอะไรก็ตาม ก็จะเอาภาพหรือคราบของอัตตาไปปะติดหรือป้ายหรือฉาบทาสิ่งนั้นให้ไม่เห็นตัวจริงหรือเห็นผิดเพี้ยนไป ดังนั้นกิจที่จะต้องทำก็คือ เลิกถอนความยึดติดถือมั่นในภาพอัตตาที่เคยมี แล้วไม่เป็นไปตาม ไม่ขึ้นต่อความยึดถือของตน ในเมื่อตัวตนเป็นสิ่งสมมติ เป็นบัญญัติ (Concept) เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร ถ้าเราเพียงแต่รู้เท่าทัน ใช้โดยไม่ยึดติดมันก็ไม่มีพิษสง ไม่ก่อให้เกิดโทษความเสียหายอันใด และถ้าเราเคยยึดถือมันก็เพียงแต่เลิกยึดเท่านั้น เมื่อไม่มีการยึดแล้ว ก็เป็นอันจบเรื่อง ไม่ต้องเอาภาพอัตตาไปใส่ให้อะไรอีก ไม่ต้องไปคว้าเอาอะไรมายึดเป็นอัตตาอีก ตลอดจนไม่ต้องไปค้นหาอัตตาที่ไหนอีก
เพราะฉะนั้น ภาระในการสอนของพระพุทธเจ้า
จึงมีเพียงแต่ทรงสอนให้เลิกยึดถืออัตตาที่ยึดถืออยู่แล้วเท่านั้น คือให้เลิกยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เมื่อเลิกยึดอัตตาแล้ว ก็เป็นอันหมดเรื่องกับอัตตา
ต่อนั้นไปก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงสภาวะที่จริงแท้ซึ่งมีอยู่ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอัตตา(สมมติ) เป็นเรื่องพ้นจากการยึดถืออัตตาแล้วและก็ไม่ต้องไปยึดถือต่อไปอีกว่า มีอัตตาหรือไม่มีอัตตา สิ่งที่ไม่มี เมื่อรู้ว่าไม่มีแล้วก็เสร็จเรื่องกัน
จากนั้นก็เข้าไปหาสิ่งทีมีจริงหรือสภาวะจริงแท้คือ อสังขตธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องของอัตตาและความยึดถืออีกต่อไป จากคุณ : ปราชญ์ขยะ
- [ 23 ส.ค. 50 19:01:31 ]