ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมกำหนดแสงสว่างไว้ในใจ สมาธิภาวนาอย่างนี้ย่อมเป็นไปเพื่อได้ ญาณทัสสนะ
พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู คือรู้เรื่องชีวิทุกประเภท ซึ่งคำว่า "รู้ " ในที่นี้หมายถึงรู้จักชีวิตเหล่านี้ทั้งหมด "ทั้งได้เคยเห็น" เคยเข้าใกล้ เคยเข้าไปสนทนาด้วย ดังจะเห็นได้จากเรื่องที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ดังนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่ภูเขาหินพื้นราบแห่งหนึ่งชื่อว่า คยาสีสะ ใกล้หมู่บ้านคยา ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ก่อนที่เรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ครั้งนั้นเรากำหนดเห็นแสงสว่างได้ แต่ครั้งแรกยังไม่เห็นรูปทั้งหลาย เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วยและเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย ญาณทัสสนะของเราอันนี้ ก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก
ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ครั้นแล้วเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วยและเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย แต่จะอยู่ในสมาธิเจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายยังไม่ได้ (กล่าวคือ พอจะถามอะไรกับเทวดา สมาธิก็ถอยออกมา แสงสว่างก็หายไป รูปของเทวดาก็หายไป) เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงกำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วย เห็นรูปเทวดาทั้งหลายได้ด้วยและอยู่ในสมาธิเจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายได้ด้วย ญาณทัสสนะอันนี้ของเราก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก
ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ครั้นแล้วเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้ด้วยและเห็นรูปทั้งหลายได้ด้วย และอยู่ในสมาธิเจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายได้ด้วย แต่เราไม่รู้ว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้มาจากเทพนิกายไหน เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงรู้ว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้มาจากเทพนิกายนั้นนิกายนี้ ญาณทัสสนะของเราอันนี้ก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก
ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ครั้นแล้วเราก็รู้จักเทวดาทั้งหลายว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้ มาจากเทพนิกายนั้นเทพนิกายนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าเทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นหรือที่นี้แล้วจะไปเกิดในที่ไหน และด้วยวิบากของกรรมอะไร
ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นหรือที่นี้แล้วจะไปเกิดในที่ไหนด้วยวิบากของกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเทวดาแต่ละองค์มีอาหารอย่างไรเสวยสุขและทุกข์อย่างไร
ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอาหารอย่างนั้นอย่างนี้เสวยสุขและทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าเทวดาแต่ละองค์โดยปกติมีอายุยืนนานเท่าไร
ครั้นแล้วต่อมา เราก็รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอายุยืนนานเท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่รู้ว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านั้นในครั้งก่อนหรือไม่ เราจึงได้เกิดความคิดว่า ถ้าหากเราจะพึงรู้ว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้ในครั้งก่อนด้วยหรือไม่ ญาณทัสสนะอันนี้ของเราก็จะพึงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอีก
ฉะนั้น ในเวลาต่อมา เราจึงไม่ประมาท พยายามปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น
**** ปริวัฏ ๘ ****
๑. ครั้นแล้วเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้
๒. เห็นรูปทั้งหลายได้
๓. อยู่ในสมาธิเจรจาไต่ถามกับเทวดาทั้งหลายได้
๔. รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มาจากเทพนิกายนั้นเทพนิกายนี้
๕. รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้จุติจากที่นั้นหรือที่นี้แล้วจะไปเกิดในที่ไหนด้วยวิบากของกรรมอย่างนั้นอย่างนี้
๖. รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้
๗. รู้ว่า เทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีอายุยืนนานเท่านั้นเท่านี้
๘. รู้ว่า เราได้เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านี้ในครั้งก่อนด้วยหรือไม่
ภิกษุทั้งหลาย อธิเทวญาณทัสสนะ ซึ่งมีปริวัฏ ๘ ของเรา ถ้ายังไม่บริสุทธิ์ดีเพียงใด เราก็ไม่ปฏิญญาว่าเราได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก ในพรหมโลก ในหมู่ประชา ซึ่งมีทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แต่เพราะเหตุที่อธิเทวญาณทัสสนะ ซึ่งมีปริวัฏ ๘ ของเราบริสุทธิ์ดีแล้ว ฉะนั้นเราจึงได้ปฏิญญาว่าเราได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกนี้ ในเทวโลก ในมารโลก ในพรหมโลก ในหมู่ประชา ซึ่งมีทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย และญาณทัสสนะได้บังเกิดแก่เราด้วยว่า ใจของเราได้หลุดพ้นแล้วโดยเด็ดขาด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่นี้ต่อไป การเกิดใหม่ไม่มีอีก"
(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ๒๓/๖๔/๒๕๐ มจร./๓๑๑ มมร./๓๒๖ ศน.)
->> คำว่า อธิเทวญาณทัสสนะ นั้นแปลว่า การรู้การเห็นเทวดาทั้งหลายอันสูงสุด หรือจะแปลตามตัวว่า ญาณทัสสนะที่เป็นไปทับซึ่งเทวดาทั้งหลาย หมายความว่า ญาณทัสสนะอันนี้สูงกว่าเทวดาทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง แปลว่า ญาณทัสสนะ อันนี้สามารถที่จะรู้และเห็นแม้กระทั่งเทวดาชั้นสูงสุด
->> ขอให้สังเกตว่า พระพุทธเจ้าเห็นพวกเทวดาเหล่านี้ได้ ก็เพราะพระองค์เข้าสมาธิไปแล้วมีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจ ซึ่งแสงสว่างที่ปรากฏในใจนี้สว่างมากเหมือนกับแสงสว่างในเวลากลางวันทีเดียว จึงจะสามารถเห็นเทวดาทั้งหลาย ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า :-
"ภิกษุทั้งหลาย ก็สมาธิภาวนาอย่างไหนที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมกำหนดแสงสว่างไว้ในใจ (อาโลกสญฺญํ มนสิกโรติ) และอธิษฐานให้สว่างเหมือนกลางวัน (ทิวาสญฺญํ อธิฏฺฐาติ) เธอพยายามทำอยู่อย่างนั้น ทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันทำได้อย่างไร กลางคืนก็ทำได้อย่างนั้น หรือกลางคืนทำได้อย่างไร กลางวันก็ทำได้อย่างนั้น เธอมีใจสงบ ไม่มีนิวรณ์หุ้มห่อ ทำใจอันประกอบด้วยแสงสว่างให้เกิดขึ้น (สปฺปภาสํ จิตตํ ภาเวติ) ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้แลที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ
(อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ๒๑/๔๑/๕๐ มจร./๕๗ มมร./๖๑-๒ ศน.)
>>> จากหลักฐานที่อ้างมานี้จะเห็นว่า ใครก็ตามในเมื่อสามารถเข้าสมาธิไปแล้ว มีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจและสว่างมากเหมือนกับแสงสว่างในเวลากลางวัน พร้อมทั้งมีความชำนาญ คือทำได้เช่นนี้เสมอไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน คือเมื่อเข้าสมาธิไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนทั้งที่หลับตาแล้วมืดไม่เห็นอะไรเลยแต่ในใจไม่ได้มืดเพราะมีแสงสว่างเกิดขึ้น และสว่างมากด้วย เพราะมีแสงสว่างซึ่งเกิดจากใจที่เป็นสมาธิอย่างสูง ด้วยแสงสว่างอันนี้จึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ตาธรรมดามองไม่เห็น เช่น อย่างพวกโอปปาติกะ(กายละเอียด) หรือสิ่งต่างๆ ในโลกของโอปปาติกะ ก็สามารถมองเห็นได้ แต่ขอบเขตของการเห็นนี้อาจจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิว่ามีมากน้อยแค่ไหน ดังเช่น ที่พระองค์ได้ตรัสกับพระอนุรุทธว่า :-
"อนุรุทธ สมัยใดสมาธิของเราน้อย สมัยนั้นจักษุของเราก็น้อย เมื่อจักษุน้อยเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้น้อย และเห็นรูปได้น้อย แต่ถ้าสมัยใด สมาธิของเรามาก สมัยนั้นจักษุของเราก็มาก เมื่อจักษุมากเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้มาก และเห็นรูปได้มาก เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนทั้งวันบ้าง"
(มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๑๔/๒๔๓ มจร./๓๐๘-๙ มมร./๒๘๑ ศน.)
จากหลักฐานที่ยกมาให้เห็นนี้ ถ้าจะมีใครปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่า การฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่างเป็นนิมิตนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติและได้บรรลุผลคือเกิดญาณทัสสนะ สามารถเห็นรูปเห็นเทวดาต่างๆ การเห็นรูปเห็นเทวดาต่างๆ ได้นั้น แสดงให้เห็นว่าการฝึกสมาธิให้เกิดแสงสว่างในใจ รูปที่เห็นมิใช่ "นิมิต" แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากญาณทัสสนะอันละเอียด และสิ่งที่เห็นเป็น "ของจริง" เช่น เรื่องเทวดาที่พระพุทธองค์ทรงเห็นและทรงพิจารณา อธิเทวญาณทัสสนะ ซึ่งมีปริวัฏ ๘ จนบริสุทธิ์ดีแล้ว จึงทรงได้ปฏิญญาว่าพระองค์ได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
หรือท่านจะมีข้ออ้างอย่างอื่นนอกจากนี้ อย่างไรก็ตาม ก็ขอได้โปรดคิดให้รอบคอบ เว้นไว้แต่ท่านจะไม่ยอมรับว่า เรื่องที่อ้างนี้เป็นพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ ถ้าอย่างนี้ก็เลิกพูดกันเพราะไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะถกเถียงกับบุคคลผู้ซึ่งมีนิสัยเข้าในลักษณะที่ว่า "สิ่งใดชอบใจฉัน ฉันเห็นด้วย สิ่งใดไม่ชอบใจฉัน ฉันไม่เห็นด้วย หรือสิ่งใดลงรอยกับเรื่องที่เคยรู้ เคยเชื่อ ก็ยอมรับ ถ้าไม่ลงรอยหรือขัดกับเรื่องที่เคยรู้เคยเชื่อ ก็หาทางปฏิเสธ"
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป...
อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/
ไม่มีความเห็น