อย่าไปเลยนิพพาน นานนักหนา


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

อย่าไปเลยนิพพาน  นานนักหนา



                       แว่วเสียงพญามารลั่นก้องมาจาก
มหาพรหมโลก



                 คราวนั้น  เมื่อเห็นดังนั้น  เห็นว่าพระพุทธเจ้า
ตรัสรู้ธรรมจึง   เห็นว่าพรหมโลกไม่เที่ยงจริง  มารก็ยังไม่
ยอมลดละที่จะปล่อยให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่ง
สอนดั่งที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวแก่ภิกษุต่อไปว่า


              “ภิกษุทั้งหลาย   ครั้งนั้น  มารผู้มามกเข้า
สิง   พรหมปาริสัชชะองค์หนึ่งแล้วกล่าวกะเราว่าท่านผู้
นิรทุกข์  ถ้าท่านรู้จักอย่างนี้  ตรัสรู้อย่างนี้ก็อย่าแนะนำ
 อย่าแสดงธรรม  อย่าทำความยินดีกะพวกสาวกและพวก
บรรพชิตเลย   ภิกษุ  สมณะและพราหมณ์พวกก่อนท่าน
ผู้ปฏิญญาว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก  
สมณะและพราหมณ์พวกนั่นแนะนำแสดงธรรม  ทำความ
ยินดีกะพวกสาวกและพวกบรรพชิตครั้นกายแตกขาดลม
ปราณก็ไปเกิดในหินกายหมู่สัตว์ชั้นเลว   ส่วนสมณะและ
พรหมณ์พวกก่อนท่าน  ผู้ปภิญญาว่าเป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า  สมณะและพราหมณ์พวกนั้น  ไม่แนะนำไม่
แสดงธรรมไม่ทำความยินดีกะพวกสาวกบรรพชิต  ครั้น
กายแตกขาดลมปราณก็ไปเกิดในปณีตกายหมู่สัตว์ชั้นดี
ภิกษุเพราะฉะนั้นเราจึงบอกกะท่านอย่างนี้


               ท่านผู้นิรทุกข์   เชิญท่านเป็นผู้มักน้อย  ตาม
ประกอบความอยู่สบายในชาตินี้อยู่เถิด   เพราะการไม่
บอกเป็นความดี  ท่านอย่าสั่งสอนสัตว์อื่น ๆ  เลย



             ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้วเราจึง
กล่าวว่า  มารผู้ลามก  เรารู้จักท่าน  ท่านอย่าเข้าใจว่าพระ
สมณะไม่รู้จักเราท่านเป็นมาร  ท่านหามีความอนุเคราะห์
ด้วยจิตเกื้อกูลไม่  จึงกล่าวกะเราอย่างนี้ท่านมีความดำริ
ว่า  พระสมณโคดมจักแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด  ชนเรานั้น
จักล่วงวิสัยของเรา  (มาร)  ไป  ก็พวกสมณะและพราหมณ์
นั้นมิได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ปภิญญาว่าเราทั้งหลาย
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



                      มารผู้ลามก  เราเป็นสัมมาสัมพุทธะย่อม
ปภิญญาว่าเราเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า


                     มารผู้ลามก  ตถาคตแม้เมื่อแสดงธรรม
แก่พวกสาวก  ก็เป็นเช่นนั้น  แม้เมื่อไม่แสดงธรรมแก่พวก
สาวกก็เป็นเช่นนั้น   ตถาคตแม้เมื่อแนะนำพวกสาวกก็เป็น
เช่นนั้น  แม้เมื่อไม่แนะนำพวกสาวกก็เป็นเช่นนั้นนั่นเป็น
เพราะเหตุอะไร   เพราะอาสวะเหล่าใดอันให้เศร้าหมองให้
เกิดในภพใหม่มีความกระวนกระวาย  มีวิบากเป็นทุกข์  มี
ชาติ  ชรา  มรณะต่อไป   อาสวะเหล่านั้น  ตถาคตละเสีย
แล้วมีรากเหง้าอันถอนขึ้นแล้วทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาล
แล้วทำไม่ให้มีต่อไปแล้วมีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็น
ธรรมดาเหมือนต้นตาลมียอดถูกตัดเสียแล้วไม่ควรงอกอีก
ได้ฉะนั้น...”


(พระไตรปิฎก  มหามกุฎฯ  เล่ม  ๑๙  หน้า  ๔๔๗-๔๔๘)



-->> มารขอร้องแกมบังคับพระพุทธเจ้าไม่ให้สั่งสอนแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย  โดยยกเอาภพชั่ว  ภพดี  ขึ้นมาสู่  แต่พระพุทธองค์ทรงบอกว่า  เราไม่เกิดในภพใดอีกแล้ว  จนแนะนำสั่งสอนหรือไม่เราก็ไม่เกิดในภพชั่วภพดี  เพราะละภพได้แล้ว   มารไม่ต้องมาเตือนด้วยแสร้งเป็นปรารถนาดีหรอก   เรารู้จักท่านดี  ท่านเป็นมารผู้ลามก


เป็นการต่อรองทุกรูปแบบของมาร  ที่พยายามไม่ให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นออกไปได้จากโลกสงสารที่มารครอบงำอยู่  พญามารไม่ปรารถนาให้ผู้ใดไปสู่
นิพพาน  เพราะถือว่าสัตวโลกเป็นสมบัติของมาร   พระ
พุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นผู้แย่งสมบัติมาร คือสัตวโลกให้
หลุดพ้นวงเวียนมารไปสู่พระนิพพานอมตมหานครได้คราว
ละมาก  ๆ  มารจึงเป็นผู้คอยขัดขวางไม่ให้บังเกิดพระ
พุทธเจ้าขึ้นในโลก   คอยขัดขวางผู้ที่จะดำเนินรอย
ตามพระพุทธเจ้าเพื่อสู่ความหลุดพ้น   แม้เมื่อคราวที่พระ
สมณโคดมขึ้นไปปรากฏเพื่อให้สติท้าวมหาพรหม  
พกพรหม  พี่พรหมโลกคราวนั้น  จนกระทั่งท้าวมหาพรหม
พกพรหมท้าทายพระพุทธเจ้าให้มีการหายตัวแข่งกัน  
ผลที่สุดท้าวมหาพรหมแพ้เพราะหายตัวไปจากพระพุทธเจ้า
ไม่ได้  แต่พระพุทธเจ้าทรงหายตัวได้

 

ผู้ปรารถนาหลุดพ้นต้องรู้จักมารให้ชัดแจ้ง



มารตัวโตที่เห็นอยู่ก็คือตัวเราเองนั่นเอง   เราเกิดมาจากกิเลสอยู่ด้วยกิเลส  และจะตายไปสู่กิเลส  เราจึงเป็นมารโดยแท้   ไม่ต้องไปรู้จักมารตัวอื่น  รู้จักมารคือตัวเราตัวเดียว  ย่อมหลุดพ้นได้จากมารโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้



ในตัวเรานี้เป็นที่สิ่งของมาร  ๕  หมู่คือ


๑. กิเลสมาร  กิเลสทั้งหลายในตัวเรา

๒. ขันธมาร  คือเบญจขันธ์ของเรา  มีรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ

๓. อภิสังขารมาร  คือกรรมที่ถูกปรุงแต่งต่างๆ ทั้งกรรมชั่ว กรรมดี

๔. เทวปุตตมาร  เทวดาที่หลงติดสวรรค์เป็นมาร

๕. มัจจุมาร  ความตายที่พรากชีวิตให้ขันธ์แตก  แล้วจับไปเกิดอีกตามกรรมชั่วกรรมดี



นี่เป็นมารในตน   เป็นตนที่เป็นมาร  เป็นมารที่เราต้องต่อสู่ให้ได้ชนะมารตัวนี้ตัวเดียวเท่ากับชนะมารทั้งมารโลก มารตัวเรานี่เองทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งเพื่อมุ่งพระนิพพาน



“พรุ่งนี้ค่อยทำ   พรุ่งนี้ค่อยทำ”




เป็นเสียงแว่วของมารที่ก้องมาจากตัวเราเองอยู่เสมอ คอยแต่พรุ่งนี้ ๆ โดยหารู้ตัวไม่ว่าเรากำลังจะตายวันนี้  เมื่อตายลงไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเราหรอก  เมื่อไม่ทำอารมณ์มุ่งพระนิพพานวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีให้เข้าสู่อารมณ์พระนิพพานได้



พระนิพพานคือขณะนี้
ไม่ใช่ปัจจุบัน  ไม่ใช่อดีต  และไม่ใช่อนาคต




เพราะพระนิพพานไม่มีกาลเวลาเนื่องจากไม่มีพระจันทร์พระอาทิตย์  ทั้งสอง  เริ่มต้นด้วยศรัทธา   ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าว...เราเปิดประตูอมตบทแก่ท่านแล้ว  สัตว์เหล่าใดจะฟังปล่อยศรัทธามาเถิด
...และในตอนท้ายก่อนจะหลุดพ้นได้   พระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวอีกว่า  ศรัทธาเป็นปัจจัยแห่งโมหะ  (ความหลง)  แสดงให้เห็นว่าจงเข้ามาด้วยความเชื่อถือและเลื่อมใส  เมื่อเห็นแจ้งแล้วให้สลัดแม้ตัวศรัทธานั้นทิ้งไปเสียจึงจะพ้นอวิชชาสู่พระนิพพานได้



เมื่อเห็นแจ้งแล้วอย่าติดแม้กระทั่งความเชื่อถือ
 ไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อ เชื่ออยู่  แต่ไม่ให้ติดอยู่ในความเชื่อนั้นจนมาไม่ถึงจุดหลุดพ้นเป็นที่สุดเพราะในนิพพานไม่มีแม้กระทั่งความเชื่อใด ๆ อยู่เลย

“อย่าไปเลยพระนิพพาน  นานหนักหนา”



บทเพลงพญามาร  จะคอยขับกล่อมเพื่อดึงอารมณ์ลงอยู่เช่นนั้น
มารมักจะอ้างว่า   แม้พระพุทธเจ้ากว่าจะเดินทางไปถึงพระนิพพานได้ก็ต้องใช้เวลาตั้งแต่เริ่มต้นคิดนานถึง  ๒๐  อสงไขยอีกแสนกัป  นานมากจนไม่อาจนับได้


ความยาวนานของชีวิตในมารโลกที่เวียนว่ายตายเกิดโดยไม่นิพพาน  จะยาวนานมากกว่าการเดินทางสู่พระนิพพานของพระพุทธเจ้าอีกกี่ล้านเท่าก็ย่อมได้  ไปวนเวียนอยู่ในนั้นทำไม  จนไม่มีเวลาหลุดพ้นออกมาถ้าไม่คิด  กาลเวลาไม่มีวันหลุดพ้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยมีแต่โทษมีแต่ทุกข์  ทุกข์  ทุกข์   จนเป็นกองทุกข์ท่วมท้นทวีคูณ



ไม่มีคำว่าสายเกิดไปที่จะคิดมุ่งสู่พระนิพพาน
ไม่มีคำว่านานหนักหนากว่าจะไปถึงพระนิพพาน
แวบเดียวแหละ  เมื่อถึงเวลานิพพาน
จากมรรคจิต  (มรรคญาณ)  สู่ผลจิต  (ผลญาณ)  
ท่านอธิบายว่าชั่วแวบเดียวจริง ๆ  เมื่อเข้าทางแล้วจะมุ่งไปสุดทางทันที

“สู่นิพพานกันเถิด ประเสริฐนัก”


บทเพลงพระอรหันต์ขับกล่อมถึงอารมณ์เพื่อสู่ความหลุดพ้นย่อมไพเราะกว่า
 เพราะเป็นบทเพลงแห่งการสร้างสรรค์  และหลุดพ้นบทเพลงแห่งพระนิพพานเป็นบทเพลงแห่งความเกษมสะอาด  สบาย   สว่าง สงบด้วยศีล  สมาธิ  ปัญญา  และวิมุตติ มาเถิด   มาขับกล่อมบทเพลงแห่งพระนิพพานกันดีกว่า


มารเอย  พญามารตนหนึ่งชื่อว่า  พญามารธิราชแห่งปรนิมมิตตวัสสดีมาร  (มาราธิราชแห่งสวรรค์สูงสุดในกามมาพจรฝ่ายมาร  ได้น้อมจิตสู่พุทธภูมิแล้ว   คราวเมื่อถูกพระมหาอุปคุตโตเถระทรมาน จนเห็นพระพุทธองค์สมณโคดมพุทธเจ้าจนเกิดโสมนัสในพุทธสรีระแล้ว  ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าที่จะเข้าสู่นครอมตมหาปรินิพพานในกาลภายหน้าแน่นอน


มารเอย...มารเป็นจำนวนมากได้น้อมจิตเข้าสู่พระนิพพานอันเกษมมามากต่อมากแล้ว  พระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกล้วนเกิดแต่มาร  เป็นมารมาก่อนทั้งสิ้นแต่รำลึกได้ว่ามารโลกเป็นโลกสงสารเป็นวัฏสงสารอันไม่รู้จบ   จึงทรงน้อมจิตสู่ความหลุดพ้นจากโลกที่น่าสงสารเช่นนี้  สู่นครอมตมหาปรินิพพานเหนือห้วงสังสารวัฏไปเรียบร้อยแล้ว


เรา  และท่านล้วนเป็นมารด้วยกันทั้งสิ้น  มารตัวโตที่สุดสำหรับเราก็คือตัวเราเองนี่เองมาหลุดพ้นกันเถิด   หลุดพ้นจากตัวเองแล้วเราจะหลุดพ้นจากมวลมารทั้งหลายเราจะหลุดพ้นจากมารโลก  ด้วยประการฉะนี้แล





**************************************************************************

ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง  :  ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง  โดย  บัญช์  บงกช

 

หมายเลขบันทึก: 215473เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 11:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 20:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สาธุ...

สาธุ...

สาธุ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท