ตาย ตรงข้ามกับปรินิพพาน
ความตายของคนเราเป็นความทุกข์ความโศกและความหลงเหมือนกันทั้งสิ้น มากน้อยขึ้นอยู่กับกรรมและกรรมขณะใกล้ตายของผู้ตายแล้วกรรมนำพาไปเกิดใหม่อีก ตามหลัก กิเลส กรรม วิบาก
จิตดวงสุดท้ายของผู้ตายเรียกว่า “จุติจิต” เมื่อไปเกิดใหม่เรียกว่า “ปฏิสนธิจิต”
ส่วนนิพพาน หรือปรินิพพาน แบบอนุปาทิเสสนิพพานธาตุของพระอรหันต์คือนิพพานด้วยการดับขันธ์ ๕ ทั้งหมดนั้น เป็นการดับไปทั้งกิเลสที่ดับก่อนแล้วและดับขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ สิ้นสุดหลุดภพหลุดชาติ เป็นการดับที่ไม่มีความทุกข์ ความโศก ความหลงเลย เพราะดับไปในขณะที่หมดกรรมแล้วไม่เกิดในภพไหน ๆ อีกทุกภูมิทั้ง ๓๑ ภูมิ
จิตดวงสุดท้ายของผู้นิพพานเช่นนี้เรียกว่า “จริมกจิต” เป็นจิตดวงสุดท้ายซึ่งจะดับไปเมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
(พจนานุกรมพุทธศาสน์ประมวลศัพท์ ประยุทธ์ ปยุตโต)
การเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและการดับขันธ์ นิพพานของพระอรหันตสาวกทั้งปวงดับไปด้วยอสัมโมหะ เป็นการดับโดยการรู้ตัวด้วยปรินิพพาน ประกอบด้วยญาณ ๔ ประการเหล่านี้
๑. สาตถกสัมปชัญญะ เป็นญาณ (ปัญญา) รู้ตัวในกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตัว
๒. สัปปายสัมปชัญญะ เป็นญาณรู้ตัวในปัจจัย (เหตุ) ที่สบาย
๓. โคจรสัมปชัญยะ เป็นญาณรู้ตัวในธรรมอันเป็นโคจร (พระนิพพาน)
๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ เป็นญาณรู้ตัวในความไม่หลง
จะเห็นว่าการดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกนั้นรู้ตัวอยู่ทุกขณะ เป็นการดับด้วยปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณ
(พระไตรปิฎกมหามกุฎฯ เล่ม ๖๘ หน้า ๘๙๖ สัทธัมมปกาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทาวรรค)
เป็นการดับแบบไม่ทุกข์ ไม่โศกไม่หลง แล้วไม่เกิดในภพทั้งหลายในโลกธาตุอีก
ปรินิพพาน หรือ นิพพานจึงไม่ใช่อาการตายของพระพุทธเจ้าหรือการตายของพระอรหันต์ดังที่มีปรากฏความหมายอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานของเราตลอดมา
ขอเน้นย้ำว่าปรินิพพาน และนิพพานไม่ใช่ตาย แต่เป็นธรรมที่ตรงข้ามกับการตาย
พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ตายนั่นเอง
ใครจะเคยมีความรู้สึกในสัจธรรมอันวิเศษสุดของพระพุทธเจ้าบ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนวิชาไม่ตายไว้ให้พวกเรา
“วิชชาไม่ตาย”
พิจารณาเอาเองก็เห็นได้ว่า นิพพานคือไม่ตาย ดังเหตุผลที่ยกมาประกอบข้างต้น
น่าประหลาดใจไหมที่วิชาไม่ตายนี้เกิดมีขึ้นมาแล้วก่อน ๒๕๔๘ ปี (ขณะเขียนเรื่องนี้) เสียอีก คือตั้งแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในมหาราตรีแรกก่อนปีพุทธศักราชเริ่มต้นถึง ๔๕ ปี แล้วต่อจากนั้นอีกไม่นานประมาณ ๗ สัปดาห์ให้หลังพระพุทธองค์ก็ทรงเริ่มแนะนำสั่งสอนคน
วิชาไม่ตายดังกล่าวเป็น “วิชชา”
คือความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ ต่างกับคำว่า “วิชา” ความรู้ หรือ ความรู้ที่ได้จากการเล่าเรียนหรือฝึกฝน
ฉะนั้นจึงควรเรียกวิชาไม่ตายนี้ว่า “วิชชาไม่ตาย” เพราะเป็นความรู้วิเศษดังกล่าว
เป็นความรู้วิเศษ ซึ่งคนธรรมดาสามารถศึกษาและปฏิบัติได้เพราะพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าก็ล้วนแต่เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนเช่นพระองค์เองมาก่อนทั้งนั้น จึงไม่ต้องกังวลใจว่าพวกเรามนุษย์ทั้งหลายซึ่งเป็นคนธรรมดาเช่นกันจะศึกษาและปฏิบัติวิชานี้ไม่ได้
“และไม่ยากด้วย”
มีคนธรรมดาหลายคนในครั้งพุทธกาลที่สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบเช่น “สุขสามเณร”
ความตายไม่น่าเดินเข้าไปหา มันเจ็บ มันเศร้า มันมืด และหลงลืมหมดสิ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ ทุกคนก็พอจะรู้อยู่ ยิ่งมีสัจธรรมความจริงในพระพุทธศาสนาให้เหตุผลรับรองอยู่ในพระไตรปิฎกดังกล่าวมันก็ยิ่งแน่นอน เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เป็นอื่นมรณะและชาตะ เป็นเครื่องลบเลือนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เก่าอย่างสิ้นเชิง
แต่ไม่ยักกะลบเลือน “กรรมชั่ว” ให้ด้วย
ทั้ง “กรรมชั่ว” และ “กรรมดี” ทั้งสองอย่างไม่มีอะไรลบทิ้งได้ทั้งนั้น
นอกจากสร้างกรรมดีให้มันท่วมกรรมชั่วนั่นแหละ กรรมชั่วมันจึงจะไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมาปรากฏได้ แต่มันไม่หมดไป เมื่อกรรมดีไม่ท่วมท้นกรรมชั่วมันก็จะโผล่ปรากฏอยู่ ความไม่ประมาทที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเตือนไว้มากมายคือ การไม่เผลอลืมสร้างกรรมดีจนกระทั่งมันไม่ท่วมท้นกรรมชั่วนั่นเอง ส่วนกรรมชั่วจะประมาทหรือไม่ประมาทพื้นฐานของคนก็มักจะสร้างมันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
“ความชั่วอย่าทำเสียเลยจะดีกว่า”
พุทธวจนะ ประโยคนี้ก็เป็นการทรงเน้นเตือนพวกเราว่าระวังตอมันจะโผล่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่ทำความชั่วอีกและทำแต่ความดีที่เปรียบเสมือนน้ำมันก็จะท่วมท้นความชั่วอยู่เรื่อย ๆ จนกรรมชั่วปรากฏขึ้นไม่ได้เราก็จะเข้าถึงวิชาเศษคือวิชชาไม่ตายได้เร็วขึ้น
วิชชาไม่ตาย ใช่ว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าอย่างที่กล่าวกัน
แต่จะอยู่ดีกว่านั้นมากมายนัก คือแม้ฟ้าก็ไม่มีที่จะค้ำสภาวะเช่นนั้นได้
เป็นสภาวะที่เข้าไปสู่มิติประณีตสุด พ้นฟ้าพ้นอวกาศ พ้นสิ่งกีดขวางทั้งปวง เป็นเสรีสภาวะอย่างแท้จริง
นั่นคือพระนิพพาน อายตนะมีอยู่
ไปได้ด้วย ความขยันหมั่นเพียรอย่างที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสาธิตในการปฏิบัติของพระองค์เองไว้ว่า “เรามีความเพียรไม่ย่อหย่อน”
มีความสะอาดทั้งร่างกายและจิตใจด้วยศีลเป็นเครื่องชำระล้างความสกปรกเหล่านั้น
มีความสบายตัว จิตเป็นสมาธิ เข้าสู่ฌาน สู่ญาณ ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
มีความสว่าง คือรู้แจ้งเห็นจริงด้วยอริยสัจ ๔
มีความสงบเป็นที่สุด คือพระนิพพานด้วยอนุตตรธรรม
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสเป็นที่สุดว่า
“ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิณาณ” คือตรัสรู้พระนิพพานด้วยพระองค์เองโดยชอบด้วยการรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔ เพราะปัญญาที่มาจากญาณจากฌาน โดยมีศีลเป็นเครื่องนำส่ง จากการบำเพ็ญเพียรเสมอต้นเสมอปลายเข้ามาในทางสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น
ขั้นตอนเหล่านั้นจึงทำให้คนธรรมดา (มนุษย์) คนหนึ่งที่มีพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์กลายเป็นผู้วิเศษสุดยอด ไม่ตาย ไม่มรณะ ไม่จุติ มาตั้งแต่บัดนั้น ทรงเป็นจอมศาสดาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นทั้งปวง
ทั้งพระองค์ยังทรงเป็นกัลยาณมิตร ช่วยเหลือเผื่อแผ่มนุษย์และเทวดาเป็นจำนวนมากมายให้เป็นผู้ไม่ตายเช่นพระองค์อีกด้วย ดังที่ทรงกล่าวไว้
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อนเป็นบุพนิมิตฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฏางคิกมรรคแก่ภิกษุฉันนั้น....
อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดาก็พ้นจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดาก็พ้นจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดาก็พ้นจากมรณะ...”
“ความตายไม่มีใครจะรอดพ้นได้”
ประโยคนี้ฝังลึกอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์ชาติตลอดมาจนปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ปีที่เขียนต้นฉบับ)
ที่ไหนได้ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ไม่ตายและสอนวิชชาไม่ตายไว้ให้พวกเรามาก่อน พ.ศ. นี้ถึง ๒๕๔๘ บวก ๔๕ ปีแล้ว
ทำไมพวกเราไม่รู้กัน
แต่ก็ไม่สายเกินไปไม่ใช่หรือที่เราระลึกได้ในพ.ศ. นี้ว่า ....
“นิพพานนี่ไง คือธรรมที่ตรงข้ามกับการตาย”
*********************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : "ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง" โดย บัญช์ บงกช
ไม่มีความเห็น