ประตูอมตะ
...เรื่องจริงที่มีผู้รู้อยู่ แต่ไม่มีใครกล่าวถึง...
ประตูแห่งความไม่ตายเดินเข้ามาแล้วไม่กลับออกไปเกิดอีกเดินเข้ามาได้ด้วยบทธรรมแห่งพระนิพพาน ผู้ที่จะเข้าใจในบทธรรมได้ก็ต้องเริ่มต้นที่ความศรัทธาเชื่อถือ ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงายหรือติดอยู่ เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วพิจารณาด้วยเหตุผลว่าเป็นจริงไหม ถ้ายังไม่ได้เหตุผลอย่างเพิ่งเชื่อ ถ้าได้เหตุผลชัดแจ้งแล้วจงอย่าหยุดอยู่แค่ความเชื่อเท่านั้น ต้องน้อมจิตให้เกิดความเลื่อมใสด้วยคือเห็นชอบในเหตุผลที่ทำให้เชื่อนั้นว่าเป็นจริง
เมื่อเข้าสู่ความเห็นชอบในเหตุผลก็เท่ากับท่านได้ก้าวเข้ามาถึงธรณีประตูอมตะแล้ว เพราะท่านกำลังจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเห็นถูกต้อง อันเป็นมรรคข้อที่ ๑ เมื่อเห็นแล้วก็ยกเท้าย่างก้าวเข้ามาข้ามธรณีประตู เข้าไปแล้ว เข้าไปในประตูอมตะนั้นสักกายทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ข้อที่ ๑ เครื่องผูกมัดใจสัตว์ให้ติดอยู่กับกิเลสที่เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน ย่อมถูกละขาดไปพลัน ด้วยความเห็นชอบ ถูกและตรง แน่นอน สังโยชน์ข้อที่ ๒ คือวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยย่อมสิ้นไปโดยพลันด้วย และสังโยชน์ข้อที่ ๓ คือสีลัพพตปรามาส การถือศีลพรตอย่างงมงายก็จะไม่เกิดขึ้นโดยพลันเช่นกัน
ท่านเดินเข้าประตูอมตะ ด้วยอมตบทเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังไม่เดินทะลุเรื่อยไปจนถึงประตูสุดท้าย คือประตูแห่งพระอรหันต์ท่านก็ได้ชื่อว่าเข้าสู่ประตูแห่งพระอริยะแล้ว ประตูแรกแม้จะเป็นเพียงพระโสดาบัน ก็ย่อมเข้าสู่การแสพระนิพพาน มีความไม่ตายรออยู่ข้างหน้าแค่เอื้อม อย่างมากจะเป็นผู้มีความตายและเกิดอีกไม่เกิน ๗ ครั้งแน่นอนแล้วไม่ตายอีกต่อไป
ประตูอมตะประตูแรกเป็นประตูพระโสดาบัน บทธรรมอมตบทที่พึงพิจารณาเพื่อความเห็นชอบแล้วละขาดเสียซึ่ง
๑. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นตัวเป็นตน ความยึดถือว่าเป็นตัวตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย
๓. ลีลัพพตปรามาส ความงดงามติดในการถือศีลพรต
กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ทั้ง ๓ ประการนี้ ให้ละขาดเสีย โดยการเห็นชอบ เห็นถูก เห็นตรง
ว่ามันไม่มีตัวตนอะไรเลย ที่เราจะไปยึดมั่นถือเอาเพราะที่แท้มันไม่มีตัวตนอะไรทั้งสิ้น เมื่อขันธ์ทั้ง ๕ เลิกประชุมอยู่ด้วยกันแล้วที่ประชุมนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลย ว่างเปล่า เงียบสงัดสงบนิ่ง เป็นอนัตตาอยู่เช่นนั้นโดยธรรมชาติที่ไม่มีใครมาปรุงแต่งให้มันดีหรือชั่ว มันเป็นกลาง ๆ เป็นอัพยากฤต หรืออัพยาตธรรม เป็นแม่บทแห่งพระนิพพาน
ประตูที่จะออกไปนอกโลก เหนือโลก พ้นโลก ประตูอมตะบานแรกเมื่อก้าวพ้นก็เกินพอสำหรับปุถุชนชาติ เช่นเรา ๆ แม้จะยังก้าวไปไม่ถึงความไม่ตายได้ แต่ก็เป็นที่รับรองอย่างมั่นเหมาะแล้วว่าสักวันหนึ่งไม่นานเกินรอ เราจะไปถึงจุดหมายนั้นแน่นอน
เมื่อเสื่อมใสว่าความไม่ตายจริง ๆ มีอยู่ใครบ้างจะไม่ขวนขวายเดินเข้าไปสู่ประตูนั้น เรามาช่วยกันไขกุญแจเปิดประตูนั้นให้เห็นกันชัดแจ้งได้ไหมว่าประตูนั้นมีอยู่จริง ๆ เป็นประตูที่พระพุทธเจ้าเปิดไว้ให้ตั้งแต่เริ่มต้นแห่งการทรงสั่งสอนธรรมที่ตรัสรู้แด่เวไนยสัตว์
ทำอย่างไรจะให้มนุษย์ชาติเห็นธรรมวิเศษของพระพุทธเจ้าได้เห็นประตูอมตะที่จะเดินเข้าไปด้วยความขวนขวาย เห็นอมตบทที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วอย่างชัดแจ้งขึ้นอยู่กับพวกเราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายมิใช่หรือ ที่จะช่วยกันผลักดันความจริงที่เห็นอยู่ มีอยู่ ให้พวกเราและพวกอื่นเห็นในความวิเศษนั้น
โฆษณาชวนเชื่อบ้างได้ไหม ชวนเชื่อในสิ่งที่ดีที่เป็นความจริงแท้ ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติทั้งมวล แทนที่จะมาลับ ๆล่อ ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ในการโฆษณาเพื่อเผยแผ่ความดีมีคุณแบบครึ่ง ๆกลาง ๆ ไม่สุดยอดของพุทธธรรมกันอย่างที่กระทำอยู่ทุกวันนี้
เป็นต้นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานหรือพระอรหันต์ดับขันธปรินิพพาน ก็โฆษณาว่าเป็นอาการตายของพระพุทธเจ้าหรือเป็นการตายของพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือพระนิพพานก็ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงแค่อริยสัจจ์ ๔ เท่านั้นมันถูกอยู่แต่ไม่ถูกที่สุด ไม่ถูกสุดยอด ธรรมวิเศษของพระพุทธเจ้าจึงยังด้วนอยู่เพราะเหตุนั้นอย่างน่าเสียดาย
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ “อนุตตรธรรม” เป็นธรรมวิเศษสุดยอดไม่มีธรรมใดจะเทียบได้อีกแล้ว ย่อมหมายถึง “พระนิพพาน” เป็นโลกุตตรธรรม ส่วนอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั้น ทุกข์ สมุทัย มรรค ยังเป็นโลกิยธรรมอยู่ นิโรธ ตัวเดียวเท่านั้นที่เป็นโลกุตตรธรรม ถ้าจะกล่าวให้สุดยอดต้องกล่าวว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระนิพพาน การกล่าวว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นบันไดขั้นสุดท้ายยังเป็นการกล่าวที่ไม่สุดยอด
ความจริงธรรมสุดยอดเหล่านี้เป็นต้นว่า “ปรินิพพาน หรือ นิพพาน หมายถึงไม่ตาย” ก็ดี พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระนิพพาน ก็ดีเป็นอนุตตริมนุสสธรรมวิเศษ ธรรมอันล้ำลึกที่ไม่ควรแสดงแก่ปุถุชนโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าปุถุชนไม่เชื่อก็จะเป็นอกุศลทั้งผู้ไม่เชื่อและผู้แสดง คือไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้ใดในทางกุศล แต่การเรียกชื่อธรรมเหล่านั้นให้ตรงความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการแสดง เมื่อเรียกชื่อตรงตามความเป็นจริงแล้วใครจะคิดได้หรือคิดไม่ได้ย่อมเป็นไปตามปัญญาของแต่ละคน เป็นสิ่งควรทำ ถ้าเรียกชื่อไม่ตรงต่อความเป็นจริงเสียแล้วแต่แรก แม้ผู้มีปัญญาที่ควรจะคิดจะรู้ได้ก็กลับคิดไม่ได้ รู้ไม่ได้ กว่าจะคิดได้รู้ได้ก็นานเกินรอ เสียเวลานิพพานไปเปล่า ๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ถ้ากล่าวว่า “นิพพานไม่ตาย” มาแต่ต้น สองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วนั้นป่านฉะนี้คนทั้งโลกคงหันมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนากันหมดแล้วแต่เพราะเรียกผิด ๆ กันมาให้ความหมายไม่ถูกต้องกันมา พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่มีคนน้อยนิดศรัทธาเลื่อมใสกันถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายจะช่วยกันขวนขวายแก้สิ่งที่ผิดที่ไม่ถูกต้อง ให้ถูกให้ตรงให้ถูกต้องแล้วนำมาเผยแผ่ให้ชาวโลกเข้ามาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประตูอมตะ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์ชาติตามที่พระพุทธองค์ทรงตั้งปณิธานไว้
ความวิเศษสุดในพุทธธรรมมีอยู่ ผู้รู้ถึงจริง ๆ มีน้อย ตามความเห็นจริงพระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงสั่งสอนธรรมให้ยากเย็นอะไร พระพุทธองค์ ทรงสอน ทรงกล่าวแบบง่าย ๆ สั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยเนื้อหา
“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
“สัตวโลกเป็นไปตามกรรมของตน”
“เธอหลุดพ้นเพราะไม่ถือมั่น”
ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ง่าย สั้น และจริง ไม่มีอะไรยุ่งยาก แล้วทำไมรู้ตามเห็นตามกันยากนัก คงจะเป็นเพราะเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ทรงมีแนวโน้มที่จะไม่สอนธรรมเหล่านี้แก่สัตวโลก เพราะทรงพิจารณาเห็นว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นธรรมที่ทวนกระแสความเป็นไปของสัตวโลก อาจเป็นด้วยเหตุนี้กระมัง กระแสคนในโลกจึงไม่ค่อยน้อมจิตเข้าไปฟังธรรมของพระพุทธองค์เพื่อจะให้เข้าใจได้ง่าย ๆ
ก็เป็นกรรมของสัตว์อีกประการหนึ่งที่ของดีมีอยู่ต่อหน้าต่อตากลับไม่รับเอาแต่พากันดิ้นรนไปหาของเลว ๆ สารพัดเลวถึงขนาดแย่งกันต่อสู้กัน รบราฆ่าฟันกันเพื่อจะได้สิ่งเลว ๆ เหล่านั้นมาตามกระแสโลกที่เป็นอยู่ เห็นอยู่
มันก็เป็นกรรมของสัตวโลก
บัวเหล่าใดยังไม่ยอมพ้นน้ำก็ช่างเขา ปล่อยให้เป็นอาหารแก่เฒ่าปลาไป ส่วนบัวบางเหล่ารอที่จะพ้นน้ำและเบ่งบานขึ้นในยามเช้า หรือยามค่ำคืนก็มีถมเถไป เชิญเถิดเชิญบัวที่จะเบ่งบานเชิญเข้ามาสู่ประตูอมตะเถิด
“เราเปิดประตูอมตบทแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟังปล่อยศรัทธาเถิด”
พุทธวจนะของพระพุทธองค์ยังคงก้องกังวานรับเธอทั้งหลายอยู่ อยู่ในประตูอมตะบานสุดท้ายนี้แหละ เดินเข้ามาเถิด เดินเข้ามา ผ่านเข้าไป ผ่านเข้าไป พระตถาคตทั้งหลาย และพระอรหันต์ทั้งปวงรอท่านอยู่ที่นั่นเป็นอเนกอนันต์นับไม่ได้
สัตวโลกธาตุทั้ง ๓๑ ภูมิที่เห็นว่ามีมากมายเหลือคณานับได้แต่ละโลกธาตุไม่มีพระพุทธเจ้า สถิตอยู่ตลอดไป แม้เพียงพระองค์เดียวแต่ในโลกแห่งประตูอมตะซึ่งเปรียบเสมือนมหานครอันเกษมมีพระพุทธเจ้าอยู่ครบทุกพระองค์ ซึ่งพระสมณโคดมทรงกล่าวไว้ก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่ามีจำนวนหลายแสนพระองค์ ส่วนพระอรหันตสาวกนั้นไม่ต้องกล่าวถึงมากมายจนนับไม่ได้แน่นอนมากกว่าสัตวโลกธาตุที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่รู้จบนี้มากนัก
เป็นสิ่งยืนยันว่าการก้าวผ่านเข้าไปในประตูอมตะนี้ไม่ใช่ของยากเกินไปที่สัตวโลกพึงทำได้เพราะมีอริยพระอรหันต์เข้าไปแล้วมากมายนัก ส่วนพวกเราปุถุชนที่เห็นว่ายากก็เพราะอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ช่วยกันก่อกิเลสเป็นม่านทึบบดบังไม่ให้เราเห็นธรรมวิเศษในประตูอมตะได้ มาเถิดมาช่วยกันแหวกม่านกิเลสเหล่านั้นให้คลี่คลายออก ประตูอมตะมีอยู่ตรงนั้น ก้าวข้ามไปพอพ้นเจ้ากิเลสทั้งหลายก็จะค่อย ๆ คลายหายตัวไปเองในที่สุด
ประตูนี้เมื่อเข้าไปแล้วไปเลย แม้จะเป็นเพียงบานแรกแห่งประตูพระโสดาบัน ก็เป็นการปิดอบายภูมิ ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก ไม่สามารถจะดึงดูดให้เราไปเกิดได้ เราจะสร้างกรรมดีเพื่อหลุดพ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็นอัตโนมัติ เพื่อละกิเลสอันเป็นเครื่องผูกมัดใจสัตว์ให้หลุดลงไปตามลำดับจนกว่า จะเข้าประตูสุดท้ายแห่งอริยพระอรหันต์ เมื่อนั้นประตูอมตะจะปิดสนิท ปิดโลกธาตุทั้งมวลมิให้เราตายและกลับลงมาเกิดรับกรรมรับทุกข์อีกต่อไป
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง โดย บัญช์ บงกช
ไม่มีความเห็น