ประเภทของสมาธิ


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

ประเภทของสมาธิ


๑. สมาธิ  ๒  ได้แก่

-  อุปจารสมาธิ   สมาธิจวนจะแน่วแน่
-  อัปปนาสมาธิ  สมาธิแน่วแน่  หมายเอาสมาธิในองค์ฌาน


๒.  สมาธิ  ๓  ได้แก่

-  ขณิกสมาธิ  สมาธิชั่วขณะ
-  อุปจารสมาธิ   สมาธิจวนจะแน่วแน่
-  อัปปนาสมาธิ  สมาธิแน่วแน่   หมายเอาสมาธิในองค์ฌาน


๓.  สมาธิ ๓ ได้แก่

-  สุญญตสมาธิ  คือสมาธิที่กำหนดพิจารณาความว่างได้แก่ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น  ด้วยการกำหนดอนัตตลักษณะ

-  อนิมิตตสมาธิ   คือ สมาธิที่กำหนดพิจารณาธรรมที่ไม่มีนิมิต  ได้แก่ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น   ด้วยการกำหนด อนิจจลักษณะ

-  อัปปณิหิตสมาธิ   คือ สมาธิที่กำหนดพิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา ได้แก่  ตัววิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยการกำหนดทุกขลักษณะ



ในบรรดาสมาธิ    ๓  ประเภทนี้  สมาธิ  ๒  สมาธิ  ๓  ข้างต้น  เป็นสมาธิที่เกิดจากการเจริญสมถกรรมฐาน  เพราะการเจริญสมถะจะทำให้เกิดสมาธิขั้นใดขั้นหนึ่ง  ถึงอัปปนาสมาธิ   ส่วนสมาธิ  ๓ ประเภทหลัง   ได้แก่สมาธิที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนา  โดยการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์



วิธีฝึกสมาธิ   ที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันสืบ ๆ  มาตามแนวคัมภีร์วิสุทธิมรรค   มีลำดับขั้นตอนดังนี้  

(๑)  ตัดปลิโพธิ  

(๒)  เข้าหากัลยาณมิตร  

(๓)  รับเอากรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง  ใน  ๔๐  อย่าง  

(๔)  อยู่ในวัดที่เหมาะสมกับการเจริญสมาธิ  

(๕)  ปฏิบัติตามวิธีเจริญสมาธิ   การเจริญสมาธิ  จิตจะประณีตขึ้นตามลำดับ   เป็นขั้น ๆ  ภาวะจิตจะสงบเป็นสมาธิถึงขั้นอัปปณา  เป็นสมาธิที่เกิดจากองค์ฌาน  หรืออาจกล่าวได้ว่า  ผลจากการเจริญสมาธิจะทำให้ได้ฌานสมาบัติ   ฌานสมาบัติแม้เป็นสภาวะแห่งจิตที่ลึกซึ้ง   แต่ก็ยังเป็นเพียงระดับโลกีย์เท่านั้น   ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริงของพุทธปรัชญา   ในภาวะแห่งฌานที่เป็นผลของสมาธินั้นกิเลสต่าง ๆ จะสงบระงับไปชั่วคราว   ไม่ยั่งยืนแน่นอน  คือกิเลสระงับไปเพราะถูกกำลังสมาธิข่มไว้   เหมือนหินทับหญ้า  ยกหินออกเมื่อใดหญ้าก็กลับงอกขึ้นได้อีกอย่างไรก็ตาม   แม้ฌานจะไม่ใช่จุดหมายของพุทธปรัชญาก็ตาม  แต่สามารถนำเอาฌานที่ได้ใช้เป็นบาทเจริญวิปัสสนาต่อ  เพราะจิตที่เป็นสมาธิเป็นจิตที่ควรแก่การงาน   พร้อมที่จะถูกพัฒนาให้สูงขึ้น  ๆ  จนถึงบรรลุธรรมขั้นสูงสุด



จุดประสงค์ของการฝึกสมาธิก็เพื่อการอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  เพื่อได้ญาณทัศนะเพื่อมีสติสัมปชัญญะ  และเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย  สมดังพุทธพจน์ว่า


ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา   (การเจริญสมาธิ)   มี ๔  อย่าง   คือสมาธิภาวนา   ที่เจริญแล้ว  ทำให้มากแล้ว   ย่อมเป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร  สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว   ทำให้มากแล้ว   ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ฌานทัศนะ  สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว   ย่อมเป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ สมาธิภาวนาที่เจริญแล้ว   ทำให้มากแล้ว   ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไปแห่ง
อาสวะทั้งหลาย



จากพุทธพจน์   แสดงให้เห็นว่า   สมาธิที่เจริญดีแล้ว   ย่อมได้ประโยชน์  ๔ ประการ  คือสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความสุขในปัจจุบัน,  มีญาณทัสสนะที่ถูกต้อง,  มีสติสัมปชัญญะ  และที่สำคัญคือไม่มีกิเลสอันได้แก่  อวิชชา  ตัณหา   อุปาทาน   มารบกวน นับได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางของพุทธปรัชญา


สมาธิ  ในพุทธปรัชญา  หมายถึง  ภาวะที่จิตแน่วแน่   มั่นคง  หรือ ภาวะที่จิต  ตั้งมั่น  และยังมีความกว้างไปถึงการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์ด้วย ได้แก่  สมาธิที่เป็นตัววิปัสสนาที่พิจารณาเห็นสภาพตามความเป็นจริงตามลักษณะทั้งสามนั้น  และเป็นข้อที่ให้สำเร็จความหลุดพ้น สมาธิที่เป็นตัววิปัสสนานี้  ได้แก่  สุญญตสมาธิ,  อนิมิตตสมาธิ  และ อัปปณิหิตสมาธิ  



ท่าในการฝึกสมาธิ  คือขาขวาทับขาซ้าย   มือขวาทับมือซ้าย   นั่งตัวตรง  หลับตา   แล้วกำหนดอารมณ์ที่เหมาะสมกับจริตของตนอย่างใดอย่างหนึ่งใน   ๔๐  อย่าง เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออก  (อาณาปานสติ)  หรือเพ่งกสิณ  เป็นต้น   ทั้งหมดนี้เป็นสมกรรมฐาน และผลที่เกิดจากการฝึกสมถกรรมฐาน   คือได้ฌานสมาบัติซึ่งมิใช่จุดหมายของพุทธปรัชญา   การจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทางได้  จะต้องเจริญวิปัสสนาต่อโดยใช้สติพิจารณา  กาย,  เวทนา,   จิต,  ธรรม  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ผลของวิปัสสนาจะทำให้เกิดวิปัสสนาญาณ  ที่รู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง    รู้เท่าทันกิเลส  ตัณหา และบรรลุถึงความหลุดพ้นในที่สุด

หมายเลขบันทึก: 215524เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 08:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท