พระนิพพาน : กระบวนการเหนือภาวะสัมพันธ์
หลักการของปฏิจจสมุปบาทจะเป็นตัวอธิบายความเป็นไปของสังขตธรรมทั้งมวล, ดังนั้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ คือ อสังขตธรรม. ปัญหาเกิดขึ้นว่า อสังขตธรรมดำรงอยู่อย่างไรโดยไม่เป็นตามหลักปฏิจจสมุปบาท.
คำอธิบายที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เนื่องจากการเป็นเหตุปัจจัยไม่มีอีกต่อไป, ดังนั้นภาวะของอสังขตธรรม คือ นิพพานนั้น จึงอยู่เหนือการปรุงแต่งใด ๆ อีก. ตามข้อยืนยันนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่บรรลุถึงพระนิพพาน คือผู้ที่อาศัยในโลกอื่นที่ปราศจากกระบวนการทางภาวะสัมพันธ์ เพียงแต่หมายความว่า เป็นผู้ที่มีจิตใจที่ปราศจากการปรุงแต่งของความเป็นอัตตา เช่น ความกำหนัดยึดในสิ่งที่ถูกยึดว่าเป็นอัตตา เป็นต้น. จิตใจที่ไร้จากการปรุงแต่งเช่นนี้ จึงดำเนินไปตามกระบวนการของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ข้อความในอุปยสูตร แห่งสังยุตตนิกาย กล่าวอธิบายเรื่องนี้ไว้ชัดเจน ดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัดในรูปธาตุ....ในเวทนาธาตุ....ในสัญญาธาตุ.....ในสังขารธาตุ....ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราละะความกำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบ ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ก็อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก
ตามนัยดังกล่าว, เราจึงต้องแยกระหว่างกระบวนการทางจิตของผู้เข้าถึงพระนิพพานนั้น ที่ดำเนินไปโดยปราศจากปรุงแต่งจากเหตุปัจจัยที่เกินธรรมชาติจากกระบวนการทางชีวภาพที่ยังคงต้องดำเนินไปเช่นสังขตธรรมทั่วไป ผู้บรรลุพึงพระนิพพานดำรงอยู่ในกลไกของโลกเช่นผู้อื่น แต่อยู่เหนือกระแสของโลก.
ดังนั้น แม้ว่าอสังขตะเป็นผลที่เกิดจากมรรควิธี แต่จริง ๆ แล้ว มรรคเป็นเพียงมรรคที่นำไปสู่ความเป็นนิพพานเท่านั้น. มรรควิถีเป็นกระบวนการทางปฏิจจสมุปบาท แต่จุดหมายกลับอยู่เหนือกระบวนการเช่นนั้น.
ในส่วนของหลักปฏิจจสมุปบาท มีข้อสรุปดังนี้
๑. สรรพสิ่งเคลื่อนไหวตามเหตุปัจจัย โดยที่ตัวเหตุปัจจัยก็เป็นผลจากเหตุปัจจัยอื่นอีก ที่ผลักดันและขยายออกไป, ความเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้น
๒. ปัจจัยที่เหมือนกันทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน. ส่วนนี้ทำให้เกิดความสม่ำเสมอในธรรมชาติ และเป็นนิยาม หรือทำนองของธรรมชาติ.
๓. การเป็นปัจจัยอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นระบบเหตุผลบริสุทธิ์ กับส่วนที่เป็นผลมาจากเจตจำนงของมนุษย์.
๔. สังขตธรรมทั้งมวลเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ รวมไปถึงโลกของภาษาและอื่น ๆ
ถึงตอนนี้เราได้ศึกษาหลักปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นแกนของกลไกดังกล่าว.บางท่านอาจ
อธิบายแค่เพียงหลักปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว, ซึ่งอาจเป็นการเพียงพอโดยละส่วนที่เหลือในฐานะเป็นสิ่งที่ยอมรับก่อนแล้ว, แต่ไม่ใช่โดยลำพังแต่หลักปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว.
จากการนำเสนอหลักการของปฏิจจสมุปบาทและวิถีของธรรมชาติที่เป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท ทำให้เราได้ก้าวไปอีกก้าวหนึ่งในการอธิบายหลักการทางบัญญัติ ไม่ว่าในส่วนของภาษาและตรรกวิทยา, ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า หลักปฏิจจสมุปบาทมีบทบาทสำคัญในเรื่องเหล่านี้ที่เรายังมองไม่เห็น เรื่องนี้อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ, แต่ก็มีค่าที่เราจะได้เรียนรู้ไว้. จริง ๆ แล้ว พระพุทธโฆษาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่า ในการเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นการยืนยันถึงการยอมรับสมมติทางภาษาและบัญญัติแห่งโลก ข้อความนี้ไม่ได้ให้ความหมายตื้น ๆแต่เพียงการพูดและรับรู้ตามที่เขาพูดกัน, แต่รวมไปถึงการเข้าใจแกนและปรัชญาของภาษาด้วย. ภาษาบาลีในฐานะเป็นภาษาที่รักษาพุทธวจนะก่อตัวมาโดยพื้นฐานทางอภิปรัชญาที่เป็นหลักของพุทธศาสนาในฐานะเป็นจักรวาลของภาษา, เช่นเดียวกับที่เราใช้หลักอภิปรัชญาของพุทธศาสนาอธิบายจักรวาลและสรรพสิ่ง.
ไม่มีความเห็น