อริยสัจจ์ : รูปแบบเบ็ดเสร็จของหลักปฏิจจสมุปบาท
หลาย ๆ คน มักจะแยกหลักอริยสัจออกต่างหากจากหลักปฏิจจสมุปบาทเหตุผลในข้อนี้เกิดขึ้นเพราะว่า หลักอริยสัจเป็นหลักการทางพุทธศาสนาที่ทุกคนคุ้นเคยกันมาก และได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ ส่วนหนึ่ง อาจเกิดจากการที่หลักอริยสัจเป็นหลักการที่พระพุทธองค์ทรงนำมาประกาศเป็นครั้งแรก.
จริง ๆแล้ว เราได้เห็นแล้วว่า แกนของความเป็นมัชฌิมาปฏิปทาเกิดจากการค้นพบหลักปฏิจจสมุปบาท. เมื่อหลักปฏิจจสมุปบาทได้ถูกประมวลใหม่ภายใต้ชื่อเรียกว่า หลักอริยสัจ, หลักมัชฌิมาปฏิปทา ที่ปรากฏในรูปของมรรค ๘ จึงได้รับการเสนอเข้าอย่างกลมกลืนด้วยความฉลาดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นหลักอริยสัจจึงเท่ากับรูปแบบที่เบ็ดเสร็จของหลักปฏิจจสมุปบาท.
ในที่นี้ เราจะใช้เวลาส่วนหนึ่งพิจารณาหลักการสำคัญของหลักอริยสัจนี้.
ก. หลักการแห่งอริยสัจ
อริยสัจมีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะถือว่าเป็นความจริงอย่างประเสริฐ หรือเป็นความจริงสูงสุด พระ
พุทธองค์เคยตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ ประการเหล่านี้แลเป็นของแท้เสมอ ไม่คลาดเคลื่อนไปได้ ไม่กลายเป็นอย่างอื่น จึงเรียกว่าอริยสัจ.”
หลักอริยสัจเป็นหลักการที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๔ ประการ , อาจแบ่งอริยสัจได้เป็น ๒ ประเภท คือ หลักสากลของอริยสัจ และหลักอริยสัจประยุกต์.
ประเภทแรก เป็นตัวหลักการของหลักอริยสัจ ซึ่งเน้นไปที่องค์ประกอบ ๔ ประการ คือ ผล, เหตุ, จุดหมาย, และวิธีการ จริง ๆ แล้ว ไม่ได้มีการแยกออกมาเช่นนี้อย่างเด่นชัด เพียงแต่ได้มีการนำหลักสากลเช่นนี้ไปใช้ในการวิเคราะห์เรื่องต่าง ๆ เช่น ในการวิเคราะห์ทุกข์, การเกิดทุกข์ การดับทุกข์ และวิธีการดับทุกข์. หลักการข้างต้นนี้จึงอาจนำไปวิเคราะห์เพื่อหามูลเหตุของสิ่งที่ประจักษ์บางส่วน,รวมทั้งการวิเคราะห์หาจุดการแก้ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน.
ตามนัยข้างต้นนี้ แสดงว่า หลักอริยสัจไม่ได้จำกัดที่การวิเคราะห์เรื่องของความทุกข์อย่างเดียว แม้ว่านี้จะเป็นหัวใจสำคัญของหลักอริยสัจก็ตาม. เราจึงได้หลักการอริยสัจ ที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญทางอภิปรัชญา.
ส่วนใหญ่ประเภทที่สอง เป็นหลักอริยสัจประยุกต์ เป็นการนำหลักการของหลักอริยสัจมาประยุกต์ใช้กับกรณีต่าง ๆ ที่ปรากฏอย่างเด่นชัดมากที่สุด คือการวิเคราะห์ถึงความทุกข์แห่งชีวิตมนุษย์. เนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแสดงความในส่วนนี้ได้ชัดเจน
ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แล เป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิด (ชาติ) เป็นทุกข์ ความแก่ (ชรา) เป็นทุกข์ ความเจ็บป่วย (พยาธิ) เป็นทุกข์ ความตาย (มรณะ) เป็นทุกข์ การพบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ โดยสรุป ก็คือ การยึดมั่นในขันธ์ ๕ เป็นมูลเหตุของทุกข์ ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหาที่เป็นมูลเหตุแห่งภพใหม่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน และติดใจ คอยหลงไปกับอารมณ์นั้น ๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
ภิกษุทั้งหลายข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ การที่ตัณหานั้นเองสำรอกดับไปหมดไม่มีเหลือ การสละเสียได้ การสลัดออก พ้นไปได้ ไม่หน่วงเหนี่ยวพัวพันอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
จะสังเกตเห็นได้ว่า อริยสัจมีความแตกต่างจากหลักปฏิจจสมุปบาทตรงที่อริยสัจจะนำเสนอจุดหนึ่งในสายของปฏิจจสมุปบาท อย่างละเอียด โดยรวมสาเหตุ จุดหมาย และมรรควิถีไปด้วยพร้อมกัน . ในหนังสือ “พุทธวิถีแห่งสังคม, ได้เสนอให้เห็นว่า หลักอริยสัจยังสามารถเป็นกฎอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อีกด้วย.
วิเคราะห์หลักการแห่งอริยสัจ
เมื่อกลั่นเอาแกนหลักของอริยสัจ ก็จะได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มผลและเหตุและกลุ่มจุดหมายและวิธีการ ทั้ง ๒ กลุ่ม ได้บรรจุหลักการสำคัญที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากอริยสัจเป็นการแสดงหลักปฏิจจสมุปบาทในรูปแบบใหม่อย่างเบ็ดเสร็จ ในหลักอริยสัจจึงเพิ่มเติมการแสวงหามรรคเข้ามาด้วย. ในที่นี้ จะนำเสนอเรื่องการวิเคราะห์ความทุกข์ของมนุษย์ชาติเป็นหลัก.
หลักอริยสัจยืนยันว่า ทุกข์เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุคือตัณหา, การดับทุกข์หรือตัณหานั้นเป็นจุดหมาย และมีมรรค ๘ ประการเป็นวิธีการ. ประเด็นสำคัญ ๒ ประการ ที่ระบุไว้ในหลักอริยสัจ ก็คือ แรงผลักดันมนุษย์ในการกระทำในฐานะเป็นตัวนำของกลุ่มผลและเหตุ และมรรควิธีที่มนุษย์เลือกในฐานะเป็นตัวนำของกลุ่มจุดหมายและวิธีการ. จะกล่าวถึงเรื่องนี้ในฐานะเป็นหัวใจของหลักอริยสัจ.
แรงผลักดันมนุษย์
หลักอริยสัจ เป็นหลักที่ประยุกต์หลักปฏิจจสมุปบาท เพื่ออธิบายหลักเหตุชักนำพฤติกรรมของมนุษย์ พุทธศาสนายืนยันชัดเจนว่า ความต้องการ (หรือที่เรียกว่า ตัณหา) ที่เกิดขึ้นในจิตของมนุษย์ คือ พลังผลักดันและตัวริเริ่มให้มนุษย์กระทำพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อบรรลุความต้องการของตน. ความต้องการ, หรือที่พุทธศาสนาเรียกว่า ตัณหา จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวกระตุ้นให้กระทำพฤติกรรม. ความต้องการที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลจากการได้รับการกระตุ้นจากภายนอก เช่น เห็นคนอื่นมี หรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตน จึงทำให้ต้องการ, หรือจิตเป็นผู้สร้างความต้องการขึ้นมาเอง
ความต้องการที่เกิดขึ้นเป็นตัวสร้างความกระตืนรือร้น โดยอาจแตกต่างออกไปตามปริมาณของความต้องการที่เข้าชักนำจิต หรือควบคุมจิตของมนุษย์ ส่วนของผลจากการกระทำอาจดี หรือชั่วก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะเลือกกระทำตามพลังความอยากนั้นอย่างไรการควบคุม หรือว่ารู้จักเลือกมรรควิธีที่ถูกต้อง.
ในแนวความคิดของพุทธศาสนา ได้แบ่งแยกความต้องการออกเป็น ๓ ส่วน คือ
กามตัณหา, ภวตัณหา และวิภวตัณหา. ทั้ง ๓ ส่วนเป็นพลังความต้องการของจิตมนุษย์เหมือนกัน แตกต่างกันเพียงมีความต้องการในรูปแบบที่แตกต่างกัน.
กามตัณหาเป็นความต้องการที่จะให้ได้สิ่งที่น่าชื่นชม น่าปรารถนา ที่ตนยังไม่มี หรือยังไม่เพียงพอ (ตามอำนาจความต้องการนั้น.) สิ่งที่มนุษย์ปรารถนาอาจเป็นวัตถุ,ตำแหน่ง, ชื่อเสียง, เกียรติยศ, ความร่ำรวย, คนรัก หรือแม้แต่การจะครอบครองโลกทั้งสิ้นไว้
ภวตัณหาเป็นความต้องการที่จะคงอยู่ในรูปแบบที่ตนเองเป็น การไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือพ้นไปจากภาวะที่ตนต้องการนั้น
ส่วนวิภวตัณหาเป็นความต้องการให้พ้นจากสภาพและสถานะที่ตนมี หรือที่เป็นอยู่ด้วยความหมดอาลัยในสถานะนั้น
ความต้องการอาจไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายเสมอไป, ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่กับว่า ความอยากครอบงำจิตและผลักดันจิตไปอย่างมืดบอดหรือไม่, เช่นคนที่ถูกถุงดำคลุมศีรษะ, ปิดตา ต้องการออกไปข้างนอกในคืนเดือนมืด, หรือว่าคนที่ได้ศึกษาหนทางอย่างดี การรู้จักความต้องการของตนและมีมรรควิธีที่ถูกต้องทำให้การกระทำตามความต้องการเป็นไปอย่างน่าพึงปรารถนา
อย่างไรก็ตาม หากตัดสินในแง่ความบีบคั้น ตัณหาเป็นตัวทำให้เกิดความบีบคั้น หรือที่พุทธศาสนาเรียกโดยชื่อรวมว่า ทุกข์ จริงอยู่ว่า ความบีบคั้นที่เกิดขึ้นอาจรุนแรง หรือไม่รุนแรงก็ได้, เช่น เด็กนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐจะมีความรู้สึกบีบคั้นอย่างรุนแรง เพราะความต้องการและถือว่านั่นคืออนาคตของตน. ความบีบคั้นอาจไม่รุนแรงนักเมื่อเป็นกรณีธรรมดา เช่น เรา อยากไปทานอาหารที่อร่อย ซึ่งแม้ไม่ได้ไป เราก็ยังยินดีที่จะทอดไข่ทานเอง.
ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ถ้าเราจะไม่ให้ความบีบคั้นเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องมีความต้องการ, ไม่มีการวางแผน ไม่ต้องพยายามกระนั้นหรือ? ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิด. จริง ๆ แล้วโดยความสัมพันธ์กับหลักอนัตตา . เราไม่จำเป็นต้องทำลายความต้องการ เพียงแต่เรากระทำไปตามกระบวนการแห่งเหตุผลเท่านั้น. มองในรูปแบบเช่นนี้ความต้องการที่เกิดขึ้นเป็นเพียงขั้นตอนตามหลักปฏิจจสมุปบาท กระบวนการของเหตุและผลเท่านั้นที่เป็นไป, ไม่มีผู้ต้องการ จึงไม่มีผู้ที่ได้รับความทุกข์และบีบคั้นนั้น.
มัชฌิมาปฏิปทา
มัชฌิมาปฏิปทา หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า อริมรรค ๘ คือหลักการที่เป็นทางหรือมรรควิถีในการดำเนินไปตามพลังความต้องการที่เกิดขึ้น หลักอริยมรรคประกอบด้วย ๒ ด้านที่สำคัญ ด้านแรก เป็นทางของระบบการศึกษาของชีวิต อีกด้านหนึ่ง เป็นกระบวนการจัดการภายในตนเอง.
ในด้านแรก มัชฌิมาปฏิปทา เป็นหลักการของการเรียนรู้ การควบคุมตนเองและการมีจิตใจที่มั่นคง การเริ่มต้นด้วยความเห็นที่มีเหตุผล การมีความดำริที่สอดคล้องกับเหตุผล เป็นหลักของการเรียนรู้และเข้าใจโลกนี้อย่างถูกต้อง. การรู้จักควบคุมคำพูด การงาน และอาชีพ คือหลักการควบคุมตนเอง. การมีความพยายาม การรู้เท่าทันเหตุการณ์และการมีจิตใจที่แนวแน่คือหลักการทำให้จิตใจมั่นคง.ในด้านนี้ หลักมัชฌิมาปฏิปทาเป็นหลัก “ปรัชญาการศึกษาของชีวิต”
ในอีกด้านหนึ่ง อริยสัจเป็นแนวทาง “การจัดการภายในตนเอง.” เนื่องจากจิตของมนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ อริยมรรคจึงให้ความสำคัญกับจิตมนุษย์มาก.จะเห็นได้ว่า ในมรรค ๘ ประการนั้น จำนวน ๕ ข้อเป็นการให้ความสำคัญกับจิตของมนุษย์ คือ การเริ่มต้นด้วยความเห็นที่มีเหตุผล การมีความดำริที่สอดคล้องกับเหตุผล การมีความพยายาม การมีความรู้เท่าทันเหตุการณ์ และการมีจิตใจที่แน่วแน่. ที่เหลืออีก ๒ ข้อ สำหรับกายกรรม และอีก ๑ ข้อ สำหรับวจีกรรม. ถ้าปัจเจกชน มีจิตที่มีสภาวะที่น่าพึงปรารถนาแล้ว, การกระทำและคำพูด ที่เป็นพฤติกรรมก็น่าพึงปรารถนาตามไปด้วย.
ส่วนจุดหมายที่เป็นไปเพื่อการกำจัดทุกข์,หลักอริยมรรคเริ่มต้นด้วยการสร้างความเข้าใจที่มีเหตุผล โดยหลัก ก็คือ เข้าใจระบบปัจจัยสัมพันธ์ ด้วยผลและเหตุ,และจุดหมายและมรรควิถี. การเริ่มต้นแค่นี้ก็เป็นนิมิต ที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่าทุกข์และความบีบคั้นของมนุษย์ชาติจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร.
ส่วนจุดหมายที่เป็นไปเพื่อการกำจัดทุกข์,หลักอริยมรรคเริ่มต้นด้วยการสร้างความเข้าใจที่มีเหตุผล โดยหลัก ก็คือ เข้าใจระบบปัจจัยสัมพันธ์ ด้วยผลและเหตุ,และจุดหมายและมรรควิถี. การเริ่มต้นแค่นี้ก็เป็นนิมิต ที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่าทุกข์และความบีบคั้นของมนุษย์ชาติจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร.
อริยสัจจกับการอธิบายกระบวนการต่าง ๆ
จากหลักการของอริยสัจ ซึ่งถือเป็นหลักสากลของอริยสัจ, ทำให้เห็นได้ว่าด้วยหลักการนี้ เราสามารถนำไปใช้ในการคลี่คลายกระบวนการอื่นได้อีกหลายอย่าง เช่นที่กล่าวแล้วในตอนต้น
นอกจากนี้ หลักอริยสัจ ยังเป็นรูปแบบความคิดของพุทธศาสนา ที่ใช้ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้อย่างดีเยี่ยมด้วย, เช่นเดียวกับที่เราได้รับจากหลักวิภาษวิธี.
อีกส่วนหนึ่งที่นับได้ว่ามีความสำคัญมาก คือ เป็นกระบวนการอธิบายเรื่องกรรมของมนุษย์ชาติ. อริยสัจ คือ รูปแบบของหลักปฏิจจสมุปบาทที่จะอธิบายกฎเกณฑ์แห่งความสัมพันธ์โดยควบคู่ไปกับหลักกรรม. เนื่องจากว่าการกระทำของมนุษย์ย่อมแฝงไปด้วยพลังความอยากนั้น. ดังที่ได้กล่าวแล้ว การกระทำจะเป็นเช่นไร จึงขึ้นอยู่กับความอยากที่มีพลังในจิตที่บ่งการเจตนานั้น.
เก่งมากคนค้นพบ