เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด


ป้าฉลวย สมบัติสุข

หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องการช่วยคนให้พ้นทุกข์ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำจะว่าใจดีก็ใจดี จะว่าดุก็ดุและท่านเป็นคนตรง ถ้าเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ขนาดสมเด็จวัดโพธิ์เป็นหลานของท่าน ท่านบอก "เฮ้ย ของเรามันถูกอยู่แล้วแน่นอนอยู่แล้วจะไปกลัวอะไร"

อย่างท่านบอกว่าสมเด็จวัดโพธิ์จะได้เป็นสังฆราช ไม่น่าเชื่อไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจริง เพราะว่าคนที่รอจะขึ้นเป็นสังฆราชมีอยู่อีกองค์คือพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ถ้าสังฆราชองค์เก่าสิ้น พระวัดมหาธาตุต้องได้ขึ้นแน่นอนแต่พอดีมีเรื่องเกิดขึ้น ก็มาเป็นวัดโพธิ์ ท่านจะพูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็น คิดไม่ถึง ถึงเวลาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้

สมัยตอนหลวงพ่อมาอยู่วัดปากน้ำแรกๆ หลวงพ่อมาอยู้ท่านก็ทำตามความถูกต้อง ไม่มีอะไรกับใคร แต่คนที่มาอยู่รุ่นเก่า ที่เขาอยู่แถวนั้นก็มีบารมีเป็นที่นับถือ อาจจะไม่ชอบใจ เวลาหลวงพ่อท่านทำอะไรลงไปก็จะเป็นข่าวโจมตี แต่ยิ่งว่าไม่ดียิ่งดัง
ของเรามันดีอยู่แล้วไม่ได้ไปทำความเสียหายอะไร คล้ายๆ กลองยิ่งตีมันยิ่งดัง แทนที่คนเขาว่าจะทำให้เสื่อมเสียหาย แต่กลับเป็นตรงกันข้าม


********************************


แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย

วิชชาในโรงงาน หลวงพ่อจะเป็นคนสั่งวิชชา พูดผ่านฝากระดานที่กั้นไว้ ชีแถบหนึ่ง พระอยู่อีกแถบหนึ่ง มีที่กั้นแยกกันชัดเจน หลวงพ่อสอนทุกๆ คนเหมือนกัน ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร มีครั้งหนึ่งตอนท่านป่วยหนักเป็นปีที่ ๑๓ ที่ฉันมาอยู่กับหลวงพ่อ วันนั้นท่านให้คนมาเรียก ท่านถามว่า "เอ้าสั่นหายหรือยัง" สั่นก็คือไม่สบาย ฉันก็ตอบว่าค่อยยังชั่วแล้ว ท่านบอกว่า "ทำวิชชาไว้นะ ทำได้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ทำ เราจะไม่ได้" สั่งคำนี้ ท่านสั่งไว้ ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชา ๒๔ ชั่วโมง หลวงพ่อไม่เคยห่าง ทำวิชชาตลอด หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย มีครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม ช่วงกลางคืน คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน(หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น


****************************************


ลุงประคอง ทับจ้อย

วิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ท่านดีจริง ถ้าวิชชาของหลวงพ่อไม่แน่ ตอนนี้วัดปากน้ำเหลือแต่ดุ้นฟืน เพราะตามหลักจริงๆ แล้ววัดปากน้ำเป็นจุดระเบิด ที่ระเบิดลงเลยแหละ ธรรมดาตามหลักประตูน้ำ บางคลองนี้ไม่มีเหลือ ตั้งแต่ประตูน้ำบางนกแสก ประตูน้ำอ่างทอง ประตูบางยาง เหลือแต่ประตูน้ำภาษีเจริญที่ไม่เป็นอะไรเลย ไปถามเลยวัดวาอารามอยู่ที่ไหนไม่มีเหลือ ถูกทิ้งระเบิดหมดเลย ช่วงนั้นหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์ ไม่ออกจากโบสถ์เลย นั่งทำวิชชาของท่านอย่างเดียว นั่งปัดลูกระเบิดอย่างเดียว แล้วบางคนก็จะวิ่งมาอยู่ที่วัดปากน้ำ เพราะมั่นใจว่ายังไงก็ปลอดภัยที่สุด สงครามเกิดขึ้นปี ๒๔๘๕ (สงครามโลกครั้งที่ ๒)



************************************


พระอาจารย์สุวิชา เปสโล คณะเนกขัมม์ วัดปากน้ำ

หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่ให้จับเงิน จับทอง แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อสด ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่ ท่านให้เราเป็นเสาหิน เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย มีครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์ ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากจะทำก็ทำไป เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราหยุด หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร เราไม่หนี เราไม่สู้ แต่เราปฏิบัติ เราก็ทำความดีของเราเรื่อย เดี๋ยวไอ้พวกมาร พวกอิจฉาก็หายไปเอง เรานั่งเฉย ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร เขาด่าเราภายใน ๗ วัน เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง ไม่โต้ตอบ ชนะด้วยความดี


ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์ หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้ อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ



**********************************


คุณครูตรีธา เนียมขำ

การเผยแผ่วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อในสมัยก่อนนั้น ท่านถูกคัดค้านต่อต้านมากมายเพราะในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดสั่งสอนการปฏิบัติแบบนี้ การส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ก็เน้นในก้านปริยัติเพียงด้านเดียว พระที่สนใจการปฏิบัติก็มักจะหลีกเร้นไปแสวงหาที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญเพียรตามป่าเขาลำเนาไพร หลวงพ่อของเราจึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกที่กล้าสอยการปฏิบัติธรรมอย่างเปิดเผย ท่านจึงเป็นที่เพ่งเล็งและเป็นเป้าให้คนโจมตี ผู้ที่คัดค้านการปฏิบัติของท่านนั้นมีทั้งฆราวาสและพระภิกษุ แต่หลวงพ่อท่านก็มิได้ครั่นคร้าม หรือย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ท่านยึดถือพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างและเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์อย่างไม่ย่อท้อ ท่านจึงพยายามฟันฝ่าอุปสรรคอย่างองอาจกล้าหาญ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้แจ้งในหลักการของพระพุทธศาสนา ท่านต้องการเชิดชูธงธรรมกายของท่านให้ปลิวไสวไปทั่วทุกพื้นปฐพีหลวงพ่อท่านมีคติพจน์ของท่านว่า

"ดอกไม้ที่หอมไม่ต้องเอาน้ำหอมมาพรมก็หอมเอง ใครจะห้ามไม่ได้ ซากศพไม่ต้องเอาของเหม็นมาละเลงใส่ซากศพก็ต้องแสดงกลิ่นศพให้ปรากฏ ปิดกันไม่ได้"

**************************************************************************


ลุงเตชวัน มณีวรรณวรวุฒิ

หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย แต่เราทำไม่ค่อยได้ ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็อธิบายว่า เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา แล้วถามว่าเราเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แล้วเราจะตีเขาตอบไหม เราจะโกรธไหม ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม ถ้าเขาตีเรา แล้วเราอโหสิให้ เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน เราจะได้บารมีตรงนี้ นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป ก็ทำวิชชาไป ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ


หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์ พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร ถ้าไม่อบรมตอนนี้ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ


**************************************************************************


ลุงสมจิตร ฉ่ำรัศมี

วิชชาธรรมกายนี้เป็นของจริงไม่ใช่ของเล่น หลวงพ่อบอกว่า “หยุดนั่นแหละ เป็นตัวสำเร็จ” เราเคยคิดว่า “เอ...หลวงพ่อเรานี่ เก่งนี่หว่า ท่านมีดีแต่ท่านไม่อวด” เวลาท่านสอน เราก็นั่งฟัง “มรึงไม่ต้องพูด กรูรู้” หลวงพ่อพูดให้เราได้ยิน แหม ! หลวงพ่อผมไม่ได้ว่าอะไรหลวงพ่อสักหน่อย


จิตใจเรานับถือท่าน ศรัทธาท่าน ศรัทธาเกิดขึ้น บารมีเราก็แก่ขึ้น คนเราถ้าไม่มีศรัทธา บารมีไม่มีหรอก ความนับถือ ความเลื่อมใส ต้องประกอบด้วยการปฏิบัติจริง นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงพ่อวัดปากน้ำให้เชื่อเหตุ เชื่อผล อย่าไปเชื่อเพราะคำโกหกว่า เขาคนโน้นเก่ง คนนี้เก่ง ต้องไปดูว่าเขาเก่งยังไง ธรรมะนั้นมี ๓ อย่าง คือกุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา บางทีเราเคืองเขา น้อยอกน้อยใจนี่ เป็นอกุศล บางทีอยู่เฉยๆ ก็คิดอยากจะทำบุญ นี่ใจเป็นกุศล บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆ เรื่องนี้ พญามารเขาไม่ให้เรารู้หรอก รู้แล้วตาย หลวงพ่อบอกว่า “ช่างมันเถอะ เกิดมาทั้งที ถ้าไม่ดีก็อยู่ไม่ได้ เกิดมาหาแก้วเจอแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม”


ท่านสอนให้เราเข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง คนเราไม่เข้าใจตัวของตัวเองแล้วยังใช้ไม่ได้ ก็เหมือนกับคนเราถ้าไม่รู้ว่าเราคือใคร มายังไงที่เป็นตัวตนอยู่นี้มาทำไม ท่านบอกว่า ตัวเรามีธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง ๔ มาประชุมรวมกัน เกิดมาเป็นตัวเป็นตน เผาแล้วก็จะเป็นเถ้าธุลี ไม่ใช่ตัวของเรา แต่ตัวจริงของเรานั้นมีอยู่ข้างใน ตัวเรามี ๑๘ กาย กายฝัน กายละเอียด เรียงกันไป กายข้างนอกก็ตายไป แต่กายข้างในไม่ตาย พูดแล้วก็เหมือนโกหก ถ้าไปเห็นแล้วมันจึงจะคุยกันได้ สมมติว่าเราฝัน ตัวฝันนั่นแหละสำคัญ เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงในตัวเราว่าเรามีอะไรในตัวเรา เราไม่เชื่อตัวเราแล้วเราจะไปเชื่อใคร แกล้งเขาก็ได้ แกล้งตัวเองก็ได้ ตัวเราเองทั้งนั้น สรุปความแล้วมันมีเหตุ มีผลเกิดกับตัวเรา หลวงพ่อวัดปากน้ำ จะบอกให้ภาวนาไปเรื่อยๆ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ แล้วก็จะไปตกบ่อของใจ บ่อกว้าง ๆ กว้างมากเลย จิตตกอยู่ในตัวเรา ตัวเราค่อยๆ สว่างๆ ไปเรื่อยๆ เห็นทุกดวงและเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เขาบอกว่าอันนี้ไม่จริงนะ ถ้าไม่ทำแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร มันต้องทำถึงจะรู้


**************************************************************************


ป้าจินตนา โอสถ

วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่สูง เป็นศาสตร์อันหนึ่ง เป็นศาสตร์ของธรรมะ ไม่ใช่ศาสตร์สายดำ ถ้าเป็นศาสตร์สายดำ ต้องเป็นเรื่องเสน่ห์ เล่ห์กล แต่นี้ไม่ใช่ เป็นธรรมะ ใช้ธรรมะล้วนๆ คนที่นั่งสมาธินั้นไม่ต้องทำอะไร หลวงพ่อไม่ชอบให้ทำอะไร ท่านบอกว่าทำแล้วหยาบ สมาธิไม่นิ่งแน่น นั่งไปก็ได้ยินแต่เสียงหลวงพ่อสั่งวิชชา หลวงพ่อท่านจำชื่อแม่นทุกคน เวร ๑ เวร ๒ เวร ๓ แม่ชีรุ่น ๑ เยอะมาก รุ่น ๑ คือรุ่นตอนสงครามโลก หลวงพ่อท่าจะจัดเวรดีมาก คือรุ่นเก่าผู้ใหญ่หน่อย ท่านก็ให้อยู่เวรดึก เพราะว่าเด็กๆ ต้องเรียนหนังสือ เรียนหนังสือกันเยอะเพราะเขาเอามาทิ้งเป็นลูกกำพร้า หลวงพ่อท่านจึงเป็นทั้งพ่อทั้งแม่


ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก แทบไม่ได้พักผ่อน และท่านมีบุญมาก ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆ องค์ ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา ผิวท่านผ่องใส พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว


แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ แก้ให้เป็นดี จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน ให้เซฟมันไป ไม่มีหรอก มีแต่ให้มันดีขึ้น


**************************************************************************


แม่ชีทวีพร เลี๊ยบประเสริฐ

เรื่องของการทำวิชชานั้น หลวงพ่อให้ทำวิชชาแก้ เภทภัยของประเทศ และรักษาโรค มีคนมาขอให้หลวงพ่อเรียกฝนก็มี เป็นคนทำนาแถวๆ สุพรรณ ให้ทำนา ทำสวน ทำไร่กันได้ แล้วฝนก็ตกจริงๆ จะช่วยกันในโรงงานมีอะไรก็ช่วยกัน ในห้องนั้นห้ามนำอาหารเข้าไปกิน เวลาแขกมาห้ามพาแขกเข้าไปในโรงงานทำวิชชา คนป่วยที่จะให้รักษาต้องเขียนชื่อสกุลที่อยู่ เป็นโรคอะไร แล้วส่งให้หลวงพ่อ ท่านก็จะให้แม่ชีแก้อีกครั้งหนึ่ง บางคนใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหาย และเมื่อเวลากลับบ้านแล้ว ต้องปฏิบัติธรรม และถือศีลด้วย ก่อนนอนต้องนั่งธรรม ๑๐-๒๐ นาที อย่างโรคภัย ไข้เจ็บ อาการบ่งบอกว่าจะตาย ในระยะเท่านั้นเท่านี้ พอหลวงพ่อส่งคนไปรักษาคนนั้นก็ไม่ตาย วิธีรักษาก็ไม่ต้องกินยา ใช้กายองค์พระธรรมกาย กลั่นธาตุธรรมให้ใสให้สะอาด อันนี้ต้องทำเรื่อยๆ ต้องไปรักษาคนถึงในโรงพยาบาลก็มี อยู่ตามห้องพิเศษ หมอรักษาทางนอก เรารักษาทางใน หลวงพ่อท่านส่งไป หมอพบเห็นแม่ชีนั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยเขาก็รู้ แล้วก็หลบให้


เวลานั่งสมาธินั้นต้องนั่งให้มีความสุข ไม่ให้มีกิเลสตัณหา บางทีหลวงพ่อก็สั่งให้ไปนรกสวรรค์... หลวงพ่อเคยสั่งให้ไปตามคนมา เขาจะเอาไปนรก ต้องให้ตามกลับมา รู้ว่าต้องตายตอนนี้ แต่อย่าพึ่งให้เอาไป เอาไว้สร้างกุศล หลวงพ่อท่านจะส่งคนไปสอนธรรมะข้างนอกด้วย ตอนนั้นจะมีแม่ชีทองสุข ส่วนตัวฉันหลวงพ่อก็ให้ไปสอนธรรม ๕-๖ วันก็กลับ หลวงพ่อให้ไปสอนที่ฉะเชิงเทรา ส่วนมากจะไปตามวัด ตั้งแต่หลวงพ่อสิ้นก็ไม่ได้ออกไปสอนธรรมะที่ใดอีก


**************************************************************************


แม่ชีพราหมณ์ ช้างเขียว

หลวงพ่อเป็นคนจริงจัง ทำอะไรทำจริงทำจัง พูดจริง ทำจริง พูดเรื่องอะไรก็ตาม รับรองได้เลยไม่มีคลาดเคลื่อนเลย คำพูดของท่านวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ไม่ดุ แต่ไม่รู้ทำไมกลัวท่าน ท่านรู้หมดแหละว่า ลูก ๆ ท่านเป็นยังไงเวลาเทศน์ ใครสักคนกำลังคิดอะไรอยู่ ท่านก็เทศน์แทงใจเลย คนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง เรากลัวก็กลัว แต่ก็รักหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ช่างปั้นรูปหล่อของท่านไว้ ท่านจะเดินไปให้ช่างดูตัวทุกวัน ท่านรู้ว่าท่านจะเริ่มป่วย ก็เลยให้ช่างปั้นรูปท่านไว้ ภายในบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มากมาย ฉันจำได้ตอนหลวงพ่ออายุราวๆ ๗๐ ปี หลวงพ่อผิวขาวสวยงามมาก ท่านดูผ่องใสมาก น่าเลื่อมใสศรัทธามาก ยิ่งตอนหลวงพ่อห่มจีวรใหม่จะดูหลวงพ่อสว่างทีเดียว


เวลาหลวงพ่อเทศน์ ถ้าวันไหนมีพระลงน้อย ท่านก็จะบอกว่า วันนี้พระแพ้แม่ชี แล้วท่านก็จะไม่เทศน์ด้วย พระก็จะต้องรีบวิ่งไปตามพระมา ตามมาจนเต็มโบสถ์ วันหลังพระก็เข็ด เวลาเทศน์ถ้ามีคนตะบันหมาก ท่านก็จะหยุดเทศน์ รอให้ตะบันเสร็จก่อน น่ากลัวมั้ยละ คนกำลังเทศน์อยู่ดีๆ ก็หยุดเทศน์ไปเฉยๆ วัยพฤหัสหลวงพ่อจะลงมาสอนธรรมะ ถ้าใครส่งเสียงดังรบกวน ท่านก็จะพูดไปเลยว่า เดี๋ยวหูหนวกนะ รบกวนคนกำลังปฏิบัติ เวลาจะมีผู้ใหญ่มาวัดปากน้ำ หลวงพ่อจะเดินตรวจวัด เดินไปตามทาง มองไปทางโน้นที ทางนี้ที ทุกคนรีบเก็บเสื้อผ้า เรียบร้อย รู้เลยว่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มา


หลวงพ่อท่านเป็นคนประหยัด ละเอียดถี่ถ้วน เดินไปตามถนนท่านเจอเศษไม้เป็นท่อน ท่านเก็บเอามา ท่านบอกว่าเอาไว้ทำฟืนได้ พวกผ้าขี้ริ้วมันขาดแล้วก็อย่าเอาไปทิ้ง ปะมันจำเป็นอะไรมันรั่วขึ้นมา เอาน้ำมันยางโปะมันก็กันได้ ชั่วระยะไม่ให้ทิ้ง แล้วที่ล้างชามอย่าไปเทพรวดๆ ค่อยๆ ริน เอาน้ำออก แล้วไอ้ที่ก้นๆ ไปให้หมู ให้หมากินก็ได้ ท่านสอนละเอียดเลย สอนบ่อยๆ สอนมากๆ เข้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าไป สมัยนี้ไม่มีใครทำหน้าที่สอนเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย


**************************************************************************

ลุงประคอง ทับจ้อย

หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านไม่ดุหรอก แต่ผิดวินัย ผิดระเบียบไม่ได้ สมัยหลวงพ่อมีพระ ๕๐๐ กว่าองค์ ใครมาทิศเหนือทิศใต้ที่ใดมาท่านรับหมด ถ้าพระมาขออยู่ด้วย ท่านจะถามประเด็นแรกว่า เราเรียน เราศึกษานะ ห้ามหยิบอัฐนะ แล้วค่อยถามว่าอยู่กับใคร มีที่อยู่หรือยัง จีวรมีไหม มุ้ง เสื่อ มีไหม ถ้าไม่มีท่านก็เรียก “ยูร มาจัดของให้พระหน่อย” ลุงประยูรเป็นอุปัฏฐากท่าน ดูแลเรื่องการเงินการทองทุกอย่างในวัด หลวงพ่อท่านไม่จับเงิน และพระเณรของหลวงพ่อต้องแต่งตัวเรียบร้อย ห่มเหมือนกันหมด เณรห่มลดไหล่ ห่มดอง พระห่มคลุม พระที่อยู่วัดต้องปฏิบัติตามและไม่ต้องบิณฑบาต เลี้ยงเองหมด เลี้ยงมาตลอด พอหลวงพ่อสร้างโรงเรียนเป็นตึกเอนกประสงค์ ๓ ชั้น พระเณรก็สงสัยกันว่าสร้างให้ใครเนี่ย เพราะสมัยนั้นถือว่าเป็นตึกที่ทันสมัยที่สุด แถวนี้ ไม่มีใครสร้างเลย หลวงพ่อท่านออกพระของขวัญมอบให้สำหรับผู้สร้างโรงเรียน องค์ละ ๒๕ บาท ถ้าใส่กรอบเงินก็ ๓๐ บาท และถ้าทำก็ต้องมารับเอง ลูกก็ต้องมารับเองกับมือ รับแทนกันไม่ได้ถึงแม้จะทำมากกว่า ๒๕ บาทก็ต้องรับองค์เดียว


หลวงพ่อท่านจะเป็นพระที่ไม่ค่อยคุย แต่ท่านพูดอะไรจะพูดล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี อย่างเช่น สายบางนา ท่านบอกว่าต่อไปจะเป็นสายใหญ่ สายนี้จะไปจังหวัดตราด จังหวัดชลบุรี ท่านพูดเป็นสิบๆ ปี ทั้งที่ยังเป็นสวนเป็นทุ่งนาอยู่ เห็นหมู่บ้านไกลลิบๆ


ตอนสงครามโลกช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน แปลกมันกัดกันตายเป็นกองเป็นเข่งเลย ก็ไปบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมดมันกัดกันตาย เต็มถนนไปหมด หลวงพ่อท่านก็บอก “อือ อีก ๗ วันสงครามจะเลิก” หลวงพ่อพุดก็เลิกจริงๆ อีก ๗ วันสงครามเลิกเลย ท่านไม่พูดอะไรมาก พูดน้อย พูดแต่คำสองคำก็เข้าโรงงานเลย


**************************************************************************


พระอาจารย์สุวิชา เปสโล คณะเนกขัมม์ วัดปากน้ำ

เมื่อก่อนวัดปากน้ำไม่มีอะไรหรอก ริเริ่มก็เป็นวัดเก่าแก่ กุฏิก็มีไม่กี่หลัง สมัยหลวงพ่อที่นี่ก็เป็นสวนพลู สวนหมาก สวนมะพร้าว สวนเงาะ กุฏิเป็นกุฏิเล็กๆ ยกขึ้น ปลูกด้วยไม้สัก พักได้องค์เดียว อยู่ตามร่องสวน สมัยหลวงพ่อ ตึกยังไม่มี ยกโรงกลางสนามวัดให้พระได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม ไม่ได้สร้างอะไร อยู่มาพระเณรมากขึ้น ไม่มีที่ศึกษาเล่าเรียน มีคนเขาให้หลวงพ่อช่วยสร้างโรงเรียนขึ้นสักหลัง ต่อมาจึงมีการสร้างพระของขวัญขึ้น องค์ละ ๒๕ บาท เพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนหลวงพ่อบอกว่า เราต้องสร้างคนเสียก่อน ให้มีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ให้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักบุญ รู้จักบาป รู้จักคุณ รู้จักโทษ เดี๋ยวเขาก็สร้างเอง เขามีศรัทธาเดี๋ยวเขาก็สร้างเอง ไม่ต้องบอก แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อสอนทุกเช้า คือเมื่อพระภิกษุสามเณรบวชมาแล้วให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ต้องวิ่งไปหาญาติโยม ให้อยู่ในวัด ประพฤติปฏิบัติให้ดี เมื่อเราประพฤติปฏิบัติดี เดี๋ยวเขาก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาก็เอาอาหารมาถวายเอง หลวงพ่อมีอุดมคติอย่างนั้น พระภิกษุสามเณร อุบาสก แม่ชีจึงต้องปฏิบัติกันทุกคน ไม่ต้องกลัวอด ถ้าอดเป็นอด ตายเป็นตาย ขอให้เราประพฤติ ปฏิบัติจริง ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยจริง มนุษย์ไม่เห็น เทวดา ผีสางก็เห็นเขาก็สรรเสริญเอง


หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่ให้จับเงิน จับทอง แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อสด ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่ ท่านให้เราเป็นเสาหิน เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย มีครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์ ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากจะทำก็ทำไป เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราหยุด หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร เราไม่หนี เราไม่สู้ แต่เราปฏิบัติ เราก็ทำความดีของเราเรื่อย เดี๋ยวไอพวกมาร พวกอิจฉาก็หายไปเอง เรานั่งเฉย ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร เขาด่าเราภายใน ๗ วัน เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง ไม่โต้ตอบ ชนะด้วยความดี


ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์ หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้ อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ


**************************************************************************


แม่ชีศรีปรุง อุบลนุช

พอตี ๓ แม่ชีต้องลุก ตวงน้ำใส่แก้ว ตั้งตามโต๊ะ กระโถนอยู่ตรงกลาง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องตวงน้ำแล้วมีแก้วกับขวดตั้งสะดวกสบาย หลวงพ่อท่านเคยเรียกแม่ชีและบอกว่าโต๊ะตรงนี้นะ กระโถนตั้งตรงนี้ ตั้งเป็นระยะๆ ผ้าจะปูตรงกลางแล้วมีแก้วน้ำ กาน้ำแก้วน้ำนี้ต้องตวงด้วย ท่านบอกต้องทำให้สะอาดนะ ทำไปนะกุศลใหญ่ บุญใหญ่ สมัยนั้นยังใช้น้ำกรองตักจากแท้งค์ใหญ่ หลวงพ่อจะลงฉัน เวลาพระฉันก็ได้ยินแต่เสียงช้อน ไม่ให้คุยกัน พระเยอะๆ ก็ไม่ให้นั่งคุย ถ้าคุยท่านก็จะถาม “ฉันข้าวหรือกินเหล้า” ไม่ให้พูด ได้ยินแต่เสียงช้อนเพราะว่าเป็นชามกระเบื้อง แต่ก่อนแม่ชีท้วมเป็นแม่ครัวดูแลครัวทั้งหมด มาอยู่ก่อน ๕ ปี แม่ชีเขาจะมีเวรทำวิชชาไม่ขาดสาย พอเวรนี้ออกคนโน้นก็มาแทนเปลี่ยนเวรกัน ไม่ให้ขาด หมุนเวียนไปเรื่อยๆ แล้วจะจัดสำหรับเอาไว้ให้ต่างหาก


**************************************************************************


แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย

วิชชาในโรงงาน หลวงพ่อจะเป็นคนสั่งวิชชา พูดผ่านฝากระดานที่กั้นไว้ ชีแถบหนึ่ง พระอยู่อีกแถบหนึ่ง มีที่กั้นแยกกันชัดเจน หลวงพ่อสอนทุกๆ คนเหมือนกัน ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร มีครั้งหนึ่งตอนท่านป่วยหนักเป็นปีที่ ๑๓ ที่ฉันมาอยู่กับหลวงพ่อ วันนั้นท่านให้คนมาเรียก ท่านถามว่า "เอ้าสั่นหายหรือยัง" สั่นก็คือไม่สบาย ฉันก็ตอบว่าค่อยยังชั่วแล้ว ท่านบอกว่า "ทำวิชชาไว้นะ ทำได้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ทำ เราจะไม่ได้" สั่งคำนี้ ท่านสั่งไว้ ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชา ๒๔ ชั่วโมง หลวงพ่อไม่เคยห่าง ทำวิชชาตลอด หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย มีครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม ช่วงกลางคืน คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน(หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น





หมายเลขบันทึก: 215630เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 02:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท