กรรมชรูป คือรูปอันเกิดจากกรรมผลิตสร้าง และปัญหาเรื่องจุติ-ปฏิสนธิ แบบสืบต่อสันตติในพุทธศาสนา


กรรมชรูป คือรูปอันเกิดจากกรรมผลิตสร้าง และปัญหาเรื่องจุติ-ปฏิสนธิ แบบสืบต่อสันตติในพุทธศาสนา

ชนกกรรมนั้นได้แก่ กรรมซึ่งเป็นอารมณ์ของบุคคลผู้ใกล้จะถึงแก่ความตาย  จะเป็นอารมณ์ที่เป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม  ที่มีกำลังมาก  ได้โอกาสเกิดขึ้นมาในขณะนี้  เป็นตัวการทำให้เกิดการปฏิสนธิ  ย่อมทำให้เกิดขึ้นมาซึ่งวิบากขันธ์  และกรรมชรูป  ในภพใหม่ชาติใหม่  เป็นเปรต  อสุรกาย  เป็นมนุษย์ในครรภ์ของมารดา  หรือเกิดในเทวโลก

วิบากนามขันธ์  ได้แก่  เวทนา  สัญญา  สังขาร  ซึ่งเป็นเจตสิก  กับวิญญาณ  คือจิต  พร้อมกับกรรมชรูปก็ดับลงไปด้วยกันในขณะจุติจิตเกิดขึ้น  หมดความสามารถที่จะปกปักษ์รักษาไว้ให้ดำรงคงชีวิตได้อีกต่อไปแล้ว  ภพชาติก็เป็นอันสิ้นสุดลงไปคราวหนึ่ง

วิบากนามขันธ์  อันได้แก่  เวทนา  สัญญา  สังขาร  กับวิญญาณ  คือจิตพร้อมกับกรรมชรูป  คือรูปอันเกิดจากกรรมผลิตสร้างก็จะตั้งต้นขึ้นมาใหม่ในภพชาติใหม่  ถ้าเป็นเปรต  อสุรกาย  เทวดา  ก็เรียกว่าโอปปาติกปฏิสนธิ  เป็นรูปปรมาณู  มีประสาทตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  มีหทัยวัตถุ  และเพศหญิงหรือเพศชายพร้อม  ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเกิดแต่ประสาทกาย  หทัยวัตถุ  เพศหญิง  เพศชาย  ซึ่งเป็นปรมาณูเหมือนกัน  แต่ตั้งอยู่บนเซลของบิดามารดาที่รวมกันแล้ว  เรียกว่า  "กลละ"  เป็นน้ำใสเล็กๆ จุดหนึ่ง  ซึ่งท่านเปรียบเอาไว้ว่า  เหมือนเอาขนที่ละเอียดอ่อนจุ่มน้ำมันงาที่ใสสะอาดแล้วสลัดเสีย ๗ หน  และหลายสัปดาห์ต่อไปจึงจะเกิดประสาททางทวารอื่นๆ เพิ่มขึ้น

*************************************************************

การที่บุคคลได้กระทำกรรมอยู่เสมอ ๆ ทั้งในชาตินี้หรือในอดีตชาติ  กุศลอกุศลที่ได้ทำแล้วเหล่านั้นย่อมจะมาปรากฏเป็นอารมณ์ให้ในมรณาสันนกาล  เป็นชนกกรรมนำให้บังเกิดการปฏิสนธิในชาติหน้

อย่างไรก็ดี  กุศลกรรมที่เกิดขึ้นในมรณาสันนกาล  สามารถช่วยอุดหนุนแก่ชนนกกรรมในอดีตภพที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล  ให้ได้มีโอกาสส่งผลได้เหมือนกัน

>>>  นาย ก. เป็นพุทธศาสนิกชน  แต่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมเลย  ไม่มีความมั่นคงในใจว่า  ชาติหน้า  และผีสางเทวดาจะมีได้  เพราะเคยแต่ศึกษาในวิชาการสมัยใหม่มามากมาย  ใครพูดอะไรให้ฟังก็มักจะหักล้างทำลายเหตุผลของผู้อื่นเสียด้วยวิชาการสมัยใหม่  พร้อมวาทะอันเป็นศิลปของตน  แต่ก็ยังดีเพราะเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ  เมตตาปราณีต่อใครๆ โดยทั่วไปอยู่บ้าง

ครั้นเวลาป่วยเจ็บใกล้จะถึงแก่ความตาย  ด้วยอำนาจของกรรมที่ทำมาไม่ค่อยจะดี  นาย ก. ก็เกิดแต่นิมิตที่ไม่เป็นมงคล  เช่นทำท่าทางตกใจ  กิริยาอาการผิดปกติไปคล้ายกับผู้เห็นอะไรที่น่าหวาดกลัวสะดุ้งและหวั่นไหว  พยายามขยับเขยื้อนกายจะถอยหนี  แน่ล่ะในขณะนี้จิตใจไม่ผ่องใส  กุศลกรรมมีกำลังน้อยสู้อกุศลไม่ได้  ถ้าแตกดับลงไปในขณะนี้แล้ว  จะต้องเกิดในทุคติภูมิอย่างแน่นอน  แม้กุศลอปราปริยเวทนียกรรมของนาย ก. ที่ทำไว้เก่าๆ ก็ไม่อาจช่วยให้นาย ก. พ้นจากทุคติได้


ญาติที่ใกล้ชิดนาย ก. เห็นดังนั้น  ก็ไม่อาจทนนิ่งดูดายอยู่ได้  และตัวเองก็มีความเข้าใจอยู่ด้วยได้เคยเล่าเรียนพระธรรมมา  ก็รีบฉวยโอกาสดี  ที่คนไข้ยังมีความรู้สึกตัวอยู่บ้าง  จึงได้เริ่มพูดดังๆ สนทนากับนาย ก. เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ให้ใหม่  ให้เป็นไปในฝ่ายกุศล  เช่นได้พูดว่า  เคยสร้างโรงเรียน  เคยสร้างโรงพยาบาลมิใช่หรือ  คราวนั้นที่จังหวัดนั้นเคยเอาเสื้อผ้าและอาหารไปแจกแก่ประชาชนจังหวัดที่ถูกน้ำท่วมด้วยกันและอื่นๆ อีกเท่าที่จะนึกได้


เมื่อจิตใจของนาย ก. ถูกกระตุ้นเตือนใจให้เปลี่ยนอารมณ์ (สำหรับคนที่เปลี่ยนได้) นิมิตที่ไม่ดีที่น่ากลัวของนาย ก. ก็หายไป  นาย ก. บางครั้งพะยักหน้ารับ  แสดงว่าระลึกได้  หน้าตาก็ค่อยๆ ผ่องใสขึ้น  เพราะได้อารมณ์ที่ดีที่ได้เกิดขึ้นใหม่มาทดแทน  เมื่อจุติแล้วจึงปฏิสนธิในสุคติภูมิ  ภูมิใดภูมิหนึ่ง  นี่ก็คือ

---> กุศลที่เกิดขึ้นในมรณาสันนกาล  ช่วยอุดหนุ่นแก่กุศลชนกกรรมที่ในอดีตภพ

*************************************

>>>  นาย ข. เป็นพุทธศาสนิกชน  มีจิตศรัทธาดีอยู่  ชอบทำบุญ  ให้ทาน  รักษาศีล  ศึกษาธรรมะมาบ้าง

ถึงกระนั้นก็ดี  เพราะนาย ข. เป็นคนมีฐานะดี  มีภรรยาสาวสวยที่อายุยังน้อย  นาย ข. ป่วยเจ็บมากในครั้งนี้จึงมีความกลัวตายมาก  ห่วงใยในภรรยาสาวสวย  ห่วงใยในทรัพย์สมบัติและลูกหลาน  เคยเรียกภรรยามาซักถามว่า  ถ้าพี่ตายลงแล้ว  เธอรับปากได้หรือไม่ว่าจะไม่มีสามีใหม่

เพราะความห่วงใยของนาย ข. นี่เอง  จึงเกิดแต่นิมิตที่ไม่ดี  น่าที่จะต้องไปอุบัติเกิดขึ้นในทุคติ  ญาติของนาย ข. จึงเอาพระพุทธรูปมาตั้งให้นาย ข. เห็น  นิมนต์พระมารับอาหารบิณฑบาต  และสนทนาธรรมะกับนาย ข. จิตใจของนาย ข. จึงได้ผ่องใสขึ้น  ดูหน้าตาก็บอกว่าได้อารมณ์ที่ดี  แน่นอนทีเดียว  หวังว่าคงจะได้ปฏิสนธิในสุคติภูมิ

---> กุศลที่เกิดขึ้นในมรณาสันนากาลนี้  เกิดขึ้นอุดหนุนแก่กุศลกรรมในปัจจุบันภพที่ตัวได้เคยทำมาในชาตินี้

เรื่องของอกุศลก็โดยทำนองเดียวกัน

***************************************************************

ความสิ้นสุดแห่งปัจจุบันภพ  และการอุบัติขึ้นแห่งอนาคตภพ

เหตุผลที่จุติจิตเกิดขึ้นในครั้งสุดท้ายของวิถีนั้น  ก็เนื่องมาแต่กรรมชรูปที่ได้เกิดขึ้นมาในครั้งสุดท้ายนั่นเอง  วิบากจิตจะดับลงโดยที่กรรมชรูปยังคงตั้งอยู่นั้นไม่มีเลย  หรือว่ากรรมชรูปดับลงหมดสิ้นแล้ว  แต่วิบากจิตยังกำลังเกิดอยู่ก็ไม่มีเหมือนกัน  วิบากจิตและกรรมชรูปจึงต้องดับลงพร้อมกันด้วย  เปรียบเหมือนไฟเทียนที่จุดขึ้น  ไปเกิดแล้ว  แสงสว่างก็เกิดขึ้น  ครั้นไฟดับลงแล้ว  แสงสว่างก็หมดสิ้นลงด้วย  ไม่ก่อนและไม่หลัง

---> วิบากจิตและกรรมชรูปดับลงในครั้งสุดท้ายของชีวิตนี้  เราพูดกันว่า  "ตาย"

เมื่อจุติจิต  และกรรมชรูปดับลงแล้ว  ในทันทีนั้นเองก็จะปฏิสนธิในภพใหม่ชาติใหม่  ไม่มีอะไรมาคั่นกลางเลย  ตามแต่บุญหรือบาปที่ได้ทำเอาไว้ที่ให้อารมณ์เมื่อตอนสุดท้ายที่ใกล้จะถึงแก่ความตาย

---> ปฏิสนธิก็ได้แก่วิบาก  ขันธ์  ซึ่งมีจิต  เจตสิก  พร้อมด้วยกรรมชรูปได้ตั้งต้นขึ้นในภพใหม่  แล้วในทันใดเป็นการอุบัติขึ้นของชีวิตใหม่  ที่เราเรียกกันว่า  "เกิด"

***************************************************************

แท้จริง  การปฏิสนธินั้น  เกิดขึ้นโดยทันทีต่อจากจุติจิตโดยไม่มีระหว่างคั่น  ดังนั้น  พระอนุรุทธาจารย์จึงได้ใช้คำว่า  "เอว"  ประกอบในคำ   "อนนฺตร"  ว่า  "ตสฺสานนฺตรเมว"  ในลำดับแห่งจุติจิตโดยไม่มีระหว่างคั่นนั่นเอง

-->> ผู้ที่มิได้ศึกษาหรือมิได้ทำความเข้าใจให้ดี  ก็มักจะหลงเข้าไปยังแดนของสัสสตทิฏฐิ  คือมีความเห็นผิดในความเที่ยง  ว่าสัตว์ทั้งหลายตายลงแล้ว  วิญญาณของเขายังล่องลอยอยู่ได้  รูปนามของสัตว์ทั้งหลายที่ได้ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้อีกในขณะปฏิสนธิ

-->> บางพวกก็มีความเห็นผิดเป็นชนิดอุจเฉททิฏฐิ  คือมีความเข้าใจว่า  การเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่ของสัตว์ทั้งหลาย  มิได้เกี่ยวข้อง  มิได้สืบต่อมาจากภพเก่า  ชาติเก่าแต่ประการใด  เป็นการเกิดขึ้นมาเอง  อันเกิดจากการสมสู่อยู่ด้วยกันของบิดามารดาเท่านั้น

--> ***  ความจริง  รูปนามที่เกิดขึ้นในภพเก่านั้นดับไปแล้ว  และรูปนามในภพใหม่นี้ก็หาใช่รูปนามในภพเก่าไม่  แต่รูปนามในภพใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้ก็อาศัยรูปนามในภพเก่า  หรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน  แต่มิใช่เป็นอันเดียวกัน

->  เหมือนลูกคลื่นในน้ำ  ลูกคลื่นลูกที่ ๑  ก็หาใช่เป็นลูกคลื่นลูกสุดท้ายสุดมิได้  เพราะมันเป็นคนละลูก  แต่แม้มันจะมิได้เป็นคลื่นลูกเดียวกันก็จริง  ก็ปฏิเสธมิได้ว่ามันได้อาศัยกันเกิดขึ้นมา  (อนันตรปัจจัย)

->  เมื่อเราได้ฟังวิทยุกระจายเสียง  หรือเราดูโทรทัศน์  เสียงที่ส่งจากสถานี  หรือภาพที่เรามองเห็น  ก็หาใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับที่ส่งออกมาจากสถานีส่งมิได้  หากแต่มันก็ได้สืบต่อกันมาเหมือนกัน

->  หรือเหมือนมะม่วงพิมเสน  ที่เราเอาเม็ดมาปลูก  เวลานี้ปลูกต้นโตขึ้นมาแล้ว  มีต้นมีกิ่งก้าน  และมีใบพร้อม  เมื่อเราตั้งคำถามว่า  มะม่วงต้นนี้เป็นต้นใหม่  หรือเป็นต้นเก่า  เราจะตอบว่าอย่างไร  เพราะว่า

ถ้าเราตอบว่าเป็นต้นใหม่  เราก็ตอบหาถูกต้องไม่  ด้วยมันมิได้ใหม่จริง  ด้วยเราเอาเม็ดเก่ามาปลูกต่างหาก  ซึ่งมะม่วงต้นนี้สืบเนื่องมาจากของเก่าทั้งนั้น

ถ้าเราตอบว่า  มะม่วงต้นนี้เป็นต้นเก่า  เพราะเราเอาเม็ดเก่ามาปลูก  เราก็พูดไม่ถูกต้องอีกด้วย  ในเวลานี้มีแต่ต้นใหม่  เพราเม็ดมะม่วงเก่าละลายเป็นดินไปหมดแล้ว

ฉะนั้น  เราก็จำเป็นจะต้องพูดให้ถูกต้องว่า  มะม่วงต้นนี้  ไม่ใช่ต้นใหม่  แล้วก็ไม่ใช่ต้นเก่า  แต่เป็นต้นที่สืบๆ กันมา

--->>   รูปนามที่เกิดขึ้นมาในภพใหม่ก็เหมือนกัน  เป็นรูปนามที่เกิดขึ้นมาใหม่  หาใช่เป็นรูปนามเดิมมิได้  แต่อาศัยรูปนามเดิมและอื่นๆ อีกเป็นอันมากเป็นปัจจัย  เป็นตัวให้อำนาจรูปนามใหม่จึงได้เกิดขึ้น  และเรียกรูปนามนี้ว่า  "ปฏิสนธิ"  


**********************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง  ชีวิตหลังความตาย : บุญมี  เมธางกู

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 215745เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 13:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท