สังสารวัฏที่หาจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดไม่พบ
(อนมตัคคสังสาร)
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวพุทธว่า ชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกชีวิตต้องดิ้นรนหาอาหารมาเพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดไปวันแล้ววันเล่า ทุกชีวิตต่างแย่งชิงกันเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ในสมรภูมิแห่งการแก่งแย่งนี้ ผู้ที่ร่างกายใหญ่กว่าฉลาดกว่าหรือปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า ย่อมเอาชนะคู่แข่งได้และได้อาหารไปหล่อเลี้ยงชีวิตได้มากว่า
พระพุทธองค์ตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ถ้าปราศจากอาหารแล้วสรรพสัตว์ก็ดำรงอยู่ไม่ได้
ดังนั้น อาหารจึงเป็นปัจจัยหลักให้ทุกชีวิตต่างทนทุกข์ทรมานต่าง ๆ เพื่อให้ได้อาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกายของตนให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวัน ๆ เหมือนน้ำมันที่หล่อเลี้ยงให้รถวิ่งเคลื่อนที่ไปได้แต่ละขณะฉันนั้น
ในส่วนของสัตว์ทั้งหลายนั้น นอกจากจะหาอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกายเพียงอย่างเดียวแล้วยังไม่เพียงพอแก่ความเป็นจริงของสิ่งที่มีชีวิตได้ เพราะนอกจากอาหารทางร่างกายแล้ว สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายยังจะต้องหาอาหารมาหล่อเลี้ยงจิตใจของตนด้วย ซึ่งอาหารที่ว่านี้ก็มีความสำคัญมากพอกับอาหารทางร่างกาย หรืออาจมีความสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำไป
อาหารที่ว่านี้ ได้แก่ อาหารทางอารมณ์ความรู้สึก เรียกว่า ผัสสาหาร หรืออาหารทางสัมผัส เราจะเห็นได้ว่าบางคนต้องไปหารับประทานยังสถานที่มีดนตรีขับกล่อมด้วยจึงจะได้อารมณ์ แม้จะเสียค่าใช้จ่ายแพงแสนแพงก็ยอมเพื่อแลกกับอาหารทางอารมณ์
อาหารทางจิต เรียกว่า มโนสัญเจตนาหาร หรืออาหารทางใจทางความคิด บางทีเราเรียกบุคคลที่ไม่มีความคิดรอบคอบหรือไม่ฉลาดว่าโตแต่งกายแต่งสมองฟ่อ นั่นหมายความว่า เขาไม่มีอาหารทางใจ หรือ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ความคิดสติปัญญาหรือข้อมูลทางสมองไม่ค่อยมี จึงทำให้พิการทางความคิดไป หรือที่เราเรียกติดปากว่า อัปปัญญา ถ้าคนใดมีอาหารทางใจมาก คนนั้นจะฉลาดคิดมีความเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้ง เพราะข้อมูลทางสมองมีมาก จึงทำให้มีข้อมูลในการนำไปคิดได้มาก
สุดท้าย คือ อาหารที่เป็นปัจจัยหนุนให้เกิดในภพใหม่ต่อไป เรียกว่า วิญญาณาหาร หรืออาหารทางวิญญาณ หมายถึงอาหารที่สนับสนุนให้เกิดในภพต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอาหารประเภทนี้ ได้แก่ ความไม่เข้าใจ ความหลงผิดแล้วส่งผลให้ยึดถือผิด ๆ ในสิ่งที่ผิดนั้นต่อไป เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า มีอวิชชา ตัณหา และ อุปาทาน
ดังนั้น ความทุกข์ทั้งหมดที่สัตว์ทั้งหลายได้รับและเสวยอยู่ในขณะนี้ล้วน เป็นผลมาจากการแสวงอาหารล้วน ๆ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย
ขอให้เข้าใจความจริงไว้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าเราจะเห็นพฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ แสดงออกมาในลักษณะเช่นใดก็ตาม ก็ขอให้รู้ว่านั่นเขากำลังหาอาหารหรือกำลังรับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในบรรดาอาหาร 4 ชนิดนี้ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อให้เขามีร่างกายที่ดี มีความสุขที่ดี มีความคิดสติปัญญาที่ดี และมีภพใหม่ที่ดีขึ้น
ในการแสวงหาอาหารนี้ ก็เป็นการเรียกแบบสุภาพ ๆ เพื่อให้ดูดีเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะเรียกให้ตรงประเด็นก็ต้องบอกว่า การแสวงหาอาหารนี้ คือ การแย่งชิงเอาร่างกายของผู้อื่นเข้ามาเป็นร่างกายของตนเอง เพื่อให้ร่างกายของตนเองดำรงอยู่ต่อไปได้ เพราะการกินอาหารก็คือ การกลืนกินร่างกายของผู้อื่นเข้าไปเป็นร่างกายของตนเองสัตว์บางประเภทมีการแย่งชิงแบบโหด ๆ เห็นแล้วชวนให้สังเวชสลดใจ ไม่อยากจะเกิดอีกต่อไป แต่บางพวกอย่างมนุษย์แย่งชิงแบบสุภาพหน่อย หรือว่ายิ่งโหดกว่าสัตว์อื่น ๆ ก็ไม่รู้ดูเองก็แล้วกัน แต่ว่าการบริโภคนั้นบอกได้ว่า ดูดีกว่าพวกอื่น
พูดโดยสรุปว่า สัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กินสัตว์ที่มีกำลังน้อยกว่าตัวเอง ใครที่ใหญ่กว่า หรือมีปัญญามากกว่าก็ทำร้ายร่างกายแย่งชิงเอาของผู้ด้อยกว่ามาเป็นอาหารของตนได้ เรียกได้ว่า ไม่มีใครเลยที่จะอยู่ได้ด้วยลำพังตนเองโดยไม่พึ่งพาอาหารหล่อเลี้ยง นี้แหละเป็นธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า เป็นอนัตตา คือ ไม่อาจอยู่ด้วยลำพังตนเองได้ ต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกื้อหนุนให้เป็นอยู่ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่ฉลาดเท่านั้นจึงจะสามารถดับภพดับชาติ ดับอาหารใด ๆ ทั้งหมดได้ ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาอีกตลอดไป ส่วนพวกที่ไม่เข้าใจหลงผิดก็ต้องทนทุกข์แย่งชิงร่างกายกันต่อไป
ความทุกข์เกิดจากการแสวงหาอาหารต่าง ๆ ที่พูดถึงนี้มีมากเท่าใดนั้นแต่ละคนแต่ละท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจของตนเองไม่จำเป็นต้องบอก ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคนว่า จะต้องการอาหารชนิดใดมากและรู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์แก่ตนเองมากน้อยเพียงใด
ในหลักการของพระพุทธศาสนาบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าชีวิตทุกชีวิตที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ล้วนมีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวเท่านั้น คือ ทุกข์ การที่เรามีความรู้สึกว่า มีความสุขอยู่บ้าง ก็เพราะความทุกข์มันลดน้อยลงไปเพราะเราได้อาหารเข้าไปช่วยแบ่งเบาความทุกข์เท่านั้นเอง เพราะความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ชั่วครั้งชั่วคราวนี้เอง ที่ทำให้พวกเราหลงว่า มีความสุขแล้วก็แสวงหาสุขนั้นและในที่สุดก็ติดสุขนั้นอีก โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า นั่นเป็นเพียงทุกข์ที่ลดน้อยลงไปเท่านั้น
เมื่อรู้ว่า ความจริงคือทุกข์อย่างนี้แล้ว ลองหันกลับมาสำรวจดูความจริงอีกอย่างบ้างว่า สาระแก่นสารของชีวิตนี้ คืออะไร และเพื่ออะไร
พระพุทธองค์ตรัสว่า ชีวิตในสังสารวัฏนี้ ที่มีความยาวนานมากจนไม่มีใครจะกลับไปดูจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ ได้ และในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครที่จะตามไปดูจุดสุดท้ายของสังสารวัฏนี้ได้เช่นกัน จึงเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยทุกข์นานาประการ
เมื่อพูดถึงเรื่องความยาวนานของทุกข์ในสังสารวัฏนี้ พระพุทธองค์ ได้ทรงเปรียบเทียบความยาวนานของสังสารวัฏเป็นกัปให้เหล่าภิกษุสาวกฟังในปัพพตสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 20 ไว้ว่า
กัปหนึ่งนั้นนานนักหนา มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนับเป็นปี หรือ 100 ปี พันปีหรือแสนปี แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเปรียบเทียบให้สาวกฟังว่า
"สมมติว่ามีภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นหินล้วน ๆ ไม่มีสิ่งอื่นปะปนเลยไม่มีรูโหว่แม้แต่นิดเดียว ภูเขาลูกนั้นมีความกว้างและความยาวด้านละ 1 โยชน์ หรือด้านละ 16 กิโลเมตร และมีความสูง 1 โยชน์เช่นกัน
เวลาล่วงไปทุก ๆ 100 ปี ให้มีคนนำผ้าฝ้ายที่ละเอียดที่สุดมาปัดภูเขานั้นหนึ่งครั้ง ทำอยู่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนภูเขานั้นจะราบเป็นหน้ากลองนั่นแหละเรียกว่าเวลา 1 กัป ถ้าเทียบกับการนับปัจจุบัน คงจะหลายล้านล้านปี จึงเรียกหนึ่งกัป"
เมื่อตรัสถึงความยาวนานของกัปแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสถึงความยาวนานของชีวิตในสังสารวัฏอีกต่อไปว่า
"ชีวิตของพวกเธอที่ท่องเที่ยวไปเกิดในภพนั้นบ้างภพนี้บ้างยาวนานจนนับเป็นกัปไม่ได้ว่าหนึ่งกัป หรือร้อยกัป หรือพันกัป หรือแสนกัป ทั้งนี้ก็เพราะว่าสงสารนี้มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอันใคร ๆ ไม่สามารถจะตามไปล่วงรู้ได้นั่นเอง"
เมื่อสังสารวัฏยาวนานจนไม่มีใครล่วงรู้หรือกำหนดได้นี้เองชีวิตทุกชีวิตที่ต้องท่องเที่ยวไปเกิดในที่ต่าง ๆ และก็ต้องหาอาหารอยู่ทุกขณะเพื่อการดำรงอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าความทุกข์จะมีมากน้อยเพียงใด
ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสเป็นการเตือนสาวกว่า "เพราะสงสารนี้มีจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายที่ไม่มีใครจะตามไปรู้ได้นี้แหละ ก็เพียงพอแล้วที่พวกเธอจะควรเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย ควรคลายกำหนัดจากความต้องการทั้งหลาย ควรหลุดพ้นไปจากการเกิดได้แล้ว"
เพื่อให้รู้ถึงเรื่องความทุกข์ของชีวิตที่ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏอันนานนี้ พระพุทธองค์ได้แสดงอัสสุสูตร พระสูตรว่าด้วยเรื่องน้ำตาให้พระสาวกฟังว่า
"เพราะสังสารวัฏอันยาวนานที่พวกเธอได้ท่องเที่ยวไปเกิดยังภพต่างๆ นั้นถ้าหากจะเปรียบเทียบแล้วน้ำตาของพวกเธอที่ร้องไห้เสียใจเพราะสูญเสียของที่รักที่พอใจไป หรือร้องไห้เพราะประสพกับความทุกข์ยากหรือประสพกับสิ่งที่ไม่พอใจ น้ำตาน้ำหลั่งไหลออกมารวมกันมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 รวมกันเสียอีก"
ในขีรสูตร ก็ได้ทรงเปรียบเทียบอีกว่า "การที่พวกเธอทั้งหลายวนเวียนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่เช่นนี้ น้ำนมของมารดาที่พวกเธอดื่มเข้าไปแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 แล้วน้ำในมหาสมุทรยังน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ได้อีกเช่นกัน"
นอกจากนี้ในอัฏฐิปุญชสูตรได้ให้คำอุปมาอีกว่า "ชีวิตของพวกเราในสังสารวัฏนี้ที่ได้ตายไปในชาติต่าง ๆ ถ้าจะสามารถนำเอากระดูกแต่ละชาติมารวมกันได้เพียงกัปเดียว ก็จะมีกองกระดูกของเราคนเดียวได้ปริมาณมากกว่าภูเขาเวปุลละที่ตั้งล้อมเมืองมคธอยู่นั้น"
เมื่อรู้ว่าสังสารวัฏยาวนานเช่นนี้ ชีวิตของสัตว์ทั้งปวงต้องเป็นทุกข์เพราะแก่งแย่งหาอาหารเลี้ยงชีพเพื่อให้ตนเองดำรงอยู่ได้อย่างไม่รู้จบเช่นนี้แล้วอะไรคือสาระที่จริงแห่งการเกิดหรือชีวิต และแต่ละคนจะไปถึงจุดสุดท้ายได้อย่างไรนั้น ในที่นี้จะยังไม่ตอบโดยตรง แต่บอกได้คำเดียวว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ ถ้าเรารู้สาเหตุ และต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น ปัญหาทุกอย่างจึงจะสงบราบคาบลงได้
ดังพุทธพจน์ ที่เหล่าพระสาวกเพียงแค่ได้ฟังครั้งเดียวก็สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ คือ เย ธัมมา เหตุปะภะวา เตสัง เหตุง ตถาคโต.
--->>> ผู้ศึกษาอย่างละเอียดจะรู้วิธีแก้ปัญหาที่เอ่ยมาทั้งหมดได้แน่นอน ถ้าต้องการ และขอให้เชื่อไว้อีกอย่างว่า ธรรมของพระพุทธองค์ ผู้ที่ปฏิบัติจริงจะเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก) โดยไม่จำกัดกาลเวลา (โอหิปัสสิโก) เป็นสิ่งที่ทุกคนจะนำมาปฏิบัติด้วยตังเอง (โอปนยิโก) และเป็นสิ่งที่ผู้รู้จะได้พบกับตนเอง โดยไม่ต้องผ่านจากการบอกเล่าจากใคร (ปัจจัตตัง) อีกต่อไป
ไม่มีความเห็น