นรกและสวรรค์ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ภาคสวรรค์


นรกและสวรรค์ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ภาคสวรรค์

 

2. สวรรค์

สวรรค์มีจริงหรือไม่  ?   ถ้ามีจริง  สวรรค์ตั้งอยู่ที่ไหน ?  เรื่องของสวรรค์เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงควบคู่กันไปกับเรื่องนรกทุกครั้งที่ทรงแสดงกรรมและผลของกรรมดี-ชั่ว  โดยแสดงกรรมและผลของกรรมชั่วก่อน  แสดงกรรมและผลของกรรมดีในภายหลัง

“...ภิกษุนั้น   ย่อมเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ  อุบัติ  เลว   ประณีต   มีผิวพรรณดี  มีผิวพรรณทราม   ได้ดีตกยาก  ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์   ล่วงจักษุของมนุษย์  ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  ติเตียนพระอริยเจ้า  เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อมเข้าถึงอบาย  ทุคคติวินิบาต  นรก  ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริต  ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า   เป็นสัมมาทิฏฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเขาย่อมเข้าถึงสุคติ  โลกสวรรค์...

(จูฬหัตถิปโทปมสูตร, ม.มู ๑๒/๓๓๗.)

สวรรค์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกในฐานะเป็นที่สถานที่ที่คนทำบุญไว้  ตายลงแล้วจะได้ไปเกิด  จะมีควบคู่ไปกับนรกทุกครั้ง  ข้อความเป็นการเสนอข้อเท็จจริงเพื่อเตือนสติให้บุคคลระลึกถึงโทษของการทำชั่วและผลของการทำความดี

“...กายสุจริต  วจีสุจริต  มโนสุจริต  ที่เรากล่าวว่าควรทำโดยส่วนเดียวนี้  เมื่อผู้ใดกระทำ  ก็พึงหวังอานิสงส์ต่อไปนี้ได้  คือ  ตนเองก็กล่าวโทษตนเองไม่ได้  วิญญูชนทั้งหลายใคร่ครวญแล้วย่อมสรรเสริญ  กิตติศัพท์อันดีงาม  ย่อมขจรไป  ตายก็ไม่หลงฟั่นเฟือน  เมื่อแตกกายทำลายภายหลังมรณะ  ย่อมเข้าถึงสุคติ  โลกสวรรค์....

(อธิกรณวรรคที่ ๒  สูตรที่ ๘, องฺ.ทุก.๒๐/๒๖๔.)



สวรรค์ในพระพุทธศาสนาไม่ใช่สถานที่ที่จะไปได้ง่าย  จัดเป็นธรรม(สิ่ง)  ที่น่าปรารถนาที่หาได้ยากในโลกเลยทีเดียว  ไม่ใช่ไปได้ด้วยการอ้อนวอนหรือบวงสรวงหรือเพียงความปรารถนาเพลิดเพลินไปกับเรื่องสวรรค์เท่านั้น  ผู้ปรารถนาสวรรค์ต้องบำเพ็ญปฏิปทาเพื่อให้ได้สวรรค์โดยเฉพาะ  ตามหลักการทำบุญในพระพุทธศาสนา  คือ  การให้ทาน  การรักษาศีลให้บริสุทธิ์  การเจริญภาวนาได้ในขั้นต้น

“...ชนผู้ปรารถนาอายุ  วรรณะ  ยศ  เกียรติ  สวรรค์   ความเกิดในตระกูลสูงและความเพลินใจพึงทำความไม่ประมาทให้มากยิ่งขึ้น  บัณฑิตทั้งหลาย  ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาทในการทำบุญบัณฑิตผู้ไม่ประมาทแล้ว  ย่อมยึดถือประโยชน์ทั้ง  2  ไว้ได้  คือ  ประโยชน์ในปัจจุบัน  และประโยชน์ในสัมปรายภพ  ผู้มีปัญญา  ท่านเรียกว่า  บัณฑิต  เพราะบรรลุถึงประโยชน์ทั้ง   2”

(อิฏฐสูตร, องฺปญจก.๒๒/๔๓.)

สวรรค์ในคัมภีร์พระไตรปิฎกนอกจากจะปรากฏควบคู่ไปกับนรกทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงกรรมและผลของกรรมดี-กรรมชั่ว  ยังได้รับการกล่าวถึงมากกว่านรก  ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกบางตอนถึงกับตั้งชื่อวรรคหรือเรื่องให้เป็นของเทวดาซึ่งเป็นประชากรสวรรค์โดยเฉพาะ  เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสโดยตรงก็มี  เป็นข้อความที่พระสาวกมหาเถระกล่าวก็มี  เป็นข้อความที่นักปราชญ์ฝ่ายพุทธอื่นกล่าวก็มี  ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่อ้างถึงสวรรค์  มักปรากฏใน  3  ลักษณะ คือ...

 

1. เป็นข้อความที่กล่าวถึงสถานที่คือ  สวรรค์”  โดยตรง  ซึ่งเป็นสถานที่อยู่ของพวกเทวดาในชั้นกามาวจร  รูปาวจร  อรูปาวจร

กามาวจรภูมิ  เป็นไฉน คือ ขันธ์  ธาตุ  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  อันท่องเที่ยวคือนับเนื่องในโอกาสนี้  ข้างล่างตลอดไปถึงนรกอเวจีเป็นที่สุด  ข้างบนนี้ไปจนถึงเทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด   นี้นับเป็นกามาจรภูมิ

รูปปาวจรภูมิเป็นไฉน  คือ ธรรมคือจิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก  หรือของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  อันท่องเที่ยวคือนับเนื่องในโอกาสนี้  ข้างล่างนับแต่พรหมโลกขึ้นไปจนถึงเทวดาชั้นนอกนิฏฐะ  นี้ชื่อว่า  รูปาวจรภูมิ

อรูปาวจรภูมิเป็นไฉน  คือ  ธรรมคือจิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก  หรือของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน  อันนับเนื่องในโอกาสนี้  ข้างล่างนับแต่เทวดาผู้เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนภพ   ตลอดขึ้นไปถึงเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ  นี้ชื่อว่า  อรูปาวจรภูมิ


(ภูมินานัตตญาณนิทเทส,ขุ.ปฏิ.๓๑/๑๗๑-๑๗๔.)

พระพุทธเจ้า  เมื่อมีพระประสงค์จะแสดงเทศนาโปรดพวกเทวดา  พระองค์จะเสด็จไปสวรรค์   โดยเฉพาะสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่พระพุทธองค์เสด็จไปมากครั้งที่สุด  แม้ในคราวที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ปราบทิฏฐิของพวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนาแล้ว   พระพุทธองค์ก็เสด็จไปจำพรรษา  ณ  สวรรค์ชั้นดาวดึงส์   เพื่อเทศนาอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา  ตามพุทธประเพณี

(มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระธัมมปทัฏฐกถา แปล ภาค ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑  จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม หน้า ๑๒๗-๑๒๘.)

“....ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายจากพระวิหารเชตวัน   ไปปรากฏในเทวโลกชั้นดาวดึงส์  เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้แขนที่เหยียด

(ตติยเทวาจาริกสูตร, สํม.๑๙/๑๕๐๔)

พระสาวกที่ทรงคุณวุฒิบางรูป  นอกจากจะเที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่าง  ๆ  เพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทในโลกมนุษย์แล้ว   ยังชอบไปแสดงธรรมโปรดพวกเทวดาในสวรรค์  ไปสอบถามความเป็นอยู่ของพวกเทวดาและเทพธิดา  เพื่อเอามาเป็นข้อมูลสำหรับแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทในโลกมนุษย์หรือ  บางท่านก็ชอบไปพักผ่อนในสวรรค์

“....ท่านพระโมคคัลลานะ  ได้หายจากพระเชตะวันไปปรากฏในเทวโลกชั้นดาวดึงส์  เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือแขนที่เหยียด....

(ปฐมเทวจาริกสูตร,สํ.ม.๑๙/๑๔๙๘.ทุติยเทวจาริกสูตร,สํ.ม.๑๙/๑๕๐๑.)


ยังมีเรื่องวิมานซึ่ง  เป็นบ้านของเทวดาและเทพธิดา  เป็นเทพจำพวกอากาลัฏฐเทพบ้าง (เทพที่อยู่ในอากาศ)  ภุมมัฏฐเทพบ้าง (เทพที่อยู่บนพื้นดิน) รุกขเทพบ้าง  (เทพที่อยู่ตามต้นไม้)  เทพเหล่านี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เป็นผู้ทำบุญเล็กน้อย  เหมาะแก่วิถีชีวิตของชาวบ้านผู้เสพกามคุณ   พระพุทธเจ้า  พระมหาเถระ  หรือเทวดาเอง  เมื่อมีความต้องการที่จะให้พวกชาวบ้านผู้ยังเสพกามอยู่รู้ถึงอานิสงส์ของการทำบุญเล็กน้อย  ก็จะหาวิธีการประกาศให้ชาวบ้านเหล่านั้นรู้  ข้อความที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก  จึงเป็นคำสนทนากันระหว่างพระสาวกกับพวกเทพ  เป็นพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพวกเทพบางครั้งก็เป็นคำสนทนากันระหว่างพวกเทพเอง

พระมหาโมคคัลลานะถามว่า  ดูก่อนเทพนารี  ท่านนั่งวิมานเรืออันมุงด้วยทอง  ลงเล่นในสระโบกขรณี   เด็ดดอกปทุม....เพราะบุญอะไร  ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้  เพราะบุญอะไร  ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน  ....ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก  อาตมาขอถามท่าน  ครั้งเกิดเป็นมนุษย์  ท่านได้ทำบุญอะไรไว้  เพราะบุญอะไร  ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรื่องอย่างนี้....

(ปฐมนาวาวิมาน,ขุ.วิ.๒๖/๖.  มีวิมานอื่นอีก ๘๓  วิมาน,ขุ.วิ.๒๖/๑-๘๕.)

พระผู้มีพระภาคเจ้า  ตรัสถามบุพพกรรมที่ภัททาเทพธิดานั้นได้กระทำไว้ว่า  ดูก่อนเทพธิดาผู้มีปัญญาดี  ท่านสวมมาลัยดอกมณฑารพไว้เหนือศีรษะ มีสีต่าง ๆ คือ  ดำ  แดงเข้ม  และแดง   แวดล้อมด้วยกลีบเกสรจากต้นไม้ที่ไม่มีในหมู่เทพเหล่าอื่น   เพราะบุญอะไร  ท่านจึงมียศเข้าถึงหมู่เทพชั้นดาวดึงส์...

(ภัททิตถิกาวิมาน,ขุ.วิ.๒๖/๒๒.)

ข้อบัญญัติที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมีว่า ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นในขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ได้รับพยากรณ์แล้ว   บำเพ็ญธรรม  มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์   เมื่อตายลง ย่อมไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดุสิต  ส่วนพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี (1  ในอริยบุคคล)   เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว  ย่อมไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้น  “สุทธาวาส”   ซึ่งจัดเป็นรูปาวจรสวรรค์  5  ชั้น  คือ

1.  อวิหา สวรรค์ของท่านผู้ไม่ละสมบัติของตน

2.  อตัปปา สวรรค์ของท่านผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร

3.  สุทัสสา สวรรค์ของท่านผู้งดงาม

4.  สุทัสสี สวรรค์ของท่านผู้มีการมองเห็นแจ่มชัด

5.  อกนิฏฐา สวรรค์ของท่านผู้ไม่มีความด้อยกว่าใคร

สวรรค์ทั้ง  5  ชั้นนี้เรียกว่า  สุทธาวาส ที่อยู่ของท่านที่ผู้บริสุทธิ์คืออริยบุคคลชั้นอนาคามี  อนาคามีบุคคลเมื่อตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว  ย่อมไปเกิดในสวรรค์ชั้นสุทธาวาสนี้ชั้นใดชั้นหนึ่งตามกำลังกรรม  เกิดตายในชั้นสุทธาวาสนั้นโดยไต่ลำดับไปจากชั้นต่ำสุดถึงชั้นสูงสุดจนกว่าจะบรรลุอรหัตแล้วนิพพานก็มี  เกิดตายในชั้นสุดท้ายคืออกนิฏฐาจนกว่าจะบรรลุอรหัตแล้วนิพพานก็มี

“  บุคคลบางคนในโลกนี้  เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง 5  มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ   ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น  มีอันไม่กลับมาจากเทวโลกนั้นเป็นธรรมดา  บุคคลนั้นจุติจากอตัปปาไปสุทัสสา  จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี  จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา  ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา   เพื่อละสังโยชน์เบื้องบน   บุคคลนี้เรียกว่า  อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี...

นอกจากนี้  ในการกล่าวถึงสวรรค์  มีการนำเสนอหลักธรรมขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดในสวรรค์แต่ละขั้นคือ  อริยวัติ  5 ”  ( หรือวิหารธรรม  5)  คือ  ศรัทธา  คีล  สุตะ  จาคะ  ปัญญา  ผู้บำเพ็ญธรรม  5  ประการนี้บริบูรณ์แล้ว  เมื่อปรารถนา  เขาย่อมสามารถเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้ตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์  ยามา   นิมมานรดี   ปรนิมมิตวสวัตตี   พรหมปาริสัชชา   พรหมปุไรทิตา  มหาพรหมา.....เนวสัญญา นาสัญญายตนพรหม

(สังขารรูปปัตติสูตร, ม.อุ.๑๔/๓๒๑-๓๒๘.)

 

2. เป็นข้อความที่กล่าวถึงสถานที่คือสวรรค์และเทวดาควบคู่กันไป  ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่กล่าวถึงเทวดานั้น  โดยมากจะกล่าวถึงท้าวสักกะซึ่งเป็นหัวหน้าเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์   เนื้อหาบางตอนถึงกับตั้งชื่อวรรคให้เป็นของท้าวสักกะโดยเฉพาะ

พระพุทธเจ้าเมื่อมีการพบปะสนทนากับพวกเทวดา  มักจะทรงพบปะสนทนากับท้าวสักกะเพราะท้าวสักกะเป็นเทวดาที่ทรงคุณธรรมมาก  มาเกิดเป็นท้าวสักกะได้เพราะบำเพ็ญสัตตบท  7 ประการอย่างบริบูรณ์
“....พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพยากรณ์แก่ท้าวสักกะนั้นว่า  ขอถวายพระพร  เทวดา  มนุษย์  อสูร  นาค  คนธรรพ์  และสัตว์เหล่าอื่นเป็นอันมาก  มีความริษยาและความตระหนี่เป็นเครื่องผูกพันเขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีเวร  ไม่มีอาชญา  ไม่มีข้าศึก  ไม่มีความคับแค้นใจ   หวังอยู่ว่า  ขอเราจงเป็นผู้ไม่มีเวรเป็นต้นอยู่เถิด   ดังนี้  แต่ก็ยังเป็นผู้มีเวร  มีอาชญา  มีข้าศึก  มีความคับแค้นใจเป็นไปกับด้วยเวรอยู่....

(สักกปัณหสูตร , ที.ม.๑๐/๒๔๗-๒๗๒)

และมีบางครั้งที่ท้าวสักกะเองตรัสสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าต่อหน้าพวกเทพบริวารในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  เนื่องในโอกาสพิเศษ   เหตุการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า  พระพุทธเจ้ากับท้าวสักกะมีการติดต่อสัมพันธ์เป็นประจำ

“.....ท้าวสักกะจอมเทพ  ตรัสพระคุณตามความเป็นจริง  8  อย่างของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่เหล่าเทพชั้นดาวดึงส์ว่า  ท่านผู้เจริญทั้งหลาย......ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้  ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนเป็นจำนวนมาก   เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก....

(มหาโควินทสูตร ,  ที.ม.๑๐/๒๐๙-๒๓๔.)

ส่วนที่กล่าวถึงเทวดาทั่วไปนั้น   จะกล่าวถึงเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มากที่สุด   คงเป็นเพราะเป็นสวรรค์ที่มีท้าวสักกะปกครองอยู่นั่นเอง  แม้แต่เทวดาในชั้นดาวดึงส์เอง   มีข้อพิพาทกับพวกอสูรก็ยังมีการกล่าวไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก  และเทวดาชั้นดาวดึงส์มีภารกิจประจำอยู่อย่างหนึ่ง คือ  การตรวจดูความประพฤติของมนุษย์ทุกวันอุโบสถ  14,15  ค่ำแล้วกลับมารายงานต่อหน้าเทวดาทั้งหลายที่มาประชุมกัน  ณ  ศาลาชื่อสุธัมมา  ที่กล่าวถึงเทวดาในสวรรค์ชั้นอื่นมีปรากฏน้อยมาก แต่เป็นข้อความที่พรรณนาไว้อย่างพิสดาร  

“.....พวกเทวดาโดยมาก  จากโลกธาตุทั้ง  10  ก็มาประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคเจ้า  และภิกษุสงฆ์  ครั้งนั้นแล  พวกเทพชั้นสุทธาวาส  4  องค์  มีความคิดว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้านี้แลกำลังประทับอยู่ที่ป่าใหญ่  ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์   ในสักกกชนบท   พร้อมกับพระภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ  500 รูป...

(มหาสมัยสูตร, ที.ม.๑๐/๒๓๕.)
เนื้อหาบางตอนได้อ้างถึงพระพุทธเจ้าว่า  พระพุทธองค์ตรัสพระคาถาพรรณนาเทวดาโดยโคตร  ยศ   และหน้าที่ให้หมู่ภิกษุได้รับรู้  ในคราวที่เทวดาจากโลกธาตุทั้ง  10  มาประชุมกันเพื่อชมบารมีของพระพุทธองค์

“....พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสภาษิตนี้ว่า  เราจักร้อยกรองโศลก  ภุมมเทวดาอาศัยอยู่  ณ  ที่ใดภิกษุก็อาศัยอยู่ที่นั้น ....ก็ท้าวธตรัฏปกครองทิศตะวันออก  เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ ท้าวเธอเป็นมหาราช  มียศ....ท้าววิรุฬหกปกครองทิศใต้   เป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์   ท้าวเธอเป็นมหาราช  มียศ.....ฝ่ายท้าววิรูปักษ์ปกครองทิศตะวันออก เป็นอธิบดีของพวกนาค  ท้าวเธอเป็นมหาราชมียศ....ท้าวกุเวรปกครองทิศเหนือ  เป็นอธิบดีของพวกยักษ์  ท้าวเธอเป็นมหาราช  มียศ....

(มหาสมัยสูตร, ที.ม.๑๐/๒๔๑-๒๔๒)

 

3. เป็นข้อความที่กล่าวถึงภาวะ   คือสวรรค์ที่เป็นเรื่องภายในของสัตว์โลก  เป็นการนำเสนอสวรรค์ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลทันทีที่อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกระทบกันเกิดการรับรู้

“...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่าผัสสายตนิกะ  6  ชั้น  เราได้เห็นแล้ว  ในผัสสายตนิกสวรรค์นั้น   บุคคลจะเห็นรูปอะไรด้วยตา  ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา  ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนาเลย....จะเป็นรู้แจ้งธรรมารมณ์  (อารมณ์ที่เกิดกับใจ)  อะไรด้วยใจ  ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา  ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา....

(ขณสูตร,สํ.สฬ.๑๘/๒๑๕.)

ข้อความลักษณะอย่างนี้  ปรากฏไม่มากนักในคัมภีร์พระไตรปิฎก  แม้พุทธประสงค์จริง ๆ ทรงต้องการให้สัตว์โลกรู้และซาบซึ้งปัญหาภายในของตัวเองมากกว่าการรับรู้และซาบซึ้งปัญหาภายนอกตัวก็ตาม  จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้อธิบายมา  เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า  ในคัมภีร์พระไตรปิฎก  เมื่อมีการกล่าวถึงสวรรค์และเทวดา  ส่วนมากจะบ่งถึงสวรรค์  ที่เป็นสถานที่อยู่  และเทวดาที่เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง  เป็นการนำเสนอข้อมูลเน้นในเรื่องที่เป็นรูปธรรม

 

หมายเลขบันทึก: 215794เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 15:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 18:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท