โลกหน้ามีจริงหรือ


โลกหน้ามีจริงหรือ

ท่านเคยมีความรู้สึกไหมว่า เมื่อมีใครพูดถึงโลกหน้า มีคนจำนวนไม่น้อยเกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อ หรือถ้าเชื่ออยู่บ้างก็เชื่อไม่เต็มที่

          สาเหตุที่กล่าวว่า เกือบจะไม่เชื่อ ค่อนข้างจะไม่เชื่อเพราะเคยได้เห็นได้ยินมาจากการที่คนไทยเราจำนวนหนึ่งที่มักจะอธิษฐานว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นอย่างนี้ หรือขออย่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือขอให้เกิดมาพบกันกับคนนั้นคนนี้ หรืออย่าได้เกิดมาพบกับคนนั้นคนนี้ ถ้าเชื่อเรื่องชาติหน้าก็คงจะไม่อธิษฐานอย่างนั้น หรือแม้อาการที่บางคนแสดงออกทั้งการกระทำและคำพูดไปในทำนองว่าไม่เกรงกลัวต่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่เรื่องผลบาปกรรมก็ไม่เชื่อ แล้วทำความชั่วได้อย่างตั้งใจ คืออาจจะคิดว่าเมื่อตนตายไปก็เป็นอันสิ้นสุดจบเรื่อง

          ถ้าพูดถึงว่าพระไตรปิฎกกล่าวเรื่องโลกหน้าหรือชาติหน้าไว้อย่างไรกันบ้างหรือไม่ ก็ตอบได้เลยว่า ท่านจะใช้คำว่า ปรโลก ซึ่งแปลกันตรง ๆ ว่าโลกอื่น ซึ่งอาจจะตีความว่าโลกหน้าชาติหน้าก็คงไม่เสียความหมายของศัพท์ ดังพระบาลีพุทธพจน์ที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ แปลความว่า คนที่มีปกติประพฤติชอบธรรมเป็นธรรมย่อมจะอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และในโลกอื่น คำว่า โลกอื่น ในพระบาลีนี้จะตีความว่า โลกหน้าได้หรือไม่ ขอฝากท่านผู้รู้ไว้ด้วย

          และยังมีพระบาลีพุทธพจน์อยู่อีกจำนวนมากมีข้อความปรากฏอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎกว่า

กายสฺส  เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปชฺชติ แปลว่า คนที่ทำกรรมดี มีความเห็นชอบ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปชฺชติ คนที่ทำกรรมชั่วมีความเห็นผิดเบื้องหน้าตายเพราะกายแตกย่อมจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

บูรพาจารย์ที่แปลภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทยก็ไม่ระบุเรื่องโลกหน้าชาติหน้ากันตรง ๆ แต่จะพูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร แล้วแต่แรงกรรมดีกรรมชั่วที่คอยผลักดันให้เป็นไป



          จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงหลักการเกิดตายในหมู่สัตว์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  จะยกเว้นไว้ก็แต่ท่านที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น การเกิดตายไปในอนาคตข้างหน้าของสรรพสัตว์จะเรียกกันว่าโลกหน้าหรือชาติหน้า ก็แล้วแต่จะบัญญัติคำเรียก

         เรื่องความไม่เชื่อต่อชาติหน้านี้มิใช่มีแต่เพียงปัจจุบัน แม้ในสมัยที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็ยังมีความไม่เชื่อต่อชาติหน้าเช่นกัน จะขอยกมาเป็นตัวอย่างสักคนหนึ่ง

          คนที่ไม่เชื่อต่อเรื่องชาติหน้าที่กล่าวถึงนี้ก็คือเจ้านครชื่อปายาสิที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกปายาสิราชัญญสูตร ความว่า สมัยหนึ่ง พระกุมารกัสสปคือพระเถระผู้ใหญ่ในพระพุทธศาสนาองค์หนึ่งในยุคร่วมสมัยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเที่ยวจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป ถึงนครแห่งชาวโกศลชื่อเสตัพยะ อยู่ ณ ป่าไม้สีเสียดด้านเหนือนครเสตัพยะ  

        เจ้าปายาสิครองเสตัพยนครเกิดความเห็นที่ไม่ถูกต้องหรือทิฐิอันลามกว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี  พอได้ฟังเกียรติศัพท์อันดีงามของพระกุมารกัสสปว่า เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา เป็นพหูสูตร มีถ้อยคำอันวิจิตร มีปฏิภาณดี เป็นทั้งพุทธบุคคล เป็นทั้งพระอรหันต์ การได้เห็นพระอรหันต์ย่อมเป็นการดี จึงเข้าไปหาพระเถระพร้อมกับหมู่พราหมณ์และคฤหบดี  ครั้นไปถึงแล้วได้ปราศรัยกับพระกุมารกัสสป แล้วตรัสกะพระเถระว่า ตนเองมีทิฐิว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่ มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี

         พระกุมารกัสสปถามเรื่องดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ว่า มีอยู่ในโลกนี้หรือในโลกหน้า เป็นเทวดาหรือมนุษย์

         ท้าวเธอตรัสว่า อยู่ในโลกหน้า มิใช่ โลกนี้ เป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์    

         พระเถระจึงกล่าวว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี  ทำชั่วมีอยู่ เจ้าปายาสิตรัสว่า อย่างไรตนยังคงมีความเห็นเช่นเดิม

         สาเหตุที่ทำให้เจ้าปายาสิมีความเห็นเช่นนั้น ท่านอ้างว่า

        ประเด็นที่ ๑ เจ้าปายาสิตรัสว่า มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้  ที่เป็นคนฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ    พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด สมัยอื่น คนเหล่านั้นป่วยได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก ข้าพเจ้าทราบว่า บัดนี้ คนพวกนี้จักไม่หายป่วย จึงเข้าไปหาคนพวกนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดกันว่า คนที่มีทิฐิว่า บุคคลที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยความเพ่งเล็ง คิดปองร้ายผู้อื่น มีความเห็นผิด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พวกท่านเป็น คนฆ่าสัตว์เป็นต้น ถ้าคำของสมณพราหมณ์พวกนั้นเป็นจริง พวกท่านเมื่อตายไปจักต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าพวกท่านตายไปแล้วเข้าถึงอบาย เป็นต้นจงมาบอกเราด้วยว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พวกท่านพอเป็นที่เชื่อถือ ไว้ใจของเราได้ สิ่งที่พวกท่านเห็นจักเป็นเหมือนดังเราเห็นเอง คนเหล่านั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอก หรือส่งทูตมาบอก จึงทำให้ท่านยืนยันความเห็นอย่างนั้น

 พระเถระแก้ความเห็นผิดของเจ้าปายาสิในประเด็นนี้โดยยกข้ออุปมาว่า  บุรุษในโลกนี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมาแสดงแก่ท่านว่า ผู้นี้เป็นโจรประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ ๆ ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ ขอได้ตรัสอาชญานั้นเถิด พึงตรัสบอกบุรุษพวกนั้นว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงเอาเชือกอย่างเหนียว มัดบุรุษนี้ให้มีมือไพล่หลังอย่างมั่นคง แล้วโกนศีรษะพาเที่ยวตระเวนไปตามถนน ตามตรอก ด้วยบัณเฑาะว์มีเสียงดัง แล้วออกทางประตูด้านทักษิณแล้วตัดศีรษะเสียที่ตะแลงแกงทางทิศทักษิณแห่งพระนคร บุรุษพวกนั้นรับพระดำรัสแล้วก็ทำตามทุกอย่าง แล้วถามว่า โจรจะพึงได้รับความผ่อนผันจากนายเพชฌฆาตว่า จงรอจนกว่าข้าพเจ้าจะได้ไปแจ้งแก่มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ในบ้านหรือนิคมโน้นแล้วมา หรือว่านายเพชฌฆาตจะตัดศีรษะโจรผู้กำลังอ้อนวอนอยู่

         เจ้าปายาสิตรัสว่า โจรนั้นจะไม่พึงได้รับความผ่อนผันจากนายเพชฌฆาตเลย เข้าต้องโดนตัดศีรษะขณะที่กำลังอ้อนวอนอยู่นั่นแหละ  

         พระเถระกล่าวว่า เหมือนกันนั่นแหละระหว่างคนที่จะถูกนายเพชฌฆาตฆ่า กับคนที่ทำชั่วแล้วตายไปตกนรกก็ไม่ได้ผ่อนผันจากนายนิรยบาล หรือขอให้นายนิรยบาลรอจนกว่าจะไปบอกแก่เจ้าปายาสิว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ พระเถระสรุปว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น     มีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่  

          ประเด็นที่ ๒ เจ้าปายาสิตรัสว่า มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ของข้าพเจ้าในโลกนี้ ที่เป็นคนงดเว้น

จากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็ง ไม่คิดปองร้าย ผู้อื่น มีความเห็นชอบ ต่อมาคนเหล่านั้นป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนักจะต้องตายแน่นอน และสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดกันว่า คนที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้นหลังจากตายไปแล้ว จะเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ เมื่อพวกท่านพึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ไซร้ พึงมาบอกเราด้วย แม้คนเหล่านั้น     รับคำแล้ว ก็ไม่มาบอกหรือส่งใครมาบอก จึงทำให้มีความเห็นอย่างนั้น

        พระเถระแก้ความเห็นผิดด้วยยกตัวอย่างว่า เปรียบเหมือนบุรุษจมในหลุมคูถจนมิดศีรษะ เมื่อมีคนช่วยยกขึ้นจากหลุมคูถแล้วเอาซี่ไม้ไผ่ขูดคูถออกจากกายเขาให้หมดจด แล้วเอาดินสีเหลืองขัดสีกายบุรุษนั้นสามครั้ง แล้วเอาน้ำมันชโลมทำการลูบไล้ด้วยจุณอย่างละเอียดให้ผุดผ่องสิ้นสามครั้ง ตัดผมและหนวดสวมพวงดอกไม้ เครื่องลูบไล้และผ้าซึ่งล้วนมีราคามากแล้วเชิญเขาขึ้นสู่ปราสาท แล้วบำรุงด้วยกามคุณ ๕ เขายังจะมีความประสงค์ที่จะจมลงในหลุมคูถอีกไหม

         เจ้าปายาสิตรัสว่า ไม่ พระเถระถามว่า เพราะอะไร ท้าวเธอตรัสว่า เพราะหลุมคูถไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ปฏิกูล

พระเถระกล่าวว่า เหมือนกันนั่นแหละ พวกมนุษย์เป็นผู้ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น น่าเกลียด ปฏิกูลของพวกเทวดา กลิ่นมนุษย์ย่อมฟุ้งไปในเทวดาตลอดร้อยโยชน์  มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของพระองค์ทำดีแล้วไปเกิดในสวรรค์ จะยังกลับมาบอกอะไรพระองค์อีกหรือ

-->>         ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทิฐิหรือความเห็นที่ผิด ๆ แบบของเจ้าปายาสินี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ก่อนหน้านั้นก็น่าจะมีอยู่ เพราะคนมักจะมีเงื่อนไขไปคนละอย่าง มีคนอยู่บางกลุ่มมักจะเชื่อเฉพาะเรื่องที่มองเห็นได้ด้วยตาหรือเรื่องที่ตนประสบมาเท่านั้น แต่ในคนเช่นนั้นก็ยังไม่แน่เสมอไปว่า จะเชื่อเฉพาะเรื่องอย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือบางทีก็มีความลำเอียงเฉพาะเรื่องเฉพาะบุคคล ข้อสำคัญก็คือความคิดความเห็นต่าง ๆ อย่าให้เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนของตนในโลกอื่นแม้จะไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรือโลกหน้า

 

ขอกราบขอบพระคุณ  พระศรีรัชมงคลบัณฑิต อาจารย์ประจำคณะศาสนาและปรัชญา  ผู้เขียนบทความ

หมายเลขบันทึก: 215800เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 15:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 04:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท