ลัทธิของครูทั้ง 6 ในสามัญผลสูตร
ลัทธิของครูทั้ง 6
จัดว่าเป็นลัทธิร่วมพุทธกาล
มีหลักฐานปรากฏในสามัญผลสูตรที่กล่าวถึงครูทั้ง 6
ว่า...
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้ครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าพิมพิสารผู้ราชบิดาอยู่มาวันหนึ่งทรงมีความประสงค์จะสนทนากับสมณพราหมณ์
ในปัญหาเรื่องการบวชมีผลเป็นที่ประจักษ์อย่างไร
ได้เสด็จถามปัญหาดังกล่าวกับครูทั้ง 6
และได้รับคำตอบไม่เป็นที่พอพระทัย
เพราะเป็นการถามปัญหาอย่างหนึ่งและตอบเสียอีกอย่างหนึ่ง
ทรงนำคำตอบในลัทธิของครูทั้ง 6 มาตรัสเล่าถวายพระพุทธเจ้า
ข้อความพิสดารมีปรากฏในสามัญญผลสูตร ครูทั้ง 6
นั้นมีนามปรากฏ ดังนี้ คือ
1. ปูรณกัสสปะ
2. มักขลิโคศาล
3. อชิตเกสกัมพล
4. ปกุธกัจจายนะ
5. สญชัยเวลัฏฐบุตร
6. นิครนถนาฏบุตร
--->> 1.
ทรรศนะของปูรณกัสสปะ
ปูรณกัสสปะ เป็นเจ้าลัทธิเก่าแก่ผู้หนึ่ง มีความเห็นว่า
วิญญาณเป็นสิ่งไร้กัมมันตภาพเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายนี้เองเป็นเจ้าของพฤติกรรม
วิญญาณไม่เกี่ยวข้องกับกรรมดีกรรมชั่วที่ร่างกายทำ
แต่ร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไร้เจตนา ดังนั้น
เมื่อร่างกายทำสิ่งใด ๆ ลงไป
จึงไม่จัดเป็นบุญบาปแต่อย่างใด
บุคคลไม่จัดว่าได้ทำบุญเมื่อให้ทาน เป็นต้น
และไม่จัดว่าได้ทำบาป เมื่อฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม หรือพูดปด
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของปูรณกัสสปะว่า “อกิริยวาท ”
แปลว่า “กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ”
เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธพลังงาน ปฏิเสธกรรมไปด้วยพร้อมกัน
ผู้มีทรรศนะดังกล่าวนี้เรียกว่า “อกิริยวาที”
แปลว่า “ผู้กล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ”
ขัดแย้งกับหลักกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
เพระพระพุทธศาสนาสอนหลักกรรมว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรม
ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
และถือว่าเป็นหลักเหตุผลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
**************************************************************************
--->> 2.
ทรรศนะของมักขลิโคศาล
กล่าวกันว่า มักขลิโคศาลเป็นเจ้าลัทธิฝ่าย อาชีวก
วันหนึ่งเห็นต้นข้าวที่คนเหยียบย่ำแล้วกลับงอกงามขึ้นมาอีก
จึงเกิดความคิดว่า “สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้ว
จะต้องกลับมีวิญญาณขึ้นมาอีก ไม่ตายไม่สลาย” และถือว่า
“สัตว์ทั้งหลายขึ้นอยู่กับกระบวนการที่ได้กำหนดไว้แล้ว”
กระบวนการดังกล่าว
เริ่มต้นจากระดับต่ำสุดไปหาจุดหมายที่สูงสุด
เป็นกระบวนการที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับความร้อนมีระดับต่ำเป็นน้ำแข็ง
และมีระดับสูงเป็นไฟ
มักขลิโคศาลปฏิเสธกรรมและพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย
สัตว์ทั้งหลายไม่ต้องทำความเพียร
และไม่ต้องทำความดีเพื่ออะไร
เพราะการบรรลุโมกษะไม่ได้สำเร็จด้วยความเพียรหรือด้วยกรรมใด
ๆ สัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดจากภพสู่ภพไปโดยลำดับ
เมื่อถึงภพสุดท้ายก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เอง
ความบริสุทธิ์ประเภทนี้เรียกว่า “สังสารสุทธิ”
คือความบริสุทธิ์ที่ได้จากการเวียนว่ายตายเกิด
กระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์
เช่นเดียวกับการคลี่เส้นด้ายออกจากกลุ่ม
เมื่อจับปลายเส้นด้ายด้านนอกแล้วปากกลุ่มด้ายไป
กลุ่มด้ายจะคลี่ออกจนถึงปลายด้านใน
ปลายสุดด้านในของเส้นด้ายนั่นเอง
เปรียบเหมือนความบริสุทธิ์ของสัตว์ หรือที่เรียกว่าโมกษะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตหนึ่ง ๆ
เป็นเรื่องของการโชคดีและเคราะห์ร้าย
ไม่เกี่ยวกับกรรมดีและกรรมชั่วแต่อย่างใด
สัตว์ประเภทอื่น ๆ จะเข้าถึงโมกษะได้
จำต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก่อนจึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะของมักขลิโคศาลว่า “อเหตุกวาทะ”
คือกล่าวว่า “ความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์ของสัตว์ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย
” ทรรศนะของมักขลิโคศาลจัดเป็น
อกิริยาวาทด้วย
เพราะเป็นการปฏิเสธกรรมและผลของกรรมอยู่แล้วด้วย
ทั้งยังเป็นอวิริยวาทด้วย
เพราะปฏิเสธพลังความเพียรว่าเป็นสิ่งไร้ผลด้วย
**************************************************************************
--->> 3.
ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล
ทรรศนะของอชิตเกสัมพล ตรงกับปรัชญาในยุคหลังคือวัตถุนิยม
เป็นทรรศนะที่ปฏิเสธว่า ไม่มีสัตว์
ไม่มีบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชาติหน้า
ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ปฏิเสธกรรมดีกรรมชั่ว
ปฏิเสธพิธีกรรมทางศาสนาว่าไร้ผล ปฏิเสธความสมบูรณ์ทางจิต
ไม่มีใครทำดีไม่มีใครทำชั่ว เพราะสัตว์ประกอบด้วยธาตุ
4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
จึงไม่มีสัตว์ใด ๆ คงมีแต่กลุ่มธาตุ
ชาตินี้ของสัตว์สิ้นสุดลงที่การตาย
ไม่มีอะไรเหลืออีกหลังจากตาย
ธาตุทั้งหลายเหล่านั้นทำหน้าที่ผลิตวิญญาณขึ้นมา
เมื่อธาตุเหล่านั้นแยกจากกันสัตว์ก็สิ้นสุดกันแค่นั้น
ไม่มีความดีความชั่ว ไม่มีโลกหน้าชาติหน้าต่อไปอีก
ไมมีสวรรค์หรือโลกทิพย์ที่ไหนอีก ไม่มีพระเจ้า
โลกนี้ดำรงอยู่โดยตัวเอง
วิญญาณและเจตนาของสัตว์เกิดจากธาตุ
เช่นเดียวกับสุราที่เกิดจากการหมักดองเครื่องปรุง
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงที่ความตายจึงไม่จำเป็นต้องทำบุญเพื่อเป็นเสบียงไปชาติหน้า
ทรรศนะนี้ปฏิเสธคัมภีร์พระเวทอย่างรุนแรง
เป็นทรรศนะที่ชี้แนะว่า
สัตว์จะแสวงหาความสุขแก่ตนด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้
ไม่ต้องทำสิ่งที่เคยเชื่อกันมาว่าจะอำนวยความสุขในชาติหน้า
เพราะวิญญาณคือร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะนี้ว่า “นัตถิกวาท”
แปลว่า “กล่าวว่าไม่มีสัตว์บุคคล”
ทรรศนะของอชิตเกสกัมพล ตรงกับปรัชญาจารวากหรือวัตถุนิยม
ยอมรับค่านิยมทางกามสูขเท่านั้น ไม่มีค่านิยมใด ๆ
อีกที่เหมาะสมของมนุษย์
จึงเป็นทรรศนะที่ถูกตำหนิจากปรัชญาอื่นอย่างมาก
**************************************************************************
คำอธิบายสามัญญผลสูตรกล่าวว่า เจ้าลัทธิทั้ง 3
ดังกล่าวแล้วนั้น
--> ปูรณกัสปะกล่าวว่า เมื่อบุคคลทำบาป
ไม่ชื่อว่าเป็นทำบาป จัดว่าเป็นการปฏิเสธกรรม
--> เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลกล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลายตายแล้วหมดสิ้นกัน ไม่มีอะไรไปเกิดอีก
จัดว่าเป็นการปฏิเสธผลของกรรม
--> เจ้าของลัทธิมักขลิโคศาลกล่าวว่า
สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
เศร้าหมองเองมีความบริสุทธิ์ได้เอง จัดว่าเป็นการปฏิเสธทั้งกรรมและผลของกรรม
เจ้าลัทธิปูรณกัสสะปะแม้ปฏิเสธแต่กรรม
ก็จัดว่าปฏิเสธผลของกรรมไปด้วย
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลเมื่อปฏิเสธผลของกรรมก็เป็นการปฏิเสธกรรมไปด้วยแล้ว
เพราะฉะนั้น โดยความหมายแล้ว เจ้าลัทธิทั้ง
3 จัดว่าเป็นทั้ง อกิริยาวาทอเหตุ และนัตถิกวาท
เหมือน ๆ กัน เพราะปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม
-->> ฏีกาสามัญญผลสูตรกล่าวว่า...
เจ้าลัทธิปูรณกัสสปะจัดว่าปฏิเสธกรรม
เพราะกล่าวการทำว่าไม่เป็นอันทำ
เจ้าลัทธิอชิตเกสกัมพลจัดว่าปฏิเสธผลกรรม
เพราะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่อไป
เจ้าลัทธิมักขลิโคศาลจัดว่าปฏิเสธทั้งกรรมและผลกรรม
เพราะเมื่อทำการปฏิเสธเหตุก็เท่ากับปฏิเสธผลไปด้วยกัน
เมื่อปฏิเสธเหตุของความเศร้าหมองและความบริสุทธิ์
ก็เป็นการปฏิเสธผลกรรมเสียแล้วด้วย
เมื่อกรรมไม่มีผลกรรมก็ต้องไม่มีด้วย หรือเมื่อผลกรรมไม่มี
ก็ต้องสืบเนื่องมาจากกรรมไม่มี
-->> คำอธิบายคัมภีร์ เอกนิบาต
อังคุตตรนิกาย กล่าวว่า...
มิจฉาทิฐิบางอย่างห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
บางอย่าง ห้ามแต่มรรคอย่างเดียว ไม่ห้ามสวรรค์
บางอย่างไม่ห้ามทั้งมรรค และสวรรค์
มิจฉาทิฐิ 3 อย่างคือ
อกิริยทิฐิ และนัตถิกทิฐิ ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค
มิจฉาทิฐิถึงที่สุด 10 อย่าง คือการยึดถือว่า
โลกเที่ยง เป็นต้น จัดว่าห้ามแต่มรรคอย่างเดียว
เป็นความเห็นที่วิปริตจากทางของมรรค
แต่ไม่ห้ามสวรรค์เพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ
ส่วนสักกายทิฐิ 20 มีเห็นรูปว่าเป็นตน
เห็นตนว่าเป็นรูป เห็นตนในรูป เป็นต้น
เป็นการเห็นลักษณะ 4 อย่างในขันธ์ 5 รวมเป็น
20
ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรคเพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ
และเมื่อเกิดความรู้จัดแจ้งตามเป็นจริง
ก็บรรลุมรรคผลได้
--->> 4. ทรรศนะของปกุธกัจจายนะ
ปกุธกัจจายนะเป็นนักพหุนิยมและวัตถุนิยม มีทรรศนะคล้ายกับอชิตเกสกัมพลโดยถือว่าสัตว์ประกอบด้วยธาตุทั้งหลาย ธาตุเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีความมั่นคง ไม่เป็นบ่อเกิดของสิ่งใด ๆ ได้อีก ไม่มีพฤติกรรมร่วมกับสิ่งใด ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงไม่มีใครฆ่าใคร ไม่มีใครถูกฆ่า ไม่มีใครแสดงอะไรแก่ใคร ไม่มีใครสอน ไม่มีใครเรียน แม้ดาบจะผ่านร่างกายของสัตว์ไปก็ไม่จัดเป็นการทำบาป ไม่จัดเป็นการทำลายสัตว์เป็นเพียงดาบได้ผ่านกลุ่มธาตุที่ปรากฏเป็นร่างกายเท่านั้น ร่างกายนั้นเป็นกลุ่มของปรมาณูไม่มีสิ่งอื่นใดทุกอย่างสิ้นสุดลงพร้อมกับการตายของสัตว์นั้น ๆ
พระพุทธศาสนาเรียกทรรศนะนี้ว่า [b]“อุจเฉทวาทะ” หรือ “อุจเฉททิฐิ” แปลว่า “เห็นว่าสูญสิ้น” คือไม่มีใคร ตายแล้วจึงไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก อยู่ในฐานะเป็น นัตถิกทิฐิ คือ ปฏิเสธความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นอเหตุกทิฐิ คือ ปฏิเสธเหตุของความเศร้าหมอง ความบริสุทธิ์ และเป็น อกิริยทิฐิ คือ ปฏิเสธการกระทำด้วย เพราะเมื่อปฏิเสธบุคคลอย่างเดียวแล้ว การกระทำจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ทรรศนะของเจ้าลัทธิปกุธกัจจายนะ จึงมีลักษณะกลมกลืนกับเจ้าลัทธิเหล่าอื่นที่กล่าวมาแล้ว
**************************************************************************
--->> 5. ทรรศนะของสญชัยเวลัฏฐบุตร
ไม่ปรากฏชัดเจนว่า สญชัยถือทรรศนะใด ว่าเป็นสิ่งสูงสุด เพราะถือว่า สิ่งอันติมะเป็นสิ่งไม่สามารถกำหนดได้ สญชัยกล่าวถึงปัญหาบางอย่างที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เช่น ปัญหาเรื่อง อาตมันเป็นสิ่งเดียวกับร่างกายหรือไม่ ? สัตว์ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่? ปัญหาเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ โดยทรงแสดงเหตุผลว่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่ทรงพยากรณ์ปัญหาต่าง ๆ ในกระบวนการของอริยสัจ 4
ในการตอบปัญหาต่าง ๆ สญชัยใช้หลักตรรกวิทยาเป็นเครื่องมืออย่างสำคัญจึงถูกวิจารณ์ว่าเป็น อมราวิกเขปิกะ คือ พูดซัดส่ายไปมาอย่างปลาไหล เป็นคนพูดจาไม่อยู่กับร่องรอยที่แน่นอน แต่ไม่จัดว่าเป็น อกิริยาวาทิน อย่าง 4 เจ้าลัทธิข้างต้น
-->> คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า สญชัยเป็นครูของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาและเบื้องซ้าย ของพระพุทธเจ้า พระอัครสาวกได้พยายามที่จะให้อาจารย์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่ออ้อนวอนไม่เป็นการสำเร็จ จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก
--->> 6. ทรรศนะของนิครนถนาฏบุตร
นิครนถนาฏบุตร เป็นเจ้าลัทธิร่วมยุคกับพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าลัทธิที่ถือปฏิบัติ เปลือยกาย เพราะถือว่าเครื่องนุ่งห่มเป็นเครื่องผูกพันอย่างหนึ่ง เป็นเครื่องหมายของการมีพันธะอยู่กับโลกวัตถุ
นิครนถนาฏบุตร เป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในศาสนาเชน โดยทั่วไปถือว่าเป็นผู้เดียวกับมหาวีระศาสดาองเชน
แต่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงนครถนาฏบุตรเป็นส่วนใหญ่ ว่าเป็นผู้ปฏิบัติทรมานตน ในฐานะเป็นตบะปลดเปลื้องกรรมเก่าให้หมดไป และเพื่อปิดกั้นกรรมใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น ต่อจากนั้นก็จะบรรลุโมกษะ
คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่า นิครนถนาฏบุตร ได้สิ้นชีวิตก่อนพระพุทธเจ้า สาวกแตกสามัคคีกัน พระพุทธสาวกเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็เป็นห่วงถึงพระพุทธศาสนา ด้วยเกรงว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระสาวกจะแตกสามัคคีเช่นนั้น จึงกราบทูลพระพุทธเจ้าเพื่อทำสังคายนา พระพุทธเจ้าทรงแนะนำวิธีพิจารณาหลักธรรมและทรงแสดงวิธีการไว้เป็นตัวอย่าง
ทรรศนะทางปรัชญาของเชน กล่าวถึงเนื้อสารน่ามีอยู่จริง 9 อย่าง คือ
1. ชีวะ ที่เป็นตัวการของสิ่งมีชีวิต มีอยู่ในทุกสิ่งแม้แต่ต้นไม้ มีความรู้เป็นคุณสมบัติ
2. อชีวะ สิ่งที่เป็นพื้นฐานให้ชีวะทำงานได้ เช่น ร่างกายเป็นที่อาศัยของสิ่งที่ เรียกว่า ชีวะ
3. บุญ-บาป เป็นผลเกิดจากพฤติกรรมของชีวะ ปรากฏทางกาย วาจา และทางมนัส
4. อาสวะ คือสิ่งที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย และจิต เป็นไปตามกรรมที่ได้ทำไว้
5. สังวระ คือการปิดกั้นกระแสกรรม และทำลายกรรมให้หมดสิ้นไป
6. พันธะ คือการผูกพันทางชีวะ เป็นเหตุให้ต้องตายและเกิดสืบต่อไป
7. นิรชา การกำจัดผลกรรม เหมือนการปิดน้ำไม่ให้รั่วเข้าเรือ แล้วทำการวิดน้ำในเรือออกให้หมดสิ้น
8. โมกษ คือความหลุดพ้น เป็นขั้นที่ผู้ปฏิบัติรู้ชัดตามเป็นจริง ตามหลักการของศาสนาเชน
ปรัชญาเชนถือว่า ความจริงต่าง ๆ มีอยู่หลายแง่หลายมุม ทั้งความจริงก็มีหลายอย่าง ทรรศนะดังกล่าวนี้เรียกว่า “อเนกันตวาทะ” แปลว่า “กล่าวถึงความจริงไม่ใช่หนึ่ง ” แต่ความจริงเหล่านั้นจะยืนยันเพียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นปฏิเสธความจริงด้านอื่น ๆ จะเป็นการปฏิเสธความจริงเสียหลายด้าน เมื่อถือเอาเพียงด้านเดียว ดังนั้นการจะกล่าวยืนยันความจริงใด ๆ จำต้องมีคำว่า “บางที” หรือ “อาจนะ” เข้ามากำกับ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสความจริงด้านอื่นให้เป็นความจริง หลักการดังกล่าวนี้เรียก “สยาทวาท” แปลว่า “การกล่าวความจริงอย่างมีเงื่อนไข ”
ด้วยเหตุนี้ปรัชญาเชนจึงไม่กล่าวความจริงที่เป็น “อันติมะ” การกล่าว การกล่าวถึงสิ่งใด ๆ จะต้องระบุ รูปแบบ เนื้อสาร และ กาลเทศะ ของสิ่งนั้น ๆ มีเงื่อนไขการกล่าวความจริง 7 ขั้น คือ
1. สิ่งนั้นอาจจะเป็นจริง (ตามรูปแบบ เนื้อสาร และกาลเทศะ)
2. สิ่งนั้นอาจจะไม่จริง-
3. สิ่งนั้นอาจเป็นจริงและไม่เป็นจริง-
4. สิ่งนั้นอาจจะเป็นสิ่งอธิบายไม่ได้-
5. สิ่งนั้นอาจจะเป็นจริง และอธิบายไม่ได้
6. สิ่งนั้นอาจจะไม่เป็นจริง และอธิบายไม่ได้-
7. สิ่งนั้นอาจจะเป็นจริงและไม่เป็นจริง ทั้งอธิบายไม่ได้-
ข้อปฏิบัติพื้นฐาน 5 ประการ ในศาสนา เชน คือ
1. อหิงสา การไม่เบียดเบียนทางกายวาจาและใจ
2. สัตยะ การปฏิบัติสัจจะทางกาย วาจา ใจ
3. อสเตยยะ การไม่ลักด้วยกาย วาจา ใจ
4. พรหมจริยะ การปฏิบัติถูกต้องเรื่องกามด้วยกาย วาจา และใจ
5. อปริคคหะ การไม่เกาะเกี่ยวสิ่งใด ๆ ด้วยกาย วาจา และใจ
นักบวชต้องปฏิบัติตามหลักการนี้อย่างเคร่งครัด จึงเรียกว่าลักษณะการปฏิบัติว่า มหาพรต ส่วนผู้ครองเรือนปฏิบัติในขั้นต่ำลงมา จึงเรียกว่า “อนุพรต” คำว่า “พรต” คือข้อปฏิบัติหรือหมายถึงสิ่งที่เรียกว่า ข้อวัตรปฏิบัติ
หลักการในการปฏิบัติในศาสนาเชนที่นำมากล่าวนี้ เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น สำหรับเป็นเครื่องประกอบทรรศนะของนิครนถนาฏบุตร ผู้ประสงค์ศึกษาพิสดารค้นหาได้จากศาสนาและปรัชญาของเชน ซึ่งมีอยู่ในฐานะเป็นปรัชญาและศาสนาระบบหนึ่งของอินเดีย
--->> รวมความว่า ลัทธิปรัชญาของครูทั้ง 6 เป็นลัทธิปรัชญาร่วมพุทธกาล ทำให้เห็นว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น ไม่ได้มีเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่ปรากฏในห้วงความคิดของปวงชนแต่ยังมีลัทธิปรัชญาอื่น ๆ อีกมาก มีทรรศนะของครูทั้ง 6 เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสปรารภครูทั้ง 6 ว่า เหมือนชาวประมงที่ปิดกั้นปลาไม่ให้สัตว์น้ำแหวกว่ายลงสู่ห้วงแห่งอิสรภาพ คือมรรคผลนิพพาน...