สมณะพราหมณ์
ชื่อบุคคลในศาลอินเดียสมัยโบราณ
ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด
คือ “สมณะ”
และ “พราหมณ์
”
ทั้งสองคำนี้มีความหมายคลุมถึงบุคคลในหลายศาสนา
เป็นต้นว่า ศาสนาพราหมณ์
ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ตลอดถึงเหล่าอาชีวก
และบุคคลประเภทอื่น ๆ
อีกมากที่ดำเนินชีวิตอยู่ในศาสนาต่างประเภทกัน
รวมถึงดาบสและนักพรตทั้งหลาย
ชื่อบุคคลประเภทต่าง
ๆ ทางศาสนาที่จะกล่าวถึงนี้
มิใช่ปรากฏเฉพาะในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นแต่ปรากฏในคัมภีร์ของศาสนาอื่น
ๆ ด้วย เป็นต้นว่าคัมภีร์ของศาสนาเชน
ในวรรณกรรมของปตัญชลีผู้เขียนปรัชญาโยคะ
ในจดหมายเหตุของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก
ในศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชหลังพุทธกาล
200 ปีเศษ
อรรถกถาคือคัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกชื่อ
สุมังคลวิลาสินี ได้อธิบายไว้ว่า
“สมณะ”
หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้เป็นพราหมณ์โดยกำเนิด
แต่หมายถึงบุคคลที่สละโลกออกบวช” ส่วนคำว่า
“พราหมณ์”
หมายถึงบุคคลที่ถือกำเนิดในสกุลพราหมณ์
มีความสนใจทางศาสนาและปรัชญายิ่งกว่าความรู้อื่นใด
เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องในสังคม”
คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้อธิบายให้เห็นต่อไปว่า
สมณะเป็นผู้ดำรงชีวิตด้วยภิกขาจาร
และถือการปฏิบัติบำเพ็ญตบะ
มุ่งทำลายกิเลสเป็นสำคัญ
มีหลักฐานปรากฏหลายแห่งว่า
บุคคลนอกพระพุทธศาสนาก็นิยมเรียกพระพุทธเจ้าว่า
“พระสมณโคดม”
ซึ่งหมายความว่า
เป็นที่ยอมรับกันว่าพระพุทธเจ้าทรงอยู่ในกลุ่มบุคคลประเภทเป็น
“สมณะ”
นักบวชในศาสนาเชนก็นิยมเรียกว่า
“สมณะ”
พระพุทธศาสนาได้อธิบายความหมายของคำว่า
“สมณะ”
ว่ามีรากศัพท์มาจาก “สม”
แปลว่า “สงบ”
หรือ “สำรวม”
หมายถึง สงบจากอกุศล ทุจริตทั้งปวง
มีกาย วาจา ใจ ส่วนคำว่า
“อาชีวก
” อธิบายไว้ในคัมภีร์อรรถกถาปปัญจสูทนี
ว่า หมายถึงนักบวช
หรือสมณะประเภทเปลือยกาย
น่าจะอยู่ในสายเดียวกันกับกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า
“นิครนถ์”
ซึ่งหมายถึงนักบวชเปลือยกาย
ตามนิกายของเจ้าลัทธิชื่อ นิครนถ
นาฏบุตร
อรรถกถาชื่อ ปปัญจสูทนี
ได้วิเคราะห์ความหมายของคำว่า “สมณะ”
และ “พราหมณ์”
ไว้ว่า...
“พึงทราบว่า บุคคลเป็นสมณะเพราะสงบจากบาป
เป็นพราหมณ์เพราะลอยบาปเสียได้ ”
อีกประการหนึ่ง
“เรียกว่า สมณะ เพราะมีความประพฤติสม่ำเสมอ
หรือ เพราะมีความประพฤติสงบมีกาย วาจา
ใจ สงบ ”
ดังนั้นความหมายของคำว่า “สมณะ”
ในระดับสูง คือ หมายถึง
ผู้ลอยบาปได้ชนะความทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตายได้
มหาอัสสปุรสูตร มัชฌิมนิกาย
มูลปัณณาสก์
กล่าวถึงหน้าที่ของพุทธสาวกว่าเป็นสมณะ
หรือเป็นพราหมณ์ ด้วยคุณธรรม
หมายถึงเป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์ด้วยความบริสุทธิ์ด้วยความสงบอย่างสมบูรณ์
เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับนับถือ
ได้รับอุปถัมภ์และการอารักขาจากบ้านเมืองเสมอมา
การบรรลุธรรมเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของสมณพราหมณ์รวมความว่า
ตามหลักการทางพระพุทธศาสนา คำว่า
“สมณะ”
และ “พราหมณ์”
ไม่มีความหมายแตกต่างกันในระดับสูง โดยพราหมณ์นั้น
มีทั้งพราหมณ์ที่เป็นสมณะและเป็นคฤหัสถ์
ส่วนสมณะหมายถึง
ผู้สละชีวิตทางโลกเป็นนักบวชโดยส่วนเดียว
ทางด้านสังคม
สมณะก็เป็นสังคมหนึ่ง ติดตามด้วยสังคมพราหมณ์
สังคมกษัตริย์และสังคมคฤหบดี
คัมภีร์มัชฌิมนิกายได้กล่าวถึงบริษัท
4 คือ ขัตติยบริษัท
พราหมณ์บริษัท คฤหบดีบริษัท และสมณบริษัท
ทำให้เห็นว่า สมณะ กับ พราหมณ์
ที่กล่าวถึงในที่นี้ อยู่คนละสังคม คนละบริษัท
ไม่ใช่อย่างเดียวกัน
พราหมณ์อาจทำหน้าที่รักษาหลักเกณฑ์ระเบียบประเพณีของสังคมพราหมณ์และทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
แก่ผู้ที่เกิดในวรรณะพราหมณ์โดยตรง
ส่วนในพระพุทธศาสนาไม่มีระบบวรรณะ
พระพุทธเจ้าทรงรับบุคคลที่เกิดจากสกุล ต่างๆ
เข้ามาสังกัด ในภิกษุบริษัทบ้าง
ภิกษุณีบริษัทบ้างของพระองค์ ดังนั้น
สมณะ กับ พราหมณ์
ในพระพุทธศาสนาจึงไม่ต่างกันโดยความหมาย
ทั้งพระพุทธเจ้าและพุทธสาวกอยู่ในฐานะเป็นสมณะ
เพราะมีความสงบกาย วาจา ใจ
สงบจากบาปและอกุศลธรรมทั้งหลาย หรือ
จะเรียกว่าพราหมณ์ก็ได้
เพราะลอยบาปได้ด้วยการปฏิบัติ
ทั้งนี้ควรเข้าใจไว้ด้วยว่า
พระพุทธศาสนาอธิบายความหมายของคำดังเดิม
ด้วยการปรับปรุงความหมายใหม่แล้ว
จึงควรใช้คำเหล่านี้ด้วยความหมายที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา
*****************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง :
พุทธปรัชญาเบื้องต้น (รศ.สุวรรณ
เพชรนิล)
อยากได้ประเด็นที่มันรู้เรื่องกว่านี้ ที่มีสาระกว่านี้ เอาแบบที่ว่าเข้าใจง่าย
อยากรู้เรื่องการบวชของพรา
หมณ์และฤษี