พราหมณปุโรหิต
การทำพิธีบูชายัญส่วนใหญ่เป็นเรื่องของพราหมณ์และกษัตริย์
โดยเชื่อว่าจะเป็นเหตุให้บรรลุความสุขและความดีขั้นสูงสุดที่นิรันดร
การบูชายัญจึงทำได้ยาก
เพราะผู้ประกอบพิธีต้องมีความรู้ทางศาสนาเป็นอย่างดี
ในพิธีบูชายัญต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมาก หน้าที่สำคัญเป็นเรื่องของพราหมณ์ผู้รู้ยชุรเวท
การสวดเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ที่รู้สามเวท
ผู้ประกอบพิธีต้องบริสุทธิ์โดยกำเนิดทั้งฝ่ายบิดาและมารดา
สืบต่อกันมาถึง 7 ชั่วคน
กูฏทันตสูตร
แสดงให้เห็นว่า กุฏทันตพราหมณ์เป็นเศรษฐีในที่บางแห่งนิยมเรียกว่า
พราหมณ์มหาศาล
แม้กูฏทันตพราหมณ์ได้เตรียมการบูชายัญไว้แล้ว
ก็ตัดสินใจไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เพื่อปรึกษาวิธีการให้การบูชายัญของตนมีผลมากข้อนี้ย่อมเป็นการยืนยันว่า
พราหมณ์มีชื่อเสียงในครั้งนั้นไม่น้อยที่ยอมรับว่า
พระสมณโคดมผู้ศาสดาของพระพุทธศาสนา
เป็นผู้แตกฉานในคัมภีร์พระเวทและยัญพิธีเป็นอย่างดี
แม้ชาวบ้านจะพากันคัดค้านด้วยถ้อยคำต่าง ๆ
กูฏทันตพราหมณ์ก็ยังยืนยันว่า
พระสมณโคดมประเสริฐบริสุทธิ์กว่าหลายประการ
เรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพราหมณ์ปุโรหิตในราชสำนักของพระเจ้ามหาวิชิตราช
ก็แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า
พราหมณปุโรหิตทำหน้าที่ถวายความรู้ ประกอบพิธีกรรม
ตลอดถึงเสนอแนะหลักการบางประการแก่พระราชา
โดยนัยนี้
พราหมณปุโรหิตจึงมีความสำคัญต่อราชสำนักและนโยบายการปกครองแผ่นดินอยู่ไม่น้อย
ส่วนนักบวชที่มีความชำนาญในการประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์นั้น
ต้องมีความสามารถในการสวดใช้เสียงให้ถูกต้องอีกด้วย
ดำรงชีวิตด้วยปัจจัยไทยทาน
ส่วนพิธีบูชายัญ
สำหรับปุโรหิตโดยกำเนิดในสกุลของนักประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชนเป็นอย่างดี
ในปัจจุบันน่าจะได้แก่สกุลของครูและลูกของคุรุประจำหมู่บ้าน
ทำหน้าที่รักษานำประชาชนในพิธีกรรมทางศาสนา
นอกจากมีความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาโดยตรงแล้ว
ยังมีความรู้ทางนิติคือขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างดีด้วยปุโรหิตจึงอยู่ในฐานะเป็นครูอาจารย์ประจำราชสำนักในกาลต่อมา
อย่างที่เรียกว่า ปุโรหิตาจารย์
พราหมณ์ที่อยู่ในตำแหน่งนี้เรียกว่าพราหมณปุโรหิต
ดังที่กล่าวถึงในเรื่องกูฏทันตพราหมณ์
ส่วนนักบวชที่สละ
โลกสละการการครองเรือนเรียกว่า พราหมณสมณะ
พราหมณปุโรหิตทำหน้าที่ร่วมกันกับพราหมณ์ที่เป็นสมณะ
ในพิธีบูชายัญและราชพิธีอื่น ๆ
เป็นตำแหน่งประจำราชสำนักในกาลต่อมา
*************************************
พราหมณาจารย์
ในคัมภีร์พระไตรปิฏกทางพระพุทธศาสนา
มีหลายสูตร เช่น เตวิชชสูตร
กูฏทันตสูตร สุภสูตร
และสูตรอื่นอีกมากในทีฆนิกายเป็นต้น
ได้กล่าวพราหมณ์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น
จังกีพราหมณ์
โปกขรสาติพราหมณ์ ชานุสโสณีพราหมณ์
โตเทยยพราหมณ์ กูฏทันตพราหมณ์
และอื่น ๆ อีกมาก
ว่าเป็นครูประจำหมู่บ้านที่ตนได้รับพระราชทานจากพระราชทานจากพระราชาเป็นผู้ร่ำรวยมีชื่อเสียงเรียกว่า
พราหมณมหาศาล
บางครั้งทำการบูชายัญด้วยสัตว์จำนวนมาก ๆ
พราหมณ์เหล่านี้มีคุณสมบัติอย่างปุโรหิต
คือรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างดี
มีความบริสุทธิ์ทางวรรณะ 7 ชั่วคน
มีร่างกายได้ลักษณะงดงาม
มีความสามารถในการประกอบพิธีอย่างถูกต้อง
ทำหน้าที่สอนมนต์แก่ศิษย์จำนวน 300 คนบ้าง
500 คนบ้าง ที่มาจากเมืองต่าง
ๆ ในทิศานุทิศ
ได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนประจำหมู่บ้านนั้น
แม้หลักฐานจะปรากฏจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเดียว
ก็เป็นการแน่ชัดว่า
พราหมณ์เหล่านั้นเป็นนักปราชญ์มีชื่อเสียงอยู่ในตำแหน่ง
พราหมณาจารย์
คือ
เป็นพราหมณ์ระดับอาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลาย
เป็นหัวหน้าหรือเป็นเจ้าสำนักทีเดียว
ถ้าพิจารณาจากทรรศนะทางพระพุทธศาสนา
พราหมณ์เหล่านั้นไม่ใช่บุคคลในศาสนาอย่างแท้จริงนัก
เป็นเพียงครูของพวกเราพราหมณ์หรือของปวงชนประจำหมู่บ้านเท่านั้น
พระพุทธเจ้าตรัสปรารภพราหมณ์เหล่านั้นว่า
เป็นเพียงนักร่ายมนต์บอกมนต์ เป็นผู้ปฏิบัติและสอนทางไปสู่พรหมโลก
โดยถือ พราหมสหัพยตา คือ
ความเป็นสหายกับพรหม
หรือการเข้าถึงความเสมอภาคกับพรหมเป็นเป้าหมาย
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่าเห็นพรหมกันหรือไม่...?
พราหมณ์เหล่านั้นสารภาพว่าไม่เคยเห็น
อาจารย์ก็ไม่เคยเห็น อาจารย์ของอาจารย์ก็ไม่เคยเห็น
ฤษีผู้เขียนคัมภีร์พระเวท เช่น
ฤษีอัตถกะ ฤษีวามกะ เป็นต้น
ก็ล้วนแต่ไม่เคยเห็นพรหมทั้งสิ้น
พระพุทธตรัสเปรียบเทียบว่าเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด
บอกว่าจะนำไปดูพรหมแต่ผู้นำทางก็ไม่เคยเห็นพรหม
ผู้เดินตามก็ไม่ได้เห็นพรหม
พระพุทธเจ้าทรงปฏิญญาณพระองค์ว่าทรงเห็นพรหม
ทรงรู้จักพรหมทรงรู้จักทางให้ถึงพรหม
ด้วยความหมายทางพระพุทธศาสนา
คือทางรู้จักภาวะที่ประเสริฐและปฏิปทาให้ถึงภาวะที่ประเสริฐนั้น...
************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง :
พุทธปรัชญาเบื้องต้น (รศ.สุวรรณ
เพชรนิล)
ไม่มีความเห็น