ชีวิตแบบฤษี
การดำเนินชีวิตแบบฤษีเป็นแบบชีวิตที่มีมานานอย่างหนึ่ง
เป็นเรื่องที่ปรากฏมาแต่โบราณกาล ทั้งในอียิปต์
ปาเลสไตน์ ซีเรีย
และประเทศทางตะวันออกหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือประเทศอินเดีย
-->> กล่าวกันว่า
การดำเนินชีวิตแบบฤษี
น่าจะเป็นรูปแบบของการใช้ชีวิต
ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด
คัมภีร์อารัณยกะของพราหมณ์กล่าวว่า
พราหมณ์อยู่ป่าเรียกว่า วนปรัสถะ
มีหน้าที่ศึกษาคัมภีร์ ประกอบพิธีบูชายัญ
สวดมนต์และทำสมาธิ แต่ไม่ได้กล่าวถึงการบำเพ็ญตบะใด ๆ
ไว้
คำว่า “มุนี”
คำว่า “ดาบส”
ในขั้นแรกหมายถึง
ผู้อยู่ป่าและบำเพ็ญตบะด้วยวิธีการต่าง ๆ
คัมภีร์อุปนิษัทกล่าวว่า การบำเพ็ญตบะและการสละกามวัตถุ
เป็นวิธีการปฏิบัติให้เข้าถึงฐานะที่สูงสุด
และกล่าวว่านักปฏิบัติมี 2 อย่าง
คือ
นักปฏิบัติประจำหมู่บ้าน
ทำการบูชายัญ บำเพ็ญตบะ
ชักชวนชาวบ้านทำงานที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น
ขุดบ่อน้ำ สร้างหนทางเป็นต้น
แม้จะปฏิบัติในชั้นสูง ๆ
ก็กลับมาใช้ชีวิตทางโลกได้อีก
นักปฏิบัติที่ออกอยู่ป่า
มีศรัทธามั่นคง ถือสัจจะ บำเพ็ญตบะ
เพื่อไปสู่เทวโลกตามทางที่เรียกว่า เทวยาน
ไม่กลับมายังโลกนี้อีก ประเภทหลังนี้เรียกว่า
“สันยาสิน”
ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในการออกจาริกจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน
จากแคว้นสู่แคว้น
ดำรงชีวิตด้วยภิกขาจารมาปรากฏชัดเจนในเรื่องอาศรมของฮินดูว่า
ประเภทหลังนี้เป็นนักบวชสละโลกโดยสิ้นเชิง
คำว่า “มุนี”
ในทางพระพุทธศาสนาหมายถึง
“ผู้ได้อบรมตนทางกายวาจาใจแล้ว”
ปรากฏในคัมภีร์นิเทศ 6
ประเภท คือ
1. อาคารมุนี
มุนีครองเรือน
เป็นผู้รู้และปฏิบัติตามคำสอน
แต่ใช้ชีวิตทางโลก
2. อนาคารมุนี
มุนีผู้ไม่ครองเรือน เป็นผู้สละโลก
ตรงกันข้ามกับอย่างที่ 1
3. เสขมุนี
มุนียังต้องศึกษา
หมายถึงผู้ได้บรรลุมรรคผลในขั้นต้น ๆ
4. อเสขมุนี
มุนีที่ไม่ต้องศึกษา หรือ จบการศึกษาคือ
พระอรหันต์
5. ปัจเจกมุนี
มุนีคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้ที่ตรัสรู้ธรรมเฉพาะตน
6. มุนิมุนี
หรือ มหามุนี
หมายถึงจอมมุนีคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยนัยนี้คำว่า มุนี
จึงหมายถึง นักปราชญ์ส่วนคำว่า
“ดาบส”
แปลว่า “ผู้มีตบะ”
หมายถึงผู้บำเพ็ญตบะต่าง ๆ ใช้หนังสัตว์
เช่น หนังเสือนุ่งห่ม
และยังหมายถึงนักบวชเปลือยกายอีกด้วย
ในทางพระพุทธศาสนาเรียกผู้กำจัดกิเลสได้ว่า ดาบส
ในความหมายว่า ทำลายกิเลสได้
-->> เป็นที่น่าสังเกตว่า
ศัพท์เหล่านี้ที่ศาสนาต่าง ๆ
ในอินเดียใช้อยู่แล้ว
เป็นที่ปรากฏแพร่หลายในหมู่ชน หรือเป็นที่รู้จักในหมู่ชน
พระพุทธเจ้าทรงนำมาใช้ในพระพุทธศาสนา
ด้วยการให้ความหมายใหม่หรือกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่
ช่วยให้มีความรวดเร็วในการสื่อสารรับรู้เป็นวิธีการเหมาะสมอย่างยิ่งในการประกาศศาสนาขึ้นมาใหม่
แม้คำว่า “ฤษี”
พระองค์ก็อยู่ในฐานะ “มหาฤษี”
แปลว่า “ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่”
การที่พระพุทธเจ้าทรงนำศัพท์เก่ามาใช้ เช่นนี้
ไม่ปรากฏกล่าวถึงว่าเป็นการเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใด
น่าจะถือเป็นวิธีการอันฉลาดของนักการสอนอย่างยิ่ง
--->> คัมภีร์มัชฌิมนิกาย
กล่าวว่า พราหมณ์ฤษีดำเนินชีวิตอยู่ในป่า
มีทรรศนะว่าโลกสวรรค์สามารถบรรลุได้ในชาติหน้า
ด้วยการบำเพ็ญตบะและบูชายัญ
ทำให้คนทั่วไปเชื่อตามว่าความบริสุทธิ์หรือโมกษะ
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสวรรค์นั้น
เป็นรากฐานที่จะเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติทรมานตัวเท่านั้น
วิธีการดังกล่าวนี้ ในปฐมเทศนาคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า...
“อัตตกิลมถานุปรโยค”
คือการทำความเพียรทรมานตัว
ว่าไม่ใช่ทางโมกษะว่าไม่ใช่ข้อปฏิบัติของภิกษุ
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของนักบวช เป็นวิธีการปฏิบัติที่ตึงเกินไป
ไม่ประเสริฐ
ไม่ได้ประโยชน์ที่ประสงค์ไม่ใช่ทางให้บรรลุอริยสัจได้
จึงตรัสกับนักบวชไม่พึงปฏิบัติ
การปฏิบัติทรมานตนที่พระพุทธศาสนากล่าวถึง
ส่วนใหญ่เป็นวิธีการปฏิบัติของพวกปริพาชก
และนักบวชบางนิกายนอกพระพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่น...
นิครนถนาฏบุตร
ถือว่าความสุขความทุกข์เกิดขึ้นอยู่กับกรรมในอดีตชาติ
การบำเพ็ญตบะทรมานตัว
เป็นวิธีการกำจัดกรรมเหล่านั้นให้หมดไป
ทั้งเป็นวิธีการป้องกันกรรมใหม่ไม่ให้เกิดขึ้นด้วย
การที่จะหยุดกระแสกรรมได้อย่างสมบูรณ์จะ ต้องรู้จักทุกข์มาก่อน
ถ้าปราศจากทุกข์เสียแล้วเวทนาก็มีไม่ได้
เมื่อไม่มีทุกขเวทนาแล้วจะถึงที่สุดทุกข์ได้อย่างไร
การบำเพ็ญตบะต่าง
ๆ จึงเป็นวิธีการสำคัญตามหลักการของนิครนถนาฏบุตร
-->> วิธีการบำเพ็ญตบะนั้นปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่งตามที่กล่าวถึงบุคคลในเรื่องนั้น
ๆ ประมวลมากล่าวไว้โดยย่อในที่นี้
ดังนี้
-->> โยคีบางท่านถือการเปลือยกายเป็นวัตร
คือเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันปรากฏศาสนาเชนนิกายหนึ่งเรียกว่า
นิกายทิฆัมพร
แปลว่า นุ่งลมห่มฟ้า
อเจลกบางท่านไม่ปฏิบัติตามหลักของสังคม...เช่น
รับอาหารด้วยการเลียมือ
ไม่รับอาหารที่เขาเชื้อเชิญ
ไม่รับอาหารจากสตรีที่มีครรภ์
ไม่รับอาหารจากบุคคลที่มีสุนัขเฝ้ามองอยู่
ถือรับอาหารจากบ้านเดียว สองบ้าน สามบ้าน
อย่างมาก 7 บ้าน
ถือรับอาหารจำกัดประมาณ คือรับอาหารเพียงคำเดียว
สองคำ สามคำ หรือ
เจ็ดคำเป็นอย่างมาก
บางนิกายถือรับอาหารผัก ผลไม้
หรือถือไม่รับอาหารเลย
บางพวกใช้แผ่นหนังนุ่งห่ม หรือใช้ผ้าที่ทำด้วยผมมนุษย์
ทำด้วยขนสัตว์ ขนนก
บางพวกถือวิธีการถอนผมและหนวด โดยห้ามโกนอย่างเด็ดขาด
ถือการนั่งบำเพ็ญตบะด้วยท่าทางที่แปลก ๆ
ถือการนอนกลางแจ้ง
ถือนอนบนหนามทรมานตัว
บางพวกถือการชำระบาปด้วยการอาบน้ำ
บางพวกถือการไม่อาบน้ำเป็นข้อปฏิบัติ
ถือหลักอหิงสาอย่างเคร่งครัด
มีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการที่จะไม่ฆ่าสัตว์
แม้ว่าเป็นระดับจุลินทรีย์ก็ตาม
ถือการเดินทางไกลโดยไม่มีการอาบน้ำเพื่อไม่ต้องทำร้ายสัตว์ในการอาบน้ำ
บางพวกนิยมอยู่อาศัยตามคอกวัว เลี้ยงชีวิตด้วยผลไม้
เพียงเล็ก ๆ วันละหนึ่งผล
เป็นต้น
เหล่านี้คือการบำเพ็ญตบะต่าง ๆ
ของนักบวชนานานิกายที่พระพุทธศาสนากล่าวถึงในพระไตรปิฎก
เป็นที่น่าสังเกตว่า
พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้ในบางสูตรว่า
ก่อนตรัสรู้พระองค์เคยบำเพ็ญตบะมาอย่างไรบ้าง
เป็นที่ปรากฏว่า พระองค์ทรงปฏิบัติตบะมาหลายอย่าง
การบำเพ็ญตบะเหล่านั้น
คือการพิสูจน์ว่าจะเป็นทางให้บรรลุธรรมที่สูงสุดหรือไม่
พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติตบะเหล่านั้นไปอย่างงมงาย
เมื่อทรงปฏิบัติสูงสุดและเป็นที่รับรองแน่ชัดว่าไม่มีใครเสมอเหมือนและไม่บรรลุผลสำเร็จ
จึงทรงเปลี่ยนแปลงหาวิธีการอย่างอื่นต่อไป
ตามที่กำหนดว่าจะให้สำเร็จได้ดังนั้น
การที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการปฏิบัติบางอย่างว่าไร้ประโยชน์นั้น
เป็นการปฏิเสธที่มีหลักฐานอ้างอิงไม่ใช่เป็นการปฏิเสธอย่างเลื่อนลอย
แม้การยืนยันข้อปฏิบัติใด ๆ
ว่าให้ผลได้จริงก็เช่นเดียวกัน
ข้อนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของพุทธศาสนิกทั่วไป
เพราะเป็นวิธีการที่เหตุผล
วิธีการเหล่านี้มาในสมัยหลังเรียกว่า
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม
การบำเพ็ญตบะนั้น
พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าใช้ไม่ได้ไปเสียทุกอย่าง
ทรงปฏิเสธตบะบางอย่าง
และทรงยืนยันตบะอย่างว่าถูกต้อง เช่น
การถือศีลอุโบสถเป็นตบะ
เป็นต้น
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน กัสสปมหาสีหนาทสูตร ทีฆนิกาย
สีลขันธวรรคว่า...พระองค์ไม่ได้ตำหนิตบะ
ไปเสียทั้งหมด เพราะตบะที่เป็นกุศลก็มี
ทรงทราบดีว่าผู้บำเพ็ญตบะบางท่านตายไปแล้วเกิดภพภูมิที่สูงขึ้นไปก็มี
แต่ก็มีนักบำเพ็ญตบะในทางผิด ๆ
คัมภีร์มหานิเทศ
ได้กล่าวถึงชาวอินเดียแสวงหาความบริสุทธิ์
ด้วยการบำเพ็ญตบะบางประการ เช่น
การถือศีลอย่างเคร่งครัด การให้ชีวิตทานแก่ช้าง
ม้า วัว เป็นต้น
แม้ในชาดกก็กล่าวถึงดาบสบำเพ็ญตบะด้วยวิธีการต่าง ๆ
ซึ่งจะไม่นำรายละเอียดมากล่าวในที่นี้
เพียงแต่ต้องการกล่าวให้เห็นว่า การบำเพ็ญตบะต่าง ๆ
นั้นเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย
แม้ว่าหลักการและขั้นตอนต่าง ๆ
จะไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจนก็ตาม
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง :
พุทธปรัชญาเบื้องต้น (รศ.สุวรรณ
เพชรนิล)
ไม่มีความเห็น