แนวคิดเรื่องกายของเถรวาท


แนวคิดเรื่องกายของเถรวาท


               ก่อนอื่นคงจะต้องเกริ่นเสียก่อนว่า  ความคิดที่แตกแยกกันในเรื่องกายนั้นมีปรากฏมานาน  และมีการอธิบายแก้กันอยู่ในระหว่างผู้ที่มีความเข้าใจแตกต่างกันเหล่านี้  นี่เป็นตัวอย่างอันดีของบรรดานักปราชญ์ในกาลก่อน  ที่พยายามนำเสนอแนวคิดที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในประเด็นธรรม  แม้การเผยแพร่หลักคิดต่าง ๆ  ในกาลก่อนยังไม่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพดังในปัจจุบัน  แต่ท่านเหล่านี้ก็ได้ทำหน้าที่ของตนได้อย่างน่าสรรเสริญ


               ใน กถาวัตถุ (เรื่องใน  อภิธรรมปิฏก  เป็นคำถามตอบหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา)  ได้มีการอภิปรายถึงเรื่องการดำรงอยู่จริงของพระพุทธเจ้า  ทั้งนี้ก็เพื่อลบล้างความคิดของพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์และเนื้อความใน  กถาวัตถุ นี้เอง  ที่ถือเป็นความเห็นหลักที่สามารถอ้างได้  ว่าเป็นแนวคิดเรื่องกายที่เถรวาทมีอยู่


               แม้จะมีคำว่า  รูปกายและธรรมกาย (ธัมมกาย)  ในคัมภีร์บาลีในชั้นหลัง  โดยเริ่มต้นมาจากคัมภีร์ฝ่ายมหายาน  หรือกึ่งมหายานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดดังกล่าวจะถือกำเนิดเป็นรูปเป็นร่างเด่นชัดในแง่การปฏิเสธกายที่มีอยู่จริงของกายพระพุทธเจ้า (เรื่องราวต่าง ๆในพระสูตรหลายเรื่องมีนักปราชญ์วิเคราะห์เพิ่มเติมเข้ามาในการสังคายนาครั้งหลัง ๆ  สำหรับพระอภิธรรมทั้งหมวดนั้น  เป็นการรจนาของนักปราชญ์ในการสังคายนาครั้งหลัง ๆ  เช่นกัน  การวิเคราะห์ถึงความน่าเชื่อถือของเรื่องเหล่านี้มีอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่าเป็นแนวคิดตามหลักพุทธศาสนาโดยมิได้แย้งว่าเป็นความเห็นที่แปลกแต่อย่างใด  โปรดอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก  หมายเหตุใต้พระสูตรใน พระไตรปิฏกฉบับสำหรับประชาชนของอาจารย์สุชีพ  ปุญญานุภาพ  และการวิเคราะห์คำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทในวิสุทธิมรรค  โดยท่านพุทธทาสภิกขุและเรื่องปฏิจจสมุปบาทในพุทธธรรมของพระธรรมปิฎก)  เรามีตัวอย่างเนื้อความใน  ในการกล่าวถึงรูปกาย  และธรรมกายไว้อย่างชัดเจน (โดยท่านพุทธโฆษพระพุทธโฆษาจารย์)  ได้อ้างไว้เมื่อประมาณ  พุทธศตวรรษที่ ๑๐ ดังนี้


               “โยปิ  โส  ภควา  อสีติอนุพฺยญฺชนปติมณฺทิตทฺวตฺตึสมหาปูริสสกฺขณวิจิตฺตรูปกาโย สพฺพาการปริสุทฺธสีลกฺขนฺธาทิคุณรตฺน  สมิทฺธธมฺมกาโย  ยสมฺหตฺต  ปุญฺญมหตฺต....อปฺปฏิปุคฺคโล  อรหํ  สมฺมาสมฺพุทฺโธ.....”


               (พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  ผู้มี “รูปกาย” อันวิจิตรงดงามประดับด้วยมหาบุรุษ  ๓๒ ประการ  และอนุพยัญชนะ (ลักษณะปลีกย่อยต่าง  ๆ)  ๘๐  ประการและเป็นผู้มี  “ธัมมกาย” อันบริสุทธิ์แล้วในทุกหนทางและเรืองรองด้วย  ศีล  สมาธิ  ฯลฯ  เต็มไปด้วย ความล้ำเลิศ  และคุณธรรม  เป็นผู้ตื่นแล้วอย่างเต็มที่  และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน)


               แม้แนวคิดของท่านพุทธโฆษาจารย์จะถือเป็นหลักตามความจริง  แต่ท่านก็มิได้อาศัยหลักพื้นฐานในการยกอำนาจวิเศษเหนือมนุษย์ให้แก่พระพุทธเจ้าแต่อย่างใดดังเราจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น จากคัมภีร์  อัฏฐสาลินี (เป็นอรรถกถาธรรม สังคณี  ท่านแต่งไว้ที่อินเดีย  ก่อนจะเดินทางไปลังกา)  โดยกล่าวว่าในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่พระพุทธเจ้า  เสด็จจากโลกมนุษย์ไปทรงเทศนาพระอภิธรรมแก่พระมารดาในสวรรค์นั้น  พระองค์ได้สร้างนิมิตตพุทธขึ้น  อันเป็นการจำลองพระองค์ขึ้นมาใหม่ให้มีลักษณะดังเดิมทุกประการ


               กล่าวกันว่า  นิมิตตพุทธ  นี้มิอาจแยกแยะความแตกต่างจากพระพุทธเจ้าองค์จริงได้  ทั้งน้ำเสียง  คำพูด  และแม้รัศมีแสงที่เปล่งออกมาจากพระวรกาย  พระพุทธเจ้าองค์ที่นิมิตขึ้นมานั้น  จะมองเห็นได้ก็เฉพาะแต่เทวดาในสวรรค์ชั้นสูงเท่านั้น  ส่วนเทวดาทั่วไป  หรือมนุษย์ในโลกไม่อาจมองเห็นพระพุทธเจ้าองค์นี้ได้เลย


กล่าวแต่เพียงสั้น ๆ ได้ว่า  ฝ่ายเถรวาทสมัยแรก ๆ นั้น  รับรู้ถึงแนวคิดเรื่องรูปกายของพระพุทธเจ้า  ว่าเป็นมนุษย์ทั่วไป  และถือว่าธรรมกายของพระองค์นั้นเป็นที่รวมของธรรมะ นั่นคือ คำสั่งสอนและกฎระเบียบที่จัดรวบรวมไว้นั่นเอง

เราอาจกล่าวได้ว่า แม้มีถ้อยความ  เนื้อความ  ข้อความใด ๆ  ในคัมภีร์บาลีที่ยกอ้างถึงรูปกาย  หรือธรรมกายก็ดี แต่โดยนัยแล้ว มิได้มีความหมายเกินกว่าที่กล่าวมาข้างต้นเลย แม้ปราชญ์ชั้นหลังโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทก็มิได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย  เพราะอาจมีแนวความคิดว่า  ธรรมกาย  เป็นของฝ่ายมหายาน ไม่ใช่ของฝ่ายเถรวาท  ก็เป็นได้


               ในสายตาของนักวิชาการฝ่ายมหายานก็มองว่า  “ธรรมกาย” มิได้เป็นของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  ทว่า...”ธรรมกาย”  เป็นทั้งหมดของพระพุทธศาสนา  เพียงแต่คำว่า  “ธรรมกาย” มีอยู่มากมายในตำราที่อยู่ในครอบครองของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เพราะเส้นทางสายไหมที่พาดผ่านระหว่างจีน  ญี่ปุ่น  ธิเบต  และอินเดีย  คือถนนสายพระพุทธศาสนา ที่ท่านเซี่ยนจาง  (ถังซำจั๋ง)  นำพระคัมภียร์แบกใส่หลังช้างจากนาลันทาพุทธมหาวิยาลัยมุ่งหน้าเข้าภูมิลำเนาแห่งตน ก่อนวาระที่พระพุทธศาสนาจะเลือนหายไปจากประเทศอินเดีย

แนวคิดเรื่อง  ตรีกาย


               แนวคิดเรื่อง  ตรีกาย  หรือกระทั่งเรื่อง  กาย  เองนั้น  นับเป็นศัพท์ที่แปลกใหม่สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท  แนวคิดดังกล่าวแม้จะก่อสร้างตัวขึ้นในสำนักทางเถรวาทอย่างชัดเจน  แต่ก็ไปรุ่งเรืองเติบโตอยู่ในทางฝ่ายมหายานเสียมาก  ฉะนั้นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวในบ้านเรา จึงออกไปไม่คุ้นเคยกัน  แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดนี้ไม่ได้มีในเถรวาทมิใช่เช่นนั้น


               แนวคิดเรื่องตรีกายนั้นบังเกิดขึ้นในช่วงต้น ๆ  ของอายุพระพุทธศาสนาและพัฒนาในกาลต่อมา  จุดนี้จึงกลายเป็นลักษณะบอกความแตกต่างของพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ (คือมหายาน)  และฝ่ายใต้ (คือเถรวาท)  อย่างชัดเจน  ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับทรรศนะ  และอุดมคติเรื่องพระโพธิสัตว์ด้วย  เราคงไม่โยงถึงรายละเอียดที่ลึกซึ้งจนเกินไปนัก


               เริ่มต้นกันที่ว่า  ตรี-กายหรือกายสามคืออย่างไร  ตรีกายนั้นที่เด่นชัดก็คือ  ตามแนวคิดของฝ่ายมหายาน  ซึ่งมีพัฒนาการมาช้านาน  และยังมีลักษณะแปลก  แยกออกไปมากมาย  ทั้งโทกาย  ตรีกาย  จตุรกาย  เบญจกาย  เป็นต้น (กายสอง กายสาม  กายสี่  กายห้า  ตามลำดับ)  แนวคิดนี้เกี่ยวโยงกับการคิดเชิงลักษณะ  หรือบุรุษ ที่เป็นหลักในการเล่าเรื่องคือแต่เดิมนั้น  คัมภีร์ต่าง ๆ จะถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เล่าเรื่องเหล่านั้นด้วยการใช้ภาษาง่าย ๆ  เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกว่าพระองค์มีอยู่จริงแต่ในสมัยต่อมามีการยกขึ้นเป็นผู้อยู่เหนือกว่ามนุษย์  รายล้อมและเป็นที่เคารพสักการะจากสรรพชีวิตทั้งปวง ทั้งมนุษย์  เทวดา  ยักษ์  คนธรรพ์ ฯลฯ ทั้งบางครั้งยังมีปรากฏปาฏิหาริย์  ซึ่งอาจจะเล่าด้วยการใช้ภาษาอันวิจิตรและมีสำนวนโวหารเชิงกวีด้วย


               ในคัมภีร์บาลีนั้นในพระสูตรจะเริ่มต้นด้วย  “เอวมฺเม  สุตํ...ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วดังนี้”  จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าเคยเล่าไว้ และนำไปยังแก่นเรื่องที่ต้องการนำเสนอ  ซึ่งปกติจะใช้ภาษาอย่างง่าย ๆ แต่หากเป็นคัมภีร์ฝ่ายมหายาน (ซึ่งอาจจะใช้ภาษาสันสกฤต  จีน หรือทิเบตเป็นพื้น  จะแตกต่างออกไป  กล่าวคือ  การเปิดฉากจะเริ่มต้นด้วย  “เอวมฺมยา ศฺรุตํ” เป็นการเตรียมใจให้ผู้อ่านคอยติดตามเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหนือความปกติของเหตุการณ์ทั่วไป


               พระพุทธเจ้าในคัมภีร์มหายานนั้น  ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่เดินเหินในโลก  มิใช่พระโอรส  ของพระเจ้าสุทโธทนะ  ผู้ละทิ้งฐานะเดิมออกบวช  แล้วบรรลุโพธิญาณซึ่งก็จะก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า  แล้วพระพุทธเจ้า  ที่สั่งสอนพระธรรมแก่ชาวโลกมาเมื่อ ๒,๕๐๐  กว่าปีแล้วนั้นเป็นใครกัน  คำถาม  นี้แหละถือเป็นที่มาของแนวคิดเรื่องกาย  และพัฒนาเป็นตรีกาย อันเป็นแนวคิดหลักที่ค่อนข้างเด่นชัดของฝ่ายมหายาน ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ศึกษาและถกเถียงกันมาก

แม้เรื่องตรีกายจะเป็นจุดแบ่งแนวคิดระหว่างมหายาน และเถรวาทแต่พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทก็มิได้ปฏิเสธเรื่องกาย  เพียงแต่กล่าวถึงเพียง  ๒  กาย  คือรูปกาย และธรรมกาย


               นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาอย่าง  ดี  ที่ ซูซูกิ  แสดงความเห็นว่าความคิดเรื่องมหาบุรุษผู้ไม่ตายนั้น (อย่างพระพุทธเจ้าในแนวคิดทางมหายาน)  เป็นแนวคิดสากล  เพราะในความรู้สึกแล้ว  คนเหล่านี้ยังไม่ตายอย่างแน่นอน  และคุณประโยชน์ที่มหาบุรุษได้สร้างไว้แก่โลกนับตั้งแต่อดีตและเป็นผลงานอันโดดเด่น  ด้วยเหตุนี้คนที่มีคุณงามความดีสูงส่งก็ต้องเป็นผู้ไม่ตายอย่างแน่นอน  แต่ก็ใช่ว่าคนทั้งหมดจะมีแนวคิดตรงกันเช่นนี้  จึงเกิดการตั้งคำถาม  และมีความเห็นขัดแย้งกันมากมายในเรื่องดังกล่าว  ที่ได้ตั้งคำถามเรื่องลักษณะมหาบุรุษของพระพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดแนวคิด  สัมโคกายของฝ่ายมหายานขึ้นแนวคิดเรื่องธรรมกายก็มาจากการตั้งคำถามถึงการตายของพระศากยมุนีนั่นเอง  โดยถือว่าด้วยบุญบารมีที่สะสมมาเป็นจำนวนหลายกัปกัลป์  จนนับไม่ถ้วนนั้น  ย่อมบังเกิดผลอันน่ามหัศจรรย์  ธรรมกายของพระองค์ นั้นอยู่เหนือการเกิดและการตายและยังอยู่เหนือนิรวาณด้วย  แต่กายจากนิมิตนั้น  ออกมาจากครรภ์ของตถาคตตามกำหนดของกรรม  และสิ้นไปเมื่อกรรมนั้นหมดอำนาจลง


              ในฝ่ายเถรวาทแล้ว  มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะสำนักนี้ถือว่าพระพุทธเจ้าคือมนุษย์ที่มีอยู่จริงในโลกเช่นมนุษย์ทั่วไป  และอยู่ในอาณัติของความเสื่อมไปทั้งปวงของกายที่มีอายุขัย แต่ในทางอภิปรัชญา  คือโดยหลักธรรมแล้ว  บางครั้งฝ่ายเถรวาทก็กล่าวว่าพระพุทธเจ้าก็คือ  ธรรมะโดยไม่มีนัยทาง  อภิปรัชญาเพราะไม่ต้องการให้ยึดติดกับพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวบุคคล  หากแต่ให้มุ่งเน้นไปที่คำสอน  โดยมิต้องกังวลกับพระศากยมุนี  และด้วยเหตุนี้เอง  จึงเป็นการเปิดโอกาส  ให้สรรวาสติวาทและมหายาน  ได้เสนอแนวคิวทฤษฎีธรรมกายของตนต่อไปได้


               สำนักสรรวาสติวาท นั้น  ได้ให้อรรถธิบายโดยละเอียดถึงกายของพระพุทธเจ้า แต่ฝ่ายมหาสังฆิกะนั้นเองที่ได้ตั้งคำถามเรื่องกายในเริ่มแรกและปูทางไปสู่การพิจารณาโดยละเอียดต่อไปตามหนทางของฝ่ายมหายาน


               ในสมัยแรก ๆ นั้น  ฝ่ายมหายานถือเอากายทั้งสอง  อันปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น  อษฺฏาทศสาหสฺริกา  ปฺรชฺยญาปารมิตา พร้อมกับสำนักของทานนาคารชุน(นั้นคือ สำนักมาธยมิก)  โดยรับรู้ว่ามีกายเป็นสองรูป คือ


               ๑. รูปกาย (หรือนิรมาณกาย)  และกำหนดหมายถึงกายหยาบและกายละเอียด  โดยหมายถึงสรรพชีวิตทั่วไป

               ๒.  ธรรมกาย  ซึ่งให้ความหมายไว้สองอย่างด้วยกัน  คือกายแห่งธรรม  ซึ่งก่อให้เกิดพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล  และอีกอย่างหนึ่งก็คือหลักอภิปรัชญา  ที่กุมจักรวาล นั่นคือ  ตถตา (ความเป็นเช่นนั้นเอง)


               สำนักโยคาจารได้แยกความแตกต่างระหว่างกายหยาบ  ออกจากกายละเอียด โดยตั้งชื่อกายหยาบว่า  รูปกาย  หรือ นิรมาณกายและตั้งชื่อกายละเอียดว่า สัมโภคกาย  ส่วนในคัมภีร์ลังกาวตาร  ซึ่งได้แสดงถึงยุคแรกเริ่มของโยคาจารก็ถือเอาว่าสัมโภคกายนั้นคือ  นิษยันทพุทธะ  หรือธรรมนิษยันทพุทธะ (พระพุทธเจ้าที่บังเกิดจากธรรม) และในสูตราลังการ  ยังใช้คำว่า  สัมโภคกาย หมายถึง  นิษยันทพุทธะ  และใช้คำว่า  สวาภาวิกกาย  หมายถึง  ธรรมกายด้วย


ส่วนในคัมภีร์  อภิสมยาลังการการิกา  และ  ปัญจวึศติสาหัสริกานั้น  คำว่า  สัมโภคกาย  หมายถึงกายละเอียด  ที่พระพุทธเจ้าใช้เพื่อเทศนาสอนแก่พระโพธิสัตว์ และธรรมกาย  หมายถึงกายที่บริสุทธิ์แล้วด้วยการปฏิบัติโพธิปักษิและปฏิบัติธรรมอื่น ๆ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นในทางอภิปรัชญาแล้ว  ธรรมกายในคัมภีร์เหล่านี้ล้วนแต่ใช้คำว่า  สวภาวะหรือสวาภาวิกกาย


               สำหรับคัมภีร์  วิชญปติมาตราสิทธิ  ยังมีแนวคิดเรื่องเดียวกับในการิกา  แต่ใช้คำใหม่คือ  สวสัมโภคกายเพื่อหมายถึง  ธรรมกายอย่างใน  การิกา และแตกความหมายของสัมโภคกาย ออกไปโดยใช้คำว่าประสัมโภคกาย  แทน


               สำหรับคำสอนของพวกที่เรียกว่า จิตรมาตระตา มีว่า  กายของพระพุทธเจ้ามีอยู่ทั้งหมด  ๓  กายด้วยกันคือ


               กายที่ ๑  คือ  ธรรมกาย (ธรมกาย)  ธรรมกายนั้นเป็นกายซึ่งประกอบด้วยธาตุธรรมอันบริสุทธิ์ และก็เป็นธรรมล้วน ๆ เป็นตัวเนื้อแท้ของพระสัมมาพุทธเจ้าและของสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นพุทธภาวะที่แน่นอน

               กายที่  ๒  ในลัทธิตรีกายนี้เรียกกว่า  สัมโภคกาย  แปลว่ากายแห่งความบริบูรณ์แห่งความสุขคือ  รูปกายนั่นเองเป็นกายเนื้อของพระตถาคตเจ้าประกอบด้วยมหาบุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และอสีติพยัญชนะทั้ง ๘๐ อย่าง  กายที่เรียกว่าสัมโภคกายนี้เป็นกายที่ไม่เที่ยงแต่เป็นกายที่ไปปรากฏต่อสายตาของชาวโลก  เพื่อสั่งสอนธรรมะแก่ชาวโลกทั้งหลาย และเป็นกายของพระโพธิสัตว์ที่ปรากฏในแดนสุขาวดีดังมีในพระไตรปิฏกของจีน


               ส่วนในพระไตรปิฏกสันสกฤตมีพระสูตรหนึ่งชื่อว่าสุขาวดีวยุหูตรพระสูตรนี้ก็มี  ๒  ฉบับ  ฉบับยาวกับฉบับสั้น  กล่าวถึงดินแดนทางทิศตะวันตกของโลก  เป็นดินแดนซึ่งมีพระพุทธเจ้าอยู่พระองค์หนึ่งพระนามว่า  พระอมิตตาภะ  พระวรกายของพระองค์  มีความสว่างไม่มีประมาณ  จึงเรียกว่า  อมิตตาภะ  และพระองค์ยังมีอีกพระนามหนึ่งว่าอมิตตายุส  คือมีกายอันไม่มีประมาณในพระสูตรนี้ได้อธิบายเรื่องสัมโภคกายว่า  เป็นผู้ที่ไปอธิบายธรรมะให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย  พระโพธิสัตว์ก็อยู่ในรูปของสัมโคกายด้วย


               กายที่  ๓  ในลัทธิตรีกายก็คือ นิรมาณกาย  เป็นกายซึ่งปรากฏอยู่ในโลกมนุษย์  พระพุทธเจ้าจะไปปรากฏในรูปกายต่าง ๆ  ได้โดยอาจจะเป็นสัตว์ก็ได้  เป็นผีเสื้อสักตัวหนึ่ง เป็นกระต่ายสักตัวหนึ่ง  หรือเป็นครูสอนสมาธิก็ได้  เกิดเป็นพระลามะทิเบตก็ได้  เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์

หากจะกล่าวกันถึงเรื่องตรีกายในลัทธิมหายาน ยังมีอีกหลายหลายแนวความคิด  ซึ่งคงจะต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมกันต่อไป


               แม้ว่าในฝ่ายมหายานจะมีแนวคิดที่แตกต่างกันออกไป  แต่กล่าวโดยสรุปได้ว่าตรีกายของมหายานนั้น  อาจพิจารณาได้ดังนี้


               ๑.  นิรมาณกาย  คือ  กายที่นิติขึ้นเป็นการประกาศตัวให้แก่โลกได้ประจักษ์


               ๒. สัมโภคกาย  คือ  กายอันเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติของพระพุทธเจ้าโดยปรากฏให้มีลักษณะพิเศษนานา


               ๓.  ธรรมกายคือ กายแห่งธรรมเป็นความบริบูรณ์หรือปารมิตา นั่นเอง



               นอกจากนี้คำว่า “ธรรมกาย”  ในเชิงความรู้ทั่วไปดูออกจะเป็นของใหม่ เรื่องใหม่  ที่ต้องการคำอธิบายอย่างยิ่ง  หลายคนคิดว่าธรรมกาย คือสภาวะอะไรสักอย่างที่ดูลี้ลับห่างไกล หลายคนคิดว่าธรรมกายคือนิกายใหม่ของพุทธศาสนาที่เพิ่งถูกคิดขึ้นมาในยุคปัจจุบัน  หากในความเป็นจริงในโลกแห่งวิทยาการสากลด้านพระพุทธศาสนาว่ากันด้วยเรื่องราวของพุทธปรัชญา “ธรรมกาย” หรือ THE DHAMAKAYA  ในภาษาสันสกฤตกลับเป็นที่กล่าวขวัญและรู้จักกันดีในหมู่ของนักวิชาการที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อการศึกษาค้นคว้าทางด้านนี้ บรรดานักวิชาการมากมายต่างพยายามที่จะให้คำจำกัดความถึงสภาวะแห่งธรรมกายหรือนิยามของคำว่าธรรมกายให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้  และส่วนใหญ่เป็นงานที่เกิดจากการค้นคว้าดัดแปลงมาจากพระสูตรต่าง ๆ ในภาคภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาจีน  ญี่ปุ่น  และธิเบต  ก่อนที่จะแปลมาเป็นภาคภาษาอังกฤษอีกชั้นหนึ่ง  คำจำกัดความเหล่านี้โดยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมาจากพระสูตรของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  ซึ่งมีมากมายในจีน  ญี่ปุ่น  และธิเบต  เพราะเป็นภาคพื้นเดียวเท่านั้นที่รับมรดกทางด้านนี้ไว้มากที่สุด  ทางด้านที่เป็นตำราในลักษณะของตัวอักษร


               ซึ่งต่างต้องยอมรับว่าล้วนเป็นเรื่องราวของตัวอักษรที่ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรเป็นตัวอักษรบนพื้นฐานของความชำนาญทางด้านภาษาผสมกับความเข้าใจในปรัชญาเชิงพุทธ


               เรื่องราวของ “ธรรมกาย” ในพระพุทธศาสนาขณะนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักวิชาการตะวันตก จีน  ธิเบต  และญี่ปุ่น  ซึ่งต่างก็ยอมรับว่าเลือนรางเต็มทีในเรื่องของความเข้าใจจริง ๆ เพราะสิ่งนี้ได้ถูกทำให้เจือจางลงนานนักหนาแล้วนับตั้งแต่พุทธศักราชที่ ๕๐๐  โดยประมาณเมื่อหมดยุคสมัยของพระเจ้ากนิษกะ  มหาพุทธมามกะแห่งราชวงศ์กุศานะของอินเดียตอนเหนือเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน


               อย่างไรก็ตาม  นี้เป็นเพียงแนวคิดหนึ่งที่เสนอออกมาเท่านั้นข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการให้ท่านได้เห็นภาพโดยรวมของกายต่าง ๆ  ทั้งในฝ่ายเถรวาท และฝ่ายมหายานเพื่อเปรียบเทียบกับความหมายของกายต่าง ๆ  ที่กล่าวไว้ในตำรับตำราต่าง ๆ ในประเทศไทย

ข้อมูลจาก  หนังสือ  "ตามรอยธรรมกาย"  

หลักฐานธรรมกายของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย  

โดย  พระครูภาวนามงคล  (วิวัฒน์  กตวัฑฺฒโน)

วัดป่าเจริญธรรมกาย  อ.ปทุมรัตน์  จ.ร้อยเอ็ด

หมายเลขบันทึก: 215853เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 19:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 16:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท