เรื่องของวิญญาณที่ควรรู้


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

เรื่องของวิญญาณที่ควรรู้ 

วิญญาณ (Consciousness)



--->>>   เพราะสังขารเป็นปัจจัย  วิญญาณจึงมี


วิญญาณ  คือ  ความรู้แจ้งอารมณ์, จิต, ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะ(ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน  อายตนะภายนอก  และวิญญาณ)  ได้แก่  วิญญาณ ๖


ในกรณีนี้  มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า วิญญาณ อีก  ๓  คำที่ควรนำมาร่วมพิจารณา


๑. วิญญาณธาตุ  คือ  ธาตุรู้,  ความรู้แจ้ง,  ธาตุที่มีลักษณะเป็นเครื่องรู้อารมณ์


๒. วิญญาณาหาร  คือ  วิญญาณในฐานะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง  คือ  อาหาร  กล่าวว่า  เป็นปัจจัยอุดหนุนหล่อเลี้ยงให้เกิด  นามรูป


๓. ปฏิสนธิวิญญาณ  คือ  ความรู้แจ้งอารมณ์  อันทำหน้าที่สืบต่อภพใหม่



จากความหมายของคำว่า  วิญญาณ  และศัพท์ที่เกี่ยวข้องดังที่กล่าวมานี้  ถ้าจำแนกออกเป็น ๒ ฝ่าย  คือ


(๑) ฝ่ายเหตุ  คือกิริยาการรับรู้  ก็ได้แก่  วิญญาณ ๖  ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการผัสสะ


(๒) ฝ่ายผล  คือความรู้ที่เกิดขึ้น  เป็นผลจากกิริยาการรับรู้  ได้แก่  จิต คือ  วิญญาณธาตุ,  วิญาณาหาร,  และปฏิสนธิวิญญาณ



น่าสังเกตว่า  วิญญาณในลำดับที่ ๓  แห่งวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ไม่ควรจะนับเป็นฝ่ายเหตุ  คือ  วิญญาณ ๖  เพราะวงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นมี  “ผัสสะ”  ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนแล้ว (ลำดับที่ ๖  แห่งวงจรปฏิจจสมุปบาท)  เพราะโดยนัยแล้ว  เมื่อใดที่เห็นคำว่า  ผัสสะ  ก็เสมือนกับการที่เราเห็นคำว่า  วิญญาณ ๖  ไปพร้อมๆ กันด้วย(เพราะผัสสะหมายถึง  ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก  และวิญญาณ)


ฉะนั้น  “วิญญาณ”  ในลำดับที่ ๓  แห่งวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้  จึงควร  หมายถึง  “จิต”  โดยตรง  ในสภาพที่เป็น  “วิญญาณธาตุ”  คือ  “ธาตุรู้”  แต่เป็นธาตุรู้ที่สั่งสมปรุงแต่ง(สังขาร)มาด้วยความโง่  ความหลงผิด  ความเห็นผิดในกาย  ในร่างกาย  และวัตถุธาตุทั้งหลาย  และทำหน้าที่เป็น  “วิญาณาหาร”  เป็นปัจจัยอุดหนุนหล่อเลี้ยงให้เกิด  “นามรูป”[/u]  ต่อไป  และหากมีการแตกตาย  คือหมดปัจจัยที่ยังให้มีชีวิตปรากฏในภพหนึ่งภพใด  ก็จะทำหน้าที่เป็น  “ปฏิสนธิวิญญาณ”  สืบต่อให้เกิด  นามรูปในภพใหม่



--->>>   เพราะสังขารเป็นปัจจัย  วิญญาณจึงมี


ดังนั้นเมื่อมี  “สังขาร”  การปรุงแต่งกาย  วาจา  และใจ (กายสังขาร,  วจีสังขาร, จิตตสังขาร)   อันเป็นไปด้วยความโง่  ความหลงผิด  ความเห็นผิด  ว่าร่างกายและวัตถุธาตุทั้งหลายเป็นของที่ดี  มีคุณค่านำมาซึ่งความสุข


“วิญญาณ”  ความรู้ที่เกิดขึ้น  ที่จิตรองรับมาจากความคิดนึกปรุงแต่ง  ยึดถือมาอย่างผิดๆ ของตนเช่นนี้  จึงเกิดเป็นวิญญาณความรู้ผิด  ความเห็นผิด  ความยอมรับและความเข้าใจที่ผิดๆ ว่า  กายนี้  วัตถุธาตุนี้  เป็นสิ่งที่มีค่า  เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  นำความสุขความสมใจมาให้แก่เราได้อย่างมากมาย  และด้วย  “ความตายปรากฏ” คือการสิ้นไปแห่งกาย  อันจิตเคยอิงอาศัยมาถึง  วิญญาณนี้จึงทำหน้าที่เป็น  ปฏิสนธิวิญญาณ  คือ  ความรู้แจ้งอารมณ์  อันทำหน้าที่สืบต่อภพใหม่ต่อไป



--->>>   เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย  นามรูปจึงมี


นามรูป  คือ  นามธรรมและรูปธรรม  หมายถึง  ขันธ์ ๕  คือส่วนประกอบ ๕ อย่าง  ที่รวมกันเข้าเป็นชีวิต  กล่าวคือ  กาย  และ  จิต  นั่นเอง


เมื่อวิญญาณ  ความรู้แจ้งอารมณ์  เป็นความรู้ความเห็นผิดๆ เป็นความหลง  ความยอมรับ  และความเข้าใจผิดๆ ว่า  กายนี้  วัตถุธาตุนี้  เป็นสิ่งที่มีค่า  เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  เป็นสิ่งที่นำความสุขสมใจมาให้แก่ตนได้อย่างมากมาย  มันก็หวังที่จะได้รับความสุขที่ยั่งยืนถาวรจาก  “กาย”  และ  “วัตถุธาตุ”  นั้นๆ


ฉะนั้นการแสวงหา  “กาย”  หรือ  “วัตถุธาตุ”  จึงเกิดขึ้น  การรวมตัว  คือการที่จิตนั้นเข้าไปผนวกกับวัตถุธาตุทั้งที่เป็นของหยาบหรือของละเอียด  ที่เรียกว่า  “กาย”  จึงเกิดขึ้น (จุติ-ปฏิสนธิ ขึ้นมา)  ฉะนั้นสิ่งที่ท่านเรียกว่า  “นามรูป” ก็คือ  “กาย”  และ  “จิต” นั่นเอง


การเกิดของมนุษย์(ชาติ)มีพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงการเกิดของมนุษย์ไว้ว่า  ประกอบด้วยองค์ ๓  คือ  


๑. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน  (มีเพศสัมพันธ์กัน)

๒. มารดาอยู่ในวัยยังมีระดู

๓. มีคันธัพพะมาปรากฏ  (ในครรภ์มารดา)


คันธัพพะ  คือ  สัตว์  บาลีแปลไว้ว่า  คือ  คนธรรพ์,  กำเนิดเทวดา”  นักดนตรี,  นักร้อง,  ม้า

คัพภะ  คือ  ครรภ์,  สัตว์ในครรภ์, ห้อง, ห้องใน,  ลำไส้



มีบทสนทนาระหว่างพระพุทธองค์  กับ  พระอานนท์  ดังนี้


พระพุทธองค์  :  ดูก่อนอานนท์  หากวิญญาณจักไม่หยั่งลงสู่ครรภ์มารดา  นามรูป(ชีวิตใหม่) จักเกิดในครรภ์มารดาได้หรือ

พระอานนท์    :  ไม่ได้  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์  :  ดูก่อนอานนท์  หากวิญญาณหยั่งลงสู่ครรภ์มารดาแล้ว  จักเลยไปเสีย(ดับ) นามรูป(ชีวิตใหม่) จักเกิดเป็นอย่างนี้ได้หรือ

พระอานนท์    :  ไม่ได้  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์  :  ดูก่อนอานนท์  หากวิญญาณของกุมารหรือกุมารี   ผู้เติบโตเป็นหนุ่มสาวจักขาดสูญ(ดับ)ไปเสีย  นามรูปจักเจริญเติบโตอย่างนี้ได้หรือ

พระอานนท์    :  ไม่ได้  พระเจ้าข้า

พระพุทธองค์  :  ดูก่อนอานนท์  เพราะเหตุนั้นแล (ตถาคตจึงกล่าวว่า) สิ่งที่เป็นเหตุ  เป็นต้นเค้า  เป็นแดนเกิด  เป็นปัจจัยแห่งนามรูป(ชีวิตใหม่) ก็คือ วิญญาณ

(ที.มหา. ๑๐/๖๐/๗๔.)



จากบทสนทนาระหว่างพระพุทธองค์กับพระอานนท์ดังที่ยกมานี้  จึงเป็นที่ชัดเจนว่า  สัตว์ที่มาเกิดในครรภ์มารดานั้น  มาในสภาพที่เป็น วิญญาณ  คือ  เป็น ปฏิสนธิวิญญาณ  โดยจะเข้ามาในขณะที่บิดามารดาอยู่ร่วมกัน(มีเพศสัมพันธ์กัน) และมารดาอยู่ในวัยที่ยังมีระดู


จากหลักปฏิจจสมุปบาทที่ว่า  “วิญฺญาณปจฺจยา  นามรูปํ” ซึ่งแปลว่า  นามรูปมีได้  เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย  หรือ  วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป  กรณีการตั้งครรภ์ของมารดานี้  วิญญาณที่เข้ามาในขณะที่อสุจิ(ของบิดา)เข้าผนวกรหัสพันธุกรรมกับไข่สุก(ของมารดา)  เรียกว่า  ปฏิสนธิวิญญาณ  หรือ  จิต  นั่นเอง



ดังพุทธพจน์ว่า


“สัตว์ทั้งหลาย  มีกรรมเป็นของตน  เป็นทายาทแห่งกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ทรามและประณีต”

(ม.อุ. ๑๔/๕๗๙/๓๗๖)

หมายเลขบันทึก: 215863เขียนเมื่อ 11 ตุลาคม 2008 20:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 18:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท