พระพุทธองค์ไม่มีไม้ตาย , คาถาแสดงธรรมสังเวช
-->> พระพุทธองค์ไม่มีไม้ตาย
พุทธวนะที่น่าสังเกตนี้ก็คือ ทรงบอกพระอานนท์ว่าพระพุทธองค์ไม่มี “อาจริยมุฏฐิ” (กำมือของอาจารย์) มีเท่าไร บอกหมด อะไรที่จะเป็นทางพ้นทุกข์ได้ตรัสบอกหมดแล้ว ไม่ปิดบังไม่มีอะไรกำไว้ในมือ
“กำมืออาจารย์”นี้เทียบได้กับ “ไม้ตาย” ของครู ครูที่ฝึกวิชาต่าง ๆ เช่น วิชาฟันดาบ ยิงธนู ครูจะไม่สอนลูกศิษย์ทุกกระบวนท่า เพราะเกรงว่าศิษย์ที่อกตัญญูคิดล้างครู เมื่อได้เรียนจบวิชาไปแล้วอาจคิดกำจัดครูได้ จึงจำต้องสอนสงวน “ ไม้ตาย ” ไว้
แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ได้สงวน “ไม้ตาย ” ดังกล่าวไว้ เพราะแนวทางการสอนของพระองค์สอนให้ละ ให้ปล่อยวาง ยิ่งสอนจดหมดเปลือกหมดไส้หมดพุงก็ยิ่งดี
อีกเรื่องหนึ่งที่ตรัสให้พระอานนท์ฟังก็คือ พระพุทธวจนะนี้บ่งบอกถึงการที่พระองค์ทรงเป็นนักประชาธิปไตยมิได้เผด็จการปกครองสงฆ์แบบเบ็ดเสร็จ ตรงข้ามพระองค์ทรงมอบภาระการบริหารสงฆ์และการทำสังฆกรรมเช่นอุปสมบท เป็นต้น แก่พระสงฆ์ มอบให้พระสงฆ์เป็นใหญ่ในการบริหารคณะสงฆ์แม้พระองค์เองก็ทรงเคารพสงฆ์
**************************************************************************
-->> คาถาแสดงธรรมสังเวช
ที่น่าศึกษาก็คือ พระสาวกที่ท่านมีหูทิพย์ ท่านได้บันทึกเสียงสะท้อนหลังจากพุทธปรินิพพานไว้ด้วย คือ ท้าวสหัมบดีพรหม และพระอินทร์ ได้กล่าวคาถาแสดงธรรมสังเวช (คือ ปลงเพราะเข้าใจถึงธรรมดาแห่งชีวิต) ไว้ด้วย
-->> ท้าวสหัมบดีพรหมกล่าวคาถาว่า
สัตว์ทั้งปวงทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แม้แต่พระตถาคตศาสดา
ผู้ไม่มีใครเปรียบปาน ทรงสมบูรณ์ด้วยทศพลญาณ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ยังดับสนิทแล้ว
เตือนให้คิดว่า อย่าว่าแต่เราเลย แม้พระผู้ประเสริฐอย่างพระสัมมาสัมพุทธะยังปรินิพพานให้พิจารณาเห็นความจริงของสรรพสิ่งเสียเถอะ อย่างได้ยึดติดอะไรจนเกินไป
--> พระอินทร์ก็กล่าวคาถาว่า
สังขาร (สิ่งผสม) ทั้งหลายไม่เที่ยงแท้หนอ เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา การดับสังขารทั้งหลายได้ เป็นความสุขแท้
คาถาของพระอินทร์ได้ถูกนำมาเป็นคาถา “บังสุกุล” ของพระสงฆ์มาจนบัดนี้ ญาติโยมเองก็ได้ยินบ่อยๆ จนจำได้ คือ คาถาว่า
อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข
ที่ว่า “ดับสังขารได้เป็นสุข”หมายถึงดับกิเลสได้ หรือบรรลุนิพพานนะขอรับ ไม่ใช่ “ฆ่าตัวตาย” แล้วเป็นสุขนะ อย่าเข้าใจผิด
--> พระอนุรุทเถระได้กล่าวคาถาความว่า
พระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยมั่นคง ผู้คงที่ ไม่หวั่นไหว ทรงหมดลมหายใจแล้ว
พระมณีเจ้าทรงทำกาละอย่างสงบแล้ว พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่
ทรงระงับเวทนาได้ พระทัยหลุดพ้น ทรง ดับสนิทแล้วดุจเปลวประทีปดับ ฉะนั้น
--> พระอานนท์กล่าวคาถาความว่า
เมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสมบูรณ์พร้อมด้วยประการทั้งปวงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เกิดความสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าแล้ว
-->> มีข้อน่าเปรียบเทียบก็คือ วาทะของพระอรหันต์ทรงอภิญญา (พระอนุรุทธะ) กับของพระเสขบุคคล (ผู้ยังไม่หมดกิเลสสิ้นเชิงคือพระอานนท์) เนื้อหาแตกต่างกัน พระอนุรุทธะนั้นกล่าวอย่างผู้เข้าใจกฎธรรมดาว่า ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วจะต้องดับไป แม้พระพุทธเจ้ายังดับ แต่การดับของพระองค์นั้นดับอย่างสนิท เพราะทรงละกิเลสอาสวะทั้งปวงได้แล้ว
ส่วนวาทะของพระอานนท์ ยังใส่ความรู้สึกของผู้ยังมีอุปทานอยู่ แม้ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม (พระโสดาบันนั่งร้องไห้เสียใจอาลัยอาวรณ์ได้ ดังนางวิสาเมื่อหลานตายก็ยังร้องไห้ฟูมฟายไปเฝ้าพระพุทธเจ้า )
-->> ในสังคมพุทธไทย เมื่อจัดงานเผาศพญาติมิตรผู้ล่วงลับก็จะพิมพ์หนังสืองานศพ เขียนคำไว้อาลัยผู้ตายไว้ด้วย ประเพณีนี้เริ่มมาแต่เมื่อใดไม่ทราบ อาจจะเลียนแบบคาถาแสดงธรรมสังเวชที่ผู้กล่าวเมื่อครั้งพุทธปรินิพพาน ก็เป็นได้ แต่เท่าที่สังเกต คำไว้อาลัยนั้นมักเป็นไปในทำนองยกย่องผู้ตายเสียเลอเลิศ และแสดงความอาลัยอาวรณ์เกินความจริง ชักจูงไปทางลุ่มหลงมัวเมาในชีวิตมากกว่าจะเตือนสติตัวเองและผู้อื่นให้เข้าใจธรรมชาติและธรรมดาของชีวิต
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://forums.212cafe.com/samatha/
ไม่มีความเห็น