ตรัสตอบท้าวมหานาม เรื่องกิเลสที่ครอบงำจิต
พระศาสดาประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ เจ้าศากยะพระองค์หนึ่ง คือ ท้าวมหานามเสด็จไปเฝ้าทูลว่า ทรงเข้าพระทัยในพระธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมานานแล้วว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง แต่มันก็ยังครอบงำพระทัยของพระองค์อยู่เป็นครั้งคราว ทรงสงสัยว่ามีอะไรอยู่ภายในพระทัย มีอะไรที่ยังทรงละไม่ได้ขาด จึงทำให้ โลภ โกรธ หลง ครอบงำพระทัยได้เป็นครั้งคราว
พระศาสดาตรัสตอบว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะยังทรงละกามไม่ได้ ถ้าทรงละกามราคะได้แล้ว ก็จะไม่ทรงอยู่ครองเรือน ตรัสต่อไปว่า อริยสาวก (สาวกของพระอริยะ หรือสาวกที่เป็นอริยะ) ทราบอย่างดีว่า กามทั้งหลายให้สุขน้อย ให้ทุกข์มากถึงกระนั้นถ้าเขาไม่ได้ปิติสุขอันเหนือกว่ากามสุขแล้ว เขาก็คงเวียนมาหากามสุขอีก แต่เมื่อใดเขาได้ปิติสุขอันอยู่เหนือกามสุขแล้ว เขาย่อมไม่เวียนมาหากามสุข
ตรัสเล่าเรื่องของพระองค์เองสมัยที่ยังมิได้ตรัสรู้ทรงรู้เห็น เหมือนกันว่ากามทั้งหลายให้สุขน้อย ให้ทุกข์มากแต่เมื่อมิได้สุขอื่นที่เหนือกว่ากามสุข ก็ยังไม่สามารถปฏิญญาพระองค์ว่าจะไม่เวียนมาสู่กามสุขอีก เมื่อทรงได้สุขอื่นที่เหนือกว่าแล้ว จึงทรงปฏิญญาได้ว่าจะไม่เวียนมาหากามสุขอีก
ต่อจากนั้น ตรัสถึงคุณและโทษของกาม พร้อมทั้งอุบายวิธีที่จะถอนตนจากกามเหมือนที่กล่าวแล้วในมหาทุกขักขันธสูตร
ตรัสเล่าเรื่องที่ประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ นครราชคฤห์ คราวนั้นที่ตำบลกาฬศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ พวกนิครนถ์จำนวนมากถือการยืนเป็นวัตรคือยืนอย่างเดียวไม่นั่ง ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ซึ่งเกิดจากความพยายามนั้น(มิจฉาวายามะ ความเพียรในทางที่ผิด) พระองค์เสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปหาพวกนิครนถ์เหล่านั้น ได้ถามพวกเขาถึงการถือการยืนเป็นวัตรนั้นว่าทำด้วยเหตุผลอะไร ? พวกนิครนถ์ตอบว่านิครนถ์นาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของเขาเป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง เห็นธรรมทั้งปวง ยืนยันญาณทัสสนะ(ความรู้ความเห็น) ของท่านว่า บริสุทธิ์หมดจดโดยประการทั้งปวง สอนให้สาวกทำความเพียรอันเข้มงวดเช่นนี้เพื่อสลัดบาปกรรมอันเคยทำมาแต่กาลก่อน
อนึ่ง การที่พวกท่านสำรวมกาย วาจา ใจ ในบัดนี้ เป็นการไม่กระทำบาปกรรมต่อไป เพราะกรรมเก่าสิ้นไปด้วยตบะนี้ และเพราะไม่ทำกรรมใหม่ ความถูกบังคับจึงไม่มี เพราะไม่ถูกบังคับจึงสิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรมจึงสิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์จึงสิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา (ความรู้สึกว่าเป็นสุขหรือทุกข์) จึงเป็นอันพวกท่านสลัดทุกข์ได้หมด พวกเราพอใจคำกล่าวนี้ของท่านนิครนถ์นาฏบุตร(ศาสดาของศาสนาเชน) จึงยินดีบำเพ็ญตบะนี้
พระพุทธองค์ตรัสถามพวกนิครนถ์เหล่านั้นว่า ท่านทราบหรือว่าพวกท่านเคยเกิดมาก่อน ? ท่านได้ทำกรรมไว้ในกาลก่อน ? เคยทำกรรมอย่างนี้ ๆ มาก่อน ? ท่านทราบหรือว่าสลัดทุกข์ได้เท่านี้แล้ว ยังมีทุกข์อีกเท่านี้ที่จะต้องสลัด เมื่อทุกข์เท่านี้ท่านสลัดได้แล้วเป็นอันสลัดทุกข์ได้หมดสิ้น ? พวกท่านทราบการละอกุศลและการบำเพ็ญกุศลในปัจจุบันหรือ?
คำถามเหล่านี้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบทั้งสิ้น
พระศาสดาจึงตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่จะบวชในสำนักของพวกท่านก็มีแต่คนที่มีมารยาททราม มีมือเปื้อนโลหิตทำกรรมชั่วช้า
พวกนิครนถ์โต้ตอบว่า บุคคลมิใช่จะประสบความสุขได้ด้วยความสุขแต่จะประสบความสุขได้ด้วยความทุกข์ ถ้าหากบุคคลประสบความสุขได้ด้วยความสุขแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแห่งแคว้นมคธก็จะพึงมีความสุขมากกว่าพระสมณโคดม เพราะโดยปกติพระเจ้าพิมพิสารมีชีวิตอยู่เป็นสุขกว่าพระสมณโคดม
พระศาสดาตรัสถามเป็นเชิงเปรียบเทียบว่า พระเจ้าพิมพิสารจะทรงสามารถอยู่อย่างไม่ไหวพระกาย ไม่ไหวพระวาจา (คือไม่ตรัสอะไรเลย) เสวยสุขอย่างเดียวอยู่ตลอด ๗ วัน ๖ วัน...จนถึงเพียงวันหนึ่ง คืนหนึ่งได้หรือไม่พวกนิครนถ์ทูลตอบว่าไม่ได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์เองสามารถไม่ทรงไหวพระกาย พระวาจา เสวยความสุขอยู่อย่างเดียวตลอดเวลา ๗ วันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ระหว่างพระองค์กับพระเจ้าพิมพิสาร ใครจะอยู่เป็นสุขกว่ากัน พวกนิครนถ์ทูลรับว่าพระพุทธองค์ทรงอยู่เป็นสุขกว่าอย่างแน่นอน เมื่อพระศาสดาตรัสเล่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ท้าวมหานามทรงชื่นชมยินดีกับพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
**************************************************************************
เรื่องนี้แสดงโทษของความเพียรที่มากเกินไป และทำไปโดยไร้ปัญญาเป็นการทำตนให้ลำบากเปล่า (อัตตกิลมถานุโยค) เป็นทุกข์เปล่าไม่มีประโยชน์ไม่ประเสริฐ เช่น ความเพียรในการยืนอย่างเดียวของพวกนิครนถ์ในเรื่องนี้
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา อันเป็นคุณธรรมหลัก คือให้ทำอะไร ๆ ด้วยปัญญา มิใช่ด้วยความเขลา หรือสักแต่ว่าเคยทำสืบ ๆ กันมาแต่โบราณ การเข้มงวดกับชีวิตเกินไป ก็เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ เป็นกองทุกข์ใหญ่อย่างหนึ่งเหมือนกัน
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://forums.212cafe.com/samatha/
ผู้อบรมดีแล้ว
ผู้ที่ได้อบรมกาย อบรมจิตดีแล้ว ดูได้ที่ไหน? ดูที่ เมื่อสุขเวทนา (ความรู้สึกสุข) หรือทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์) ไม่ว่าทางกายหรือทางจิตเกิดขึ้น มันสามารถครอบงำจิตได้หรือไม่ถ้าครอบงำได้ทำให้เขาต้องเศร้าโศกเสียใจ พิไรรำพันต่าง ๆ หรือเพลิดเพลิน หลงใหล แสดงว่า เขายังมิได้ อบรมกาย อบรมจิตด้วยดี ถ้าสุขทุกข์นั้นครอบงำ จิตไม่ได้ แสดงว่า เขาได้อบรม กาย อบรมจิตดีแล้ว
(นัยพระพุทธพจน์ จากมหาสัจจกสูตร)
ม.มู. พระไตรปิกฎเล่ม ๑๒ ข้อ ๔๐๘-๘)
พถุภถัไพคะพกุพุ้พถุคถำพถัพหั้กะพ
ดะระคน