พระพุทธเจ้า...ทรงโต้ตอบเทวดาเรื่องฆ่าอะไรได้จึงอยู่เป็นสุข
พระพุทธเจ้า...ทรงโต้ตอบเทวดาเรื่องฆ่าอะไรได้จึงอยู่เป็นสุข
เทวดาผู้หนึ่งทูลถามว่า
“ฆ่าอะไรเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรเสียได้จึงไม่เศร้าโศก
พระองค์ทรงพอพระทัยการฆ่าอะไรว่าเป็นธรรมอันเอก”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
“ฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธเสียได้ไม่ต้องเศร้าโศก พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษมียอดหวาน บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก”
(พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๑๙๘-๑๙๙)
เรื่องความโกรธ โทษของความโกรธ วิธีละความโกรธและคุณของการละความโกรธ ได้พรรณนาไว้มากแล้วในที่อื่น เช่น ในสาระสำคัญแห่งวิสุทธิมรรค ตอนว่าด้วยเรื่องเมตตาในพรหมวิหารนิเทศ และในทางแห่งความดีเล่ม ๓ ตอนที่ว่าด้วย “โกรธวรรควรรณนา” (วรรคที่ว่าด้วยความโกรธ)
ในที่นี้ ขออธิบายข้อที่ว่า “พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน”
พระอริยเจ้าคือใคร? คือท่านผู้บรรลุโลกุตตรธรรมแล้วตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอรหันต์ จะเป็นบรรพชิต (ผู้บวช) ก็ตาม เป็นฆราวาส (ผู้ครองเรือน ) ก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลใด วรรณะใด เชื้อชาติใด เมื่อบรรลุโลกุตตรธรรมแล้วนับเป็นพระอริยเสมอกันหมด เปรียบเหมือนน้ำไหลจากที่ต่าง ๆ เมื่อลงสู่มหาสมุทรแล้วก็เรียกว่าน้ำทะเลเหมือนกันหมด
ปัญหาต่อไปมีว่า โลกุตตรธรรมคืออะไร? จะบรรลุได้อย่างไร?
โลกุตตรธรรม แปลตามตัวว่า ธรรมเหนือโลก กล่าวคือ พ้นจากโลกียวิสัยอย่างน้อยที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ทางนั้นแล้วแม้จะยังดำเนินไปไม่สุดสายก็ตาม เช่นพระโสดาบันผู้บรรลุโลกกุตตรธรรมในระดับโสดาปัตติผลแล้วเข้าสู่กระแสแห่งโลกุตตรธรรมแล้ว
กล่าวโดยชื่อก็คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นโลกุตตรธรรม ๙ มรรค ๔ คือ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรคและอรหัตตมรรค ผล ๔ ก็เหมือนกัน เปลี่ยนแต่คำว่า มรรคเป็นผลเท่านั้น
จะบรรลุได้อย่างไร? บรรลุได้โดยวิธีดำเนินชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นชอบเป็นต้น ซึ่งย่อลงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ดำเนินชีวิตตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ย่อมนำไปสู่โลกกุตตรภูมิได้ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกุตตรภูมิแม้ในระดับแรกคือโสดาบัน ท่านก็แปรสภาพจากปุถุชนเป็นพระอริยเจ้า
โลกกุตตรธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรต้องการ ทั้งในชีวิตอย่างบรรพชิต และชีวิตอย่างฆราวาส พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น เพื่อให้พุทธบริษัททั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์มีชีวิตที่เบาสบายขึ้นไม่ตกเป็นทาสของกิเลสเกินไป หรือตลอดเวลา อนึ่ง การแก้ปัญหาโลกนั้นต้องแก้ด้วยธรรม เหมือนเราจะแก้ความวุ่นวายด้วยความสงบ แก้ความร้อนด้วยความเย็น แก้ความมืดด้วยความสว่าง
โลกวุ่นวายอยู่เสมอ ใจที่เกาะเกี่ยวอยู่กับโลกก็เป็นใจที่วุ่นวายเพราะใจของคนในโลกวุ่นวายนั่นแหละ จึงทำให้โลกวุ่นวายไร้ความสงบ ไม่มีสันติภาพอันถาวรเลย ถ้าดำเนินตามวิธีของโลกแล้ว สันติภาพถาวร (Iasting peace) ก็เป็นแต่เพียงความฝันเท่านั้น เป็นจริงขึ้นในโลกไม่ได้ อย่าว่าแต่จะถาวรเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นสิบปีเลย แม้เพียงวันเดียวก็หาไม่ได้ รายงานของหนังสือพิมพ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศบอกเราว่า ไม่มีสักวันเดียวที่โลกนี้ปราศจากปัญหา เรื่องร้ายเกิดขึ้นในหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์รายงานได้ทุกวัน ตราบใดที่ใจของคนยังวุ่นวายเป็นทาสของกิเลสอยู่ ชนิดที่ควบคุมมันไม่ได้อยู่ ตราบนั้นโลกก็คงต้องวุ่นวายอยู่ต่อไป
แม้ในโลกแคบ ๆ ซึ่งมีคนอยู่เพียง ๔-๕ คน หรือ ๖-๗ คน เช่นในครอบครัว หรือในที่ทำงานทั่ว ๆ ไปก็ยังหาความสงบสุขไม่ได้ ยังวุ่นวานอยู่ด้วยโลภ โกรธ หลง ริษยา พยาบาท ใส่ร้ายเสียดสีกันอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ในโลกกว้างขวางซึ่งมนุษย์อยู่เป็นอันมากจะเป็นเช่นไร ในหมู่สัตว์ดิรัจฉาน อีกเล่า มีการเบียดเบียนล้างผลาญกันเพียงไร
โลกเร้าร้อนอยู่เสมอ เร้าร้อนด้วยเพลิงคือกิเลสบ้าง เพลิงคือทุกข์บ้าง เพลิงกิเลสคือ ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ โลภ โกรธ หลง นั่นเอง ซึ่งเป็นอกุศลมูลเป็นรากเหง้าของอกุศลซึ่งจะมีผลเป็นทุกข์ต่อไปส่วนเพลิงทุกข์นั้นหมายเอา เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นของทั่วไปแก่สัตว์โลกทั้งหลาย แม้มนุษย์จะก้าวหน้า ไปในทางวิชาการด้านต่าง ๆ มากมายแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังเอาชนะความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่ได้
งานค้นคว้าทางประเทศสวีเดน เปิดเผยว่า “นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบโดยบังเอิญซึ่งสารชนิดหนึ่งซึ่งสามารถหยุดยั้งความแก่ หรือทำคนแก่เช่นหนังเหี่ยวย่นให้กลับเต่งตึงอย่างหนุ่มสาวได้ แต่ยังไม่กล้ายืนยันหรือเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน เพราะยังไม่มั่นใจนัก” ข้อความเป็นทำนองนี้ อาจไม่ตรงทุกตัวอักษร คอยดูกันต่อไปว่า มนุษย์จะสามารถเอาชนะความแก่ได้หรือไม่ถ้าสมมุติว่าสามารถเอาชนะได้จะมีปัญหาอะไรตามมาอีก เพราะคนไม่รู้จักแก่
แต่พระอริยเจ้าทั้งสามารถเอาชนะความแก่ เจ็บ ตาย ได้แล้ว
โดยการที่ไม่ต้องเกิดมา พ้นจากสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิด
-->> เพลิงโทสะและพยาบาท รวมทั้งความโลภ ความหลงนั้นได้ชักจูงมนุษย์ให้ประหัตประหารห้ำหั่นกันมาตลอด ประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติโลกไม่เคยว่างเว้นจากกิจกรรมอันทารุณโหดร้ายเหล่านี้เลย
นักฆ่ามนุษย์ในประวัติศาสตร์มีอยู่เป็นจำนวนมากเขาอาจอยู่ในรูปของนักการเมือง นักปกครอง เขาปกครองคนเป็นจำนวน ๑๐ ล้าน ๑๐๐ ล้านแต่ใจของเขาเองถูกปกครองโดยโทสะ พยาบาท และความหลงผิด จึงสามารถฆ่ามนุษย์ด้วยตนเองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าบ้าง นำกันไปเป็นพวก ๆ แล้วฆ่ากันบ้าง
กรณีของนักฆ่ามนุษย์ในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่าง เช่น คือประธานาธิบดี อีดี อามิน แห่งประเทศอูกันดา ตลอดเวลา ๙ ปี (๒๕๑๖-๒๕๒๒) ที่เขาครองอำนาจอยู่นั้นประมาณกันว่า อามินฆ่าคนเสียถึงประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ (สามแสน) คน ชาวอูกันดาอยู่กันอย่างประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยุคทมิฬของอูกันดาอย่างแท้จริง เมื่อมีคนถูกฆ่ามากถึงเพียงนี้ลองคิดดูเถิดว่าประชาชนจะเดือดร้อนปานใด เพราะทุกคนมีญาติ มีพ่อแม่ พี่น้องและลูกเมียเขาเหล่านั้นมีจำนวนเท่าใดที่จะต้องพลอยเดือดร้อนกับผู้ที่ถูกฆ่า
ถ้านักฆ่ามนุษย์เหล่านี้คิดฆ่าความโกรธ เกลียดพยาบาท และความโลภ ความหลงของตนให้น้อยลงแล้วตนเองจะสงบสุข ผู้อื่นก็จะสงบสุขด้วยสักเพียงใด พระอริยเจ้าทั้งหลายจึงสรรเสริญการฆ่าความโกรธ ซึ่งมี รากเป็นพิษ มียอดหวาน
ที่ว่า มีรากเป็นพิษ มียอดหวาน นั้น อธิบายว่าความโกรธมีรากมาจากความหลง(โมหะ) ความไม่พอใจ(อรติ) ความหงุดหงิดรำคาญ (ปฏิฆะ) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพิษแก่จิตใจทั้งสิ้น แม้ตัวความโกรธเองก็เป็นพิษแก่ร่างกาย และจิตใจของผู้โกรธอย่างมาก ทำให้โรคหัวใจกำเริบ ทำให้ประสาทตึงเครียด กระเพาะและลำไส้ผิดปกติ จิตใจเร่าร้อน กระวนกระวาย อยากทำลายข้าวของทำร้ายคน เมื่อได้ทำลายหรือทำร้ายแล้ว ความโกรธจะสงบลง เพราะได้ระบายความร้อนภายในออกแล้วสบายใจขึ้นเหมือนน้ำเดือดที่มีทางระบาย อาการ อย่างนี้แหละเรียกว่ามียอดหวาน(มธุรัคคะ) แต่ในที่สุดก็นำไปสู่ทุกข์อีก และเป็นทุกข์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนคนดื่มน้ำหวานที่ผสมยาพิษ ทีแรกหวานแต่พอยาพิษออกฤทธิ์เท่านั้น ก็ได้เห็นโทษของยาพิษว่ามีอย่างไร ต้องเศร้าโศกเสียใจไปตลอดชีวิตก็มี การทำอะไรลงไปเพราะความโกรธนั้นเป็นการทำลายตนเองทำลายผู้อื่น มีความทุกข์ ความโศกเป็นผล เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://forums.212cafe.com/samatha/
--->> อุบายสำหรับลดละความโกรธกล่าวโดยย่อดังนี้
๑. พิจารณาให้เห็นโทษของความโกรธทั้งที่มีต่อตนเองและผู้อื่น เช่น ความโกรธทำลายคุณธรรมต่าง ๆ ที่เคยสั่งสมอบรมมาเป็นต้น
๒.พิจารณาให้เห็นคุณของขันติ (ความอดทน) และเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่นและสัตว์อื่น และคุณของการให้อภัยว่าเป็นคุณที่ยิ่งใหญ่ ผู้มีคุณธรรมเช่นนี้ ย่อมบรรลุถึงความยิ่งใหญ่ (มหัตตา) ผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่เคารพบูชาของคนทั้งหลาย ได้อาศัยคุณธรรมเช่นนี้มาแล้ว
๓. เมื่อความโกรธเกิดขึ้น จงรีบใช้ขันติและเมตตา ใช้ขันติอดกลั้นไว้ก่อนแล้วใช้น้ำคือเมตตารดบ่อย ๆ รดที่ใจ ซึ่งเร่าร้อนอยู่ด้วยความโกรธ ใจจะเย็นลง
๔. มองแง่ดีของเขาบ่อย ๆ ระลึกถึงความดีของเขาเสมอ ๆ เพราะคนเราย่อมมีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดี หรืออย่างน้อยก็มีทั้งส่วนที่เราพอใจและไม่พอใจ กล่าวคือส่วนใดที่เราพอใจเราก็ว่าดี ส่วนที่เราไม่พอใจ เราก็ว่าไม่ดี ที่จริงเขาอาจดีก็ได้คนอื่นอาจพอใจส่วนที่เราไม่พอใจก็ได้ มนุษย์เรามักตัดสินโลกตามความพอใจหรือไม่พอใจของตน ถ้าเรามองคนในแง่ดีไว้บ้าง ก็จะช่วยป้องกันความโกรธที่ยังไม่เกิดและช่วยระงับความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว
๕. พิจารณาตนเอง ติเตียนตนเองเสียบ้างที่เป็นคนขี้โกรธ อะไรนิด อะไรหน่อยก็โกรธ ไม่รู้จักละอายตนเอง เปรียบเหมือนคนขี้โรค มัวโทษนั่นโทษนี่มองแต่สิ่งอื่น ไม่หันมามองสุขภาพที่ทรุดโทรม ร่างกายที่อ่อนแอของตน เพื่อปรับปรุงตนเองให้ดีแล้ว อะไร ๆ อาจจะดีขึ้นเกินคาดก็ได้ พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
“จงเตือนตนเอง พิจารณาตนเอง
เขาผู้มีสติคุ้มครองตนได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข”
๖. พิจารณาถึงกฎแห่งกรรมอยู่เนือง ๆ ว่าเราและสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน ผู้ทำกรรมอย่างใด ย่อมได้รับผลกรรมอย่างนั้น เมื่อเขาทำชั่วผลชั่วย่อมตกถึงเขาเอง เราจะไปจัดการแทนกฎแห่งกรรมได้อย่างไร เราไม่มีหน้าที่เช่นนั้น แล้ววางเฉยเสีย ปล่อยให้กฎแห่งกรรมหรือคนที่เขามีหน้าที่จัดการกันไป ถ้าพอช่วยได้ก็ช่วยไป ถ้าช่วยไม่ได้ก็แล้วไป รู้จักปล่อยวางอารมณ์ปล่อยวางเหตุการณ์ อย่าแบกโลกหรือถือเป็นธุระของเราเสียหมด
๗. ระลึกถึงพระจริยาของพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ ที่ทรงเสียสละ ไม่ทรงโกรธผู้คิดร้าย ทำร้ายพระองค์ แต่ทรงใช้พระขันติพระเมตตาอยู่เนืองนิตย์ เราเล่าเป็นอะไรนักหนาจึงจะมีใครล่วงเกินไม่ได้
๘. ขอให้คิดว่าผู้ที่โกรธเรานั้น เขามีความทุกข์เพราะไฟคือความโกรธเผาลนมากอยู่แล้ว อย่าต้องไปโกรธตอบซ้ำเติมเขาอีกเลย
๙. คิดว่า คนเราดีกันไว้ เกื้อกูลกันไว้ ดีกว่าเกลียดกัน โกรธกัน เราอาจจะเกื้อกูลกันมาหลายชาติแล้วก็ได้ บางชาติอาจเป็นศัตรูกัน บางชาติเป็นมิตรกัน เช่นเรื่องภิกษุรูปหนึ่งได้อุบาสิกาคนหนึ่งอุปการะ ท่านบำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุอรหัตตผล ทั้งสองท่านระลึกชาติได้ จำได้ว่าชาติหนึ่งอุบาสิกาเคยช่วยชีวิตท่านไว้ อีกชาติหนึ่งเป็นภรรยาของท่านและฆ่าท่านตายเป็นมารดาและบุตรกันก็เคย
แม้ในชาติเดียวกันนี้บ้างช่วงชีวิตเราก็เป็นมิตรกันรักใคร่กัน ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน บางรายถึงกับรู้สึกว่าจะจากกันไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องล้มตายไปเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร แต่พออีกช่วงหนึ่งของชีวิตกลายเป็นศัตรูกันจนมองหน้ากันไม่ได้ ถึงกับทำลายชีวิตกันก็มี เมื่อยังไม่บรรลุธรรม สังสารวัฏนี้ช่างสับสนปนเปเหมือนกองหญ้าแห้งที่สุมกันอยู่เป็นภูเขา ต้นและปลายสับสนปนเปกันจนยากที่จะสางหรือจัดระเบียบได้ โปรดจำไว้ว่าดีกันไว้เกื้อกูลกันไว้ดีกว่าเป็นศัตรูกัน
๑๐. คิดไว้เสมอ ๆ ว่า คนเราทุกคนก็สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ (ความว่าง ) และวิญญาณ ประกอบกันหาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ เราโกรธใคร โกรธอะไร ถ้าโกรธคือโกรธ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และวิญญาณซึ่งหาตัวตนไม่ได้นั่นเอง
เมื่อหมั่นพิจารณาบ่อย ๆ ซึ่งโทษของความโกรธและคุณของเมตตาเป็นต้นอยู่เช่นนี้ ความโกรธย่อมจะระงับลงไป ที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ผู้ฆ่าความโกรธที่เกิดขึ้นได้เสมอ ๆ เมื่อนานเข้าก็จะเกิดความเคยชินในทางนั้นความโกรธไม่อาจครอบงำได้เป็นผู้ชนะความโกรธ ย่อมอยู่เป็นสุขในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เป็นที่สรรเสริญของพระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นที่เคารพนับถือและวางใจสนิทของผู้เขาใกล้คบหาสมาคมในฐานะเป็นผู้ไม่มีภัย ไม่มีเวร มีชีวิตเกษมสุข เป็นบัณฑิตสมพระพุทธภาษิตที่ว่า “เขมี อเวรี อภโย ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ ” แปลว่า “ผู้เกษมสุข ไม่มีเวร ไม่มีภัย อันนักปราชญ์เรียกท่านผู้เช่นนั้นว่าเป็นบัณฑิต”
ส่วนผู้มักโกรธและมีพิษร้ายจากความโกรธ พิษนั้นทำลายตนเองก่อนพ่นไปที่ผู้ใดก็ทำลายผู้นั้นด้วยเหมือน
อสรพิษซึ่งมีพิษร้าย เป็นที่ระแวงอันตรายของผู้เข้าใกล้พบเห็นและรู้เรื่อง ไม่เป็นที่วางใจสนิทของผู้คบหาสมาคมหวั่นใจอยู่เสมอว่า ไม่รู้เขาจะพ่นพิษร้ายออกมาเมื่อไรอีก ความหวั่นใจระแวงเช่นนี้ ทำให้ไม่สนิทใจในความรัก ไม่ไว้วางใจในความคุ้นเคย
ภรรยาผู้มักพ่นพิษใส่สามีเสมอนั้นย่อมเป็นที่เอือมระอาของสามี, สามีผู้มีพิษร้ายคือความโกรธ ก็เช่นเดียวกัน ย่อมเป็นที่เบื่อหน่ายของภรรยา คู่อื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันนี้ เช่น...
นายจ้างกับลูกจ้างเป็นต้น นายจ้างคนหนึ่ง ความโกรธของเขาได้ทำลายชีวิตเขา วันหนึ่งเขาโกรธลูกจ้างที่ชงกาแฟไม่ถูกใจและมีเรื่องโต้แย้งกันขึ้น เขาวิ่งไปเอาปืนมายิงลูกจ้าง แต่ล้มลงขาดใจตายเสียก่อนขณะปืนยังอยู่ในมือนั่นเอง แพทย์ลงความเห็นว่าเขาตายเพราะความโกรธ เขาโกรธจนหัวใจหยุดทำงานลงทันทีทันใด ความโกรธแค้นจึงเป็นไฟที่เผาตนเองและเผาผู้อื่นด้วยก่อความเดือดร้อนแก่ลูกหลานบริวารอยู่เนือง ๆ
ผู้หญิงรักความสวยงาม สาละวนแต่การแต่งหน้าแต่งตัวสรรหาเสื้อผ้าแพรพรรณอันเลอเลิศ ราคาแพงลิ่ว แต่ใบหน้าของหล่อนบูดบึ้ง ขึ้งเครียดในใจมีแต่อารมณ์ร้าย โกรธคนนั้นเกลียดคนนี้ ริษยาคนโน้น หมักหมมอยู่ด้วยอารมณ์เน่านานาประการ เปล่งวาจาแต่เรื่องนินทาว่าร้าย เสียดสี ไม่เว้นวัน ริมฝีปากซึ่งบรรจงแต่งเสียอย่างประณีตนั้น จะมีประโยชน์อะไร ถ้าวาจาที่เปล่ง ออกจากริมฝีปากเช่นนั้นมีแต่เรื่องสกปรกนานาประการ
ทำไมเธอจึงไม่หัดแต่งใบหน้าให้สวยเก๋ดูงามซึ้งโดยการแต่งอารมณ์และจิตใจให้ประณีต หรือให้มีความงามทางจิตใจด้วย ให้ใจงามด้วยคุณธรรมต่าง ๆ การแต่งหน้าและเสื้อผ้าแพรพรรณถือเป็นเพียงสิ่งเสริม ไม่ใช่สิ่งหลักที่จะต้องเอาใจใส่มากนัก
อารมณ์ของคนเป็นเครื่องแต่งใบหน้าและกิริยาวาจาของคนให้น่ารักหรือน่าเกลียดได้มากกว่าสิ่งภายนอก เมื่อท่านพูดด้วยความรัก วาจาของท่านจะต่างกับเมื่อพูดด้วยความเกลียดหรือโกรธสักเพียงใด ท่านเองก็เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้ว ท่านต้องฝึกหัดและเปลี่ยนแนวจิตเสียใหม่คือ พอนึกเกลียดหรือไม่ชอบผู้ใด จงรีบแผ่เมตตาให้ผู้นั้นทันที และแผ่เมตตาแก่ตัวท่านเองด้วย เพื่อไม่ให้ท่านตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ร้ายหรือความโกรธแค้นจริงอยู่วิธีนี้อาจผิดลำดับในการแผ่เมตตาอยู่บ้าง แต่จำเป็นทำเพราะถือเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นกรณีฉุกเฉินย่อมทำอะไรข้ามลำดับได้บ้าง เหมือนหมอลัดคิวให้คนไข้ที่ร่อแร่จวนจะตาย
ก่อนนอนและตื่นเช้าทุกวัน ขอให้ทำจิตให้ผ่องใส ด้วยการแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั่วหน้าว่า ขอผู้มีทุกข์ จงพ้นทุกข์ ผู้มีโศกจงพ้นโศก ผู้มีโรคจงพ้นโรค และผู้มีภัยจงพ้นภัย หลังจากนั้นขอให้สำรวมจิตในกรรมฐานบทใดบทหนึ่ง เสร็จแล้วตั้งใจให้อภัยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง-อย่างน้อยก็เพื่อความสุขสำราญของเราเองไปตลอดวัน ขอให้ทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อลืมความขุ่นเคืองโกรธแค้นใด ๆ ที่มีอยู่ จิตของเรารับอารมณ์ได้ขณะละอย่าง เมื่อเราผูกจิตไว้กับอารมณ์ดีแล้ว อารมณ์ร้ายย่อมไม่ได้โอกาส การงานที่เราทำทั้งวันจะช่วยให้เราเพลิดเพลินลืมความขุ่นเคือง โกรธแค้นและอารมณ์เศร้าหมองต่าง ๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ เชื่อว่าเราได้รับพรแห่งชีวิตตลอดวันและทุกวัน การขอพรและการให้พรนั้นดีอยู่ดอก แต่สู้การกระทำอันก่อให้เกิดพรไม่ได้ ท่านผู้รู้จึงว่าทำดีดีกว่าขอพร
ขอให้มีอุดมคติเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จไปแต่ละวัน แต่ละเดือนแต่ละปี จนไม่มีเวลาพอที่จะเสียไปกับความคิดอันเหลวไหลไร้สาระ เช่นความโกรธแค้น ขุ่นเคือง ความริษยา ความวิตกหมกมุ่นอันปรุงแต่งขึ้นเพื่อให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ คำว่า “ช่างเถอะ” จะช่วยให้อารมณ์ของเราแจ่มใสขึ้น จิตใจปลอดโปร่ง ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดมากเกินไป ความผิดพลาดบกพร่องเป็นสิ่งต้องมีในการทำงาน เราคิดและพูดว่า ช่างเถอะ แล้วทำใหม่ ที่พลาดไปเป็นบทเรียน
ขอให้ทุกท่าน มีความสุข ความเบิกบานใจ พ้นภัยจากพิษร้ายแห่งความโกรธแค้น ชิงชัง มนุษย์และสัตว์ทั้งมวลเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น ทุกข์ที่มีอยู่โดยสภาพแห่งสังขารก็มีอยู่มากแล้ว อย่าต้องไปเพิ่มทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยการเติมความโกรธแค้นชิงชังลงไปอีกเลย
พระอริยเจ้าทั้งหลาย สรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน ดังนี้แล...
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : พุทธปฏิภาณ โดย วศิน อินทสระ