ธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ นั้น เราไม่สมารถพบได้ด้วยสติปัญญาสามัญ
ธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ นั้น เราไม่สมารถพบได้ด้วยสติปัญญา(intellect) ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายได้...
สติปัญญาที่กล่าวถึงในข้อนี้ หมายถึงสติปัญญาในระดับการหาเหตุผลตามแบบตรรกศาสตร์ หรือการอนุมาน(คาดคะเน) ไม่ใช่สติปัญญาในระดับประสบการณ์ตรงที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
สติปัญญาในขั้นอนุมานนั้นอยู่ในพวกจินตามยปัญญา ปัญญาที่ได้จากการติดตามหาเหตุผล สติปัญญาในระดับนี้ไม่สามารถจะพบธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ได้ ที่เราได้พบเห็นได้รู้ลักษณะความเป็นไปของสิ่งต่างๆ นั้น มันเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งและเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วแปรเปลี่ยนไป
มีความจริงที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ ซึ่งไม่มีเหตุปัจจัยและพ้นจากความเปลี่ยนแปลง ข้อนี้หมายถึงความจริงในตัวเอง คือมันจริงอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น(ตถตา) ไม่เป็นอย่างอื่น(อนัญญตา) เช่น ความแก่ ความตายของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วนั้นเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ปรากฏแก่เราอยู่ในประสบการณ์ของเรา แม้จะเป็นจริงที่ตายตัวเด็ดขาดก็ตาม แต่มันก็เป็นเพียงความจริงชั้นนอกที่ปรากฏออกมา แต่ความจริงชั้นในและอยู่เบื้องหลังของปรากฏการณ์อันนี้ยังมีอีก เป็นกฎที่เฉียบขาดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนเด็ดเดี่ยวนั่นคือกฎหรือสภาวธรรมอันทำให้สัตว์ที่เกิดแล้วต้องแก่ต้องตาย กฎที่ว่านั้นคืออะไร ? คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตานั่นเอง สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
“ตถาคต จะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นก็คง
ดำรงอยู่อย่างนั้น คือเป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง กล่าวคือ
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้ง
ปวงเป็นอนัตตา ตถาคตเพียงแต่ได้ตรัสรู้ แทงทะลุปรุ
โปร่ง เมื่อตรัสรู้แล้ว แทงทะลุ จึงได้บอกแสดง
บัญญัติ เปิดเผย จำแนก และทำให้ง่ายเท่านั้น”
(อังคุตตรนิกาย 20/368/576)
จะต้องมีความจริงที่เป็นโลกุตตระอยู่เบื้องหลังความจริงที่เป็นปรากฏการณ์
ความจริงทางศีลธรรมหรือจริยธรรมในสังคมที่สอนให้คนเว้นจากการเบียดเบียนกัน ให้สงเคราะห์เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน ทุกคนยอมรับว่าข้อนี้เป็นความจริงที่ดี สังคมจึงมีจุดมุ่งหมายไปทางนี้ทั้งสิ้น แม้จะมีวิธีการที่ต่างกันก็ตาม อะไรคือสัจธรรมที่อยู่เบื้องหลังของจริยธรรมในสังคมข้อนี้ สัจจะอันสูงสุด ในเรื่องนี้ก็คือ ความรู้ชัด ความตระหนักแน่ว่า คนทุกคนสัตว์ทุกตัว รักสุขเกลียดทุกข์ ไม่ชอบให้ใครมาเบียดเบียนตน ประสงค์การสงเคราะห์เอื้อเฟื้อ
เราจะเห็นตัวอย่างในสังคมของพระอริยะ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ จะไม่มีการเบียดเบียนกันเลย พระโสดาบันและพระสกิทาคามีนั้น แม้จะมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ แต่กิเลสอย่างนี้ของท่านไม่รุนแรงถึงขั้นคุมไม่อยู่ถึงกับต้องเบียดเบียนผู้อื่น
อีกนัยหนึ่ง ศีลธรรม หรือจริยธรรมที่ดีงามนั้นจะต้องมีปรมัตถธรรมอยู่เบื้องหลัง อธิบายได้ด้วยปรมัตถธรรม ผู้ที่ไม่เข้าใจปรมัตถธรรมของศีลธรรมข้อนั้นๆ จะไม่สามารถเข้าใจในศีลธรรมข้อนั้นได้ และอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจไม่ได้ด้วย เพราะไม่เข้าใจความจริงที่อยู่เบื้องหลังของปรากฏการณ์ เปรียบเหมือนคนที่ไม่รู้ว่าฟ้าร้องเพราะอะไร จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องฟ้าร้องให้ถูกต้องได้ ทั้งๆ ที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ
มีความจริงอยู่ 2 อย่างซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งพุทธธรรม อย่างหนึ่งคือ สมมติสัจจะ อีกอย่างหนึ่ง คือปรมัตถสัจจะ
สมมติสัจจะคือความจริงระดับสมมติ ที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปรู้จักและยอมรับกันอยู่ เช่น ความเป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ ยศศักดิ์ฐานันดรต่างๆ ฝ่ายสังฆมณฑล เช่น สมณศักดิ์เป็นพระครู เจ้าคุณชั้นต่างๆ ล้วนเป็นสมมติสัจจะทั้งสิ้น เหมือนเราดูหนังละคร เขาผูกเรื่องขึ้น สมมติว่าคนนั้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คนนี้เป็นมเหสี คนโน้นเป็นเสนาบดีเป็นอำมาตย์ หรือเป็นชาวนาก็ล้วนแต่สมมติขึ้นแล้วดำเนินเรื่องไป ทำให้คนหัวเราะบ้าง ร้องไห้เพราะเศร้าโศกไปตามเรื่องนั้นบ้าง เกลียดคนนั้น รักคนนี้ในเรื่องหนังเรื่องละคร บางทีคนดูดูเพลินไปจนลืมว่าเรากำลังดูหนังดูละคร เอาตัวเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในเรื่องที่เขาสร้างขึ้นจึงหลงรักหลงชังตามไปด้วย
ในชีวิตจริงๆ ของคนเรา (ไม่ใช่หนังในละคร) ก็เป็นเรื่องทำนองนั้นเหมือนกัน ถ้าเผลอเพลิดเพลินไป หลงติดสมมติเข้าก็ทำให้ยุ่งใจ ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องจริงจังเกินไป เห็นเรื่องสมมติเป็นเรื่องจริง เช่นได้ยศแล้วหลงยศ เป็นเหตุยกตนข่มผู้อื่นที่ไม่มียศเช่นตน ผู้ที่มียศด้วยกันก็ข่มกันด้วยยศที่สูงกว่า
มองให้ละเอียดลงไปอีก คนสัตว์และสิ่งของในโลกนี้ก็ล้วนแต่สมมติทั้งนั้น อย่างนี้สมมติเรียกว่าคน อย่างนี้สมมติเรียกว่าสัตว์ อย่างนี้สมมติเรียกว่าต้นไม้ อย่างนี้โต๊ะ อย่างนี้เก้าอี้ เมื่อแยกย่อยออกไปก็ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ มีแต่ขันธ์ 5 ธาตุ 4 หรือธาตุ 6 ประชุมกันเข้าถูกส่วน เหมือนเหล็กบ้าง ไม้บ้าง ยางบ้าง สายไฟบ้าง กระจกบ้าง นำมาประกอบถูกส่วนให้แล่นไปได้ด้วยมีคนขับ เราสมมติเรียกว่ารถยนต์ สมดังที่ท่านกล่าวว่า
“ยถา หิ องฺคสมฺภารา โหติ สทฺโท รโถ อิติ
เอวํ ขนฺเธสุ สนฺเตสุโหติ สตฺโตติ สมฺมติ”
เมื่อขันธ์ 5 มีอยู่ การสมมติเรียกว่า “สัตว์” ก็มีได้
เหมือนการนำเอาสัมภาระต่างๆ มาประกอบกันเข้าแล้ว
เรียกว่า “รถ” ก็มีขึ้น”
นี่คือตัวอย่างแห่งความจริงที่เป็นสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ บุคคลผู้ต้องการศึกษาพุทธธรรมให้เขาใจลึกซึ้ง ไม่ให้สับสน จะต้องทำความเข้าใจในสัจจะทั้ง 2 ประการนี้ให้ดี เมื่อเข้าใจดีแล้วจะได้ไม่นำพระธรรม 2 ระดับมาขัดแย้งกัน มิฉะนั้นแล้วจะสับสนปนเป และเห็นว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าขัดกันเอง
ยกตัวอย่าง ทรงสอนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่อีกที่หนึ่งทรงสอนว่า ตัวตนไม่มี (อนัตตา)
ที่หนึ่งทรงสอน ให้สงเคราะห์บุตรภรรยา อีกที่หนึ่งทรงสอนว่า บุตรไม่มี ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จะมีอย่างไร ดังนี้เป็นต้น ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่าโดยปริยายแรกทรงแสดงโดยสมมติสัจจะ ปริยายหลังทรงแสดงโดยปรมัตถสัจจะ แล้วความสับสนจะไม่มี เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างความจริง 2 อย่างนี้ ย่อมไม่สามารถเข้าใจพุทธธรรมที่ลึกซึ้งได้...
ไม่มีความเห็น