เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
เรื่องเกี่ยวกับองค์พระพุทธเจ้า
1.
เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดยสกุลบุตรให้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว
บิดาของท่านยสะออกติดตามไปพบรองเท้าของท่านยสะวางอยู่ที่ป่าอิสิปตนะ
จึงเดินเข้าไปยังที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นบิดาของท่านยสะมาแต่ไกล
ทรงบันดาลฤทธิ์ (อิทธาภิสังขาร)
ไม่ให้เศรษฐีเห็นบุตรของตน
เมื่อเศรษฐีทูลถามว่า ทรงเห็นสกุลบุตรบ้างไหม?
พระพุทธองค์ตรัสว่า “เชิญนั่งก่อน”
บางทีท่านนั่งอยู่ตรงนี้อาจจะเห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกันก็ได้”
พระศาสดาทรงแสดงธรรมคืออนุปุพพิกถา 5 และอริยสัจ 4
ให้บิดาของท่านยสะบรรลุโสดาปัตติผล ณ ที่นั้น
ฝ่ายท่านยสะฟังธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแก่บิดา
พิจารณาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง
เป็นพระอรหันต์พระศาสดาทรงทราบดังนั้น จึงทรงคลาย
อิทธาภิสังขาร คือทรงคลายฤทธิ์ที่กำบังท่านยสะไว้
บิดาของท่านยสะจึงได้เห็นบุตรของตนนั่งอยู่ที่นั้นเอง
2. ทรงแสดงปาฏิหาริย์เป็นอันมาก เมื่อเสด็จโปรดชฏิล
3 พี่น้อง
เพราะชฏิลพวกนั้นมีทิฐิมานะมากไม่เคารพนับถือโดยง่าย
จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เช่น
2.1 ทรงทำให้ควันและไฟปรากฏขึ้นทั่วโรงบูชาไฟของชฏิล
จนพวกชฏิลเข้าใจผิดคิดว่าโรงบูชาไฟถูกไฟไหม้
2.2 วันหนึ่งอุรุเวลกัสสปเตรียมบูชายัญเป็นการใหญ่
ประชาชนที่เคารพนับถือจะมากันมาก เขาดำริว่าไฉนหนอพรุ่งนี้
พระสมณะรูปนั้นจะไม่มาฉันในสำนักของเราเพราะถ้าสมณะรูปนั้นมา
ท่านมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
คนทั้งหลายจะพึงเลื่อมใสท่านลาภสักการะของเราจะเสื่อม
พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิด ของเขาแล้ว
วันนั้นเสด็จไปบิณฑบาตเสียในที่ไกลและเสวยที่อื่น วันรุ่งขึ้น
เมื่ออุรุเวลกัสสปทูลถามว่าเมื่อวานทำไมจึงไม่มา
ตรัสถามว่า ท่านคิดมิใช่หรือว่าทำอย่างไรสมณะรูปนี้จะไม่มา
2.3 พวกชฏิลเตรียมผ่าฟืนไว้บูชาไฟ แต่ไม่สามารถจะผ่าได้
เพราะพระผู้มีพระภาคทรงบันดาลฤทธิ์
แต่พอพระองค์ตรัสว่าจงผ่าเถิด พวกชฏิลก็ผ่าได้
เมื่อพวกชฏิลจะก่อไฟก็ ก่อไม่ติด เมื่อทรงอนุญาตแล้วทรงก่อติด
พอจะดับไฟก็ดับไม่ได้
เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ดับจึงดับได้
2.4 เกิดฝนตกน้ำท่วม ที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ก็ถูกน้ำท่วม
จึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ (ทรงแหวกน้ำ)
แล้วเสด็จจงกรม (ทรงพระพุทธดำเนินไป – มา)
อยู่ที่ภาคพื้น มีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง
อุรุเวสกัสสปและบริวารมาเห็นแล้วประหลาดใจมาก
พระผู้มีพระภาคเสด็จขึ้นสู่อากาศแล้วลงประทับในเรือลำหนึ่ง
แม้ทรงแสดงปาฏิหาริย์นานาประการอย่างนี้
อุรุเวลกัสสปรู้สึกทึ่งมาก ยอมรับว่าสมณะนี้มีฤทธ์มาก
มีอานุภาพมากก็จริง แต่คงมิได้เป็นพระอรหันต์เช่นตน
พระพุทธองค์ทรงทราบความคิดของเขามาตลอดในที่สุดตรัสว่า
กัสสป
ท่านมิได้อรหันต์ดอกปฏิปทาที่ทำให้เป็นอรหันต์ของท่านก็ไม่มี
เมื่อตรัสดังนี้
อุรุเวลกัสสปจึงได้ความสังเวชสลดใจซบศีรษะลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคและขอบวช
พระพุทธองค์ทรงเตือนให้ปรึกษากับบริวารให้ดีเสียก่อน
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://forums.212cafe.com/samatha/
เรื่องที่เกี่ยวกับพระสาวก
1. เรื่องพระปิลินทวัจฉะเนรมิตเสวียนหญ้าให้เป็นมาลัยทองคำ
เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพระปิลิทัจฉะ (สาวกผู้เป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของเทวดา) กำลังให้คนทำเงื้อมเขาแห่งหนึ่งให้สะอาดเรียบร้อยเพื่อทำเป็นที่หลีกเร้นหาความสงบในเขตนครราชคฤห์
พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนาแห่งแคว้นมคธ (พระเจ้าแผ่นดินมคธ) เสด็จเข้าไปหาท่านปิลินทวัจฉะ ทรงทราบเรื่องราวที่พระปิลินทัจฉะกำลังให้คนทำความสะอาด เงื้อมเขาอยู่จึงเรียนถามท่านว่า ต้องการคนทำการวัดมาช่วยบ้างไหม? พระปิลินทวัจฉะทูลว่า เรื่องคนทำการวัดนี้ พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงอนุญาต พระเจ้าพิมพิสารจึงเรียนว่า “ถ้าพระคุณเจ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงอนุญาตแล้ว จะทรงถวายคนทำงานวัด”
พระปิลินทวัจฉะอนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ส่งสมณทูตไปเมือง สาวัตถี (เวลานั้นพระศาสดาประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมื่องสาวัตถี) กราบทูลเรื่องราวที่พระเจ้าพิมพิสารมีราชศรัทธาจะถวายคนทำการวัด จะทรงอนุญาตหรือไม่ พระผู้มีพระภาคทรงประชุมสงฆ์อนุญาตให้มีคนทำการวัดได้
วันต่อมา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาพระปิลินทวัจฉะทูลถามถึงเรื่องนั้น พระปิลินทวัจฉะทูลว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแล้ว พระราชาตรัสว่า พระราชาตรัสว่า จะถวายคนวัดมาแต่แล้วก็ทรงลืม กาลเวลาล่วงไปนาน จึงทรงระลึกได้ ตรัสถามอำมาตย์ว่าได้ถวายคนวัดแก่พระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะแล้วหรือยัง อำมาตย์ทูลว่า ยัง ตรัสถามว่าล่วงเลยมากี่วันแล้ว ทูลว่า ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปี แล้ว (ในตำราบอกว่า 500 วัน) จึงถวายคนทำการวัดไป 500 คน ตั้งเป็นหมู่บ้านหนึ่งต่างหาก เรียกว่า หมู่บ้านอารามิก (คนวัด) บ้าง, หมู่บ้านปิลินทวัจฉะบ้าง
คนพวกนั้นก็เลื่อมใส พระปิลินทวัจฉะท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้นเสมอวันหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตที่เรือนหนึ่ง บุตรีของหญิงคนวัดกำลังร้องไห้ ท่านถามว่า เขาร้องไห้ทำไม
“เขาอยากได้ดอกไม้สวย อยากได้เครื่องแต่งกายงาม ๆ แม่ของเด็กหญิงกราบเรียนท่าน
“ จะเอาไปทำไม?” ท่านถาม
“เขามีมหรสพเจ้าค่ะ ในหมู่บ้าน, ลูกอิฉันเห็นเด็กคนอื่น แต่งกายกันสวย ๆ มีดอกไม้งาม ๆ ก็อยากมีบ้าง อิฉันบอกว่า เราเป็นคนจนจะเอาดอกไม้และเครื่องแต่งกายงาม ๆ มาจากไหน มันไม่ฟัง ร้อยไห้อยู่นี่แหละเจ้าค่ะ”
“นั่นอะไร” พระถามถึงวัตถุสิ่งหนึ่ง
“เสวียนหญ้า เจ้าค่ะ” หญิงแม้บ้านตอบ
“เอามานี่ซิ”
เมื่อได้เสวียนหญ้าแล้ว พระเถระอธิษฐานให้เสวียนหญ้าเป็นทองคำ พอเด็กสวมศีรษะเท่านั้น เสวียนหญ้าได้เป็นทองคำสุกปลั่งสวยงาม เป็นดอกไม้ทองคำที่งดงามเหลือเกินแม้ในพระราชวังของพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เคยมี
ชาวบ้านในหมู่เดียวกัน ทราบเรื่องนี้ คือเพียงแต่เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งสวมมาลัยทองคำบนศีรษะ จะเป็นเพราะริษยาหรือเพราะเข้าใจผิดก็ตาม ได้กราบทูลเรื่องที่เด็กหญิงคนหนึ่งมีมาลัยทองคำ เห็นจะเป็นเพราะขโมยมาเป็นแน่แล้ว
พระเจ้าพิมพิสารทรงเชื่อ จึงรับสั่งให้จองจำทุกคนในครอบครัวนั้น วันรุ่งขึ้นพระปิลินทวัจฉะไปบิณฑบาตที่เรือนนั้นอีก ไม่เห็นใคร จึงถามเพื่อนบ้าน ทราบเรื่องแล้วรีบเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารทูลถามว่า ที่ให้จองจำคนทำการวัดนั้นด้วยเรื่องอะไร?
“เขาต้องเป็นขโมยแน่ พระคุณเจ้า เขาเป็นคนจนจะเอามาลัยทองคำสวยงามอย่างนี้มาจากไหน?”
พระปิลินทวัจฉะจึงอธิฐานขอให้ปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทองคำ ทันใดปราสาททั้งหลายได้กลายเป็นทองคำต่อพระพักตร์พระเนตรของพระเจ้าพิมพิสารนั่นเองแล้วทูลถามว่า “มหาบพิตร, นี่ทองคำมากมายทรงได้มาจากไหน?”
พระราชาทรงเข้าพระทัยและรับสั่งให้ปล่อยครอบครัวคนทำงานวัดนั้นไป
เรื่องพระสารีบุตร
เช้าวันหนึ่ง พระสารีบุตรลงจากภูเขาคิชฌกุฏพร้อมด้วยภิกษุจำนวนมากได้เห็นกองไม้กองใหญ่ในที่แห่งหนึ่ง จึงพูดกับภิกษุทั้งหลายว่า
อาวุโส หากว่าภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีความชำนาญทางจิตจะพึงอธิฐานว่า ขอให้กองไม้นั้นเป็นดิน กองไม้นั้นก็จะเป็นดินทันทีทีเดียวเพราะเหตุไร? เ
พราะกองไม้นั้นมีธาตุดินอยู่ ถ้าภิกษุเช่นนั้นอธิษฐานกองไม้นั้นให้เป็นน้ำ ไฟ หรือลม กองไม้นั้นก็จะเป็นอย่างที่ท่านอธิฐานทีเดียว เพราะว่าในกองไม้นั้นมีธาตุ น้ำ ไฟ และลมอยู่
เธอจะอธิฐานให้กองไม้นั้นงาม หรือไม่งามก็ได้ เพราะในกองไม้นั้นมีทั้งสุภธาตุและอสุภธาตุอยู่
สำหรับองค์พระพุทธเจ้าเองนั้นมีเรื่องเล่าว่า สามารถจะอธิษฐานให้ภูเขาทั้งลูกเป็นทองคำได้ ถ้าทรงพระประสงค์ แต่ทรงเห็นว่า ทำอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร คนโลภจะแย่งชิงกัน ฆ่าฟันกันตายหมด แม้ภูเขาทองคำทั้งลูกก็คงไม่พอแก่ความต้องการของคน ๆเดียว แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำก็ไม่มีประโยชน์ สู้กำจัดความโลภไม่ได้
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงเรื่องมหัศจรรย์ไว้มากมาย ซึ่งเป็นวิสัยของท่านผู้บรรลุนิพพานแล้ว จะทำได้แต่ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาสามัญ ขอยกมากล่าวอีกสักตัวอย่างหนึ่ง คือ เรื่องพระเรวัตร น้องชายพระสารีบุตร และเป็นน้องคนสุดท้อง น้องคนอื่น ๆ ของพระสารีบุตรทั้งหญิงและชายได้ออกบวชตามท่านกันหมดแล้ว คือ น้องหญิง 3 คนชื่อ จาลา อุปจาลา และ สีสุปจาลา น้องชาย 2 คน จุนทะ และอุปเสทะ
มารดาของท่านเกรงว่า พระสารีบุตรจะชวนน้องชายคนเล็กบวชเสียอีก จึงคิดจะผูกเรวัตรกุมารไว้ให้มั่นด้วยเครื่องผูกคือการครองเรือน จึงจัดแจงให้แต่งงานตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
เมื่อญาติประชุมกันอวยพรให้คู่บ่าวสาว ญาติทางฝ่ายหญิงได้กล่าวว่า “ขอเจ้าจงเห็นธรรมที่ยายของเจ้าเห็นแล้ว จงมีอายุยืนนานเหมือนยายของเจ้า
เรวัตรกุมาร สงสัยว่าอะไรคือธรรมที่ยายของเด็กหญิงเห็นแล้ว คนไหนคือยายของเด็กหญิง เขาถามญาติทางฝ่ายหญิง พวกญาติได้บอกให้เขารู้จักหญิงคนหนึ่งซึ่งมีอายุได้ 120 ปี ฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกง
เรวัตรกุมารถามว่า หญิงที่เขาแต่งงานด้วยต่อไปจะต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันหรือได้รับคำตอบว่า ถ้าอยู่นานไปก็จะต้องเป็นเหมือนกันอย่างนั้น
เรวัตรกุมารสลดใจว่า “สรีระนี้ แม้ดูงาม แต่ไม่นานนัก ชราก็จะมากลืนความงามเหล่านี้เสียหมดสิ้น อุปติสสะพี่ของเราคงเห็นเหตุนี้แล้วจึงออกบวช เราเองก็ควรจะหนีออกบวชเสียในวันนี้เดียว”
เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จแล้ว พวกญาติได้อุ้มเขาขึ้นสู่ยานกับเจ้าสาวพากันกลับบ้าน เขานั่งในยานไปได้หน่อยหนึ่งบอกญาติว่าปวดท้องอุจจาระ ขอลงถ่ายอุจจาระ พวกญาติก็หยุดยานคอย
เขาทำดังนี้บ่อย ๆ หลายครั้ง พวกญาติเห็นว่าเขาไป ๆ มา ๆ บ่อย ๆ จึงมิได้ระวังรักษาเข้มแข็ง ในครั้งสุดท้ายเขาบอกให้ญาติขับยานไปเรื่อย ๆ ก่อน เขาเสร็จธุระแล้วจะเดินตามไป เมื่อได้โอกาสก็หนีไปยังสำนักภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 รูป ขอบวชกับภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้มีอายุท่านประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อม พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นพระราชโอรส หรือบุตรของอำมาตย์ จักให้ท่านบวชได้อย่างไร?”
“ท่านไม่รู้จักกระผมหรือ ?” เรวัตรกุมารถาม
“ไม่รู้จัก”
“กระผมเป็นน้องชายของอุปติสสะ”
“ก็ใครเล่าคืออุปติสสะ?”
“ท่านผู้เจริญ ! ท่านเรียกพี่ชายกระผมว่า สารีบุตรเมื่อกระผมเรียกชื่อเดิมว่าอุปติสสะพวกท่านจึงไม่รู้จัก”
ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า
“ถ้ากระนั้นมาเถิด พี่ชายของท่านสั่งไว้แล้วเหมือนกัน ว่าถ้าท่านมาขอบวชให้บวชให้
เมื่อบวชแล้ว ภิกษุทั้งหลายได้ส่งข่าวไปบอกพระสารีบุตรเถระ พระสารีบุตรทูลลาพระศาสดาว่าจะไปเยี่ยมน้องชาย แต่พระศาสดาทรงขอร้องว่าอย่าเพิ่งไปเลยให้รออยู่ก่อนล่วงไปอีก 2-3 วัน พระสารีบุตรทูลลาอีก พระศาสดาทรงขอร้องอย่างเดิม และตรัสว่าพระองค์ก็จะเสด็จไปเหมือนกัน
ฝ่ายสามเณรเรวัตรคิดว่า “ถ้าเราจะอยู่ที่นี้ พวกญาติอาจตามมาพบได้ จึงเรียนวิธีทำกัมมฐานจนถึงพระอรหันต์แล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปในป่าไม้สะแก ลึกเข้าไปอีกประมาณ 30 โยชน์ ได้บรรลุอรหันต์ผลในพรรษานั่นเอง
เมื่อออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรทูลลาพระศาสดาเพื่อเยี่ยมน้องชายอีก พระทศพลตรัสว่า พระองค์ก็จะเสด็จไปเหมือนกัน
พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกเป็นอันมาก เสด็จไปเยี่ยมสามเณรเรวัตร เมื่อไปได้หน่อยหนึ่งถึงทาง 2 แพร่ง พระอานนท์ยืนอยู่ที่ทางสองแพร่ง ทูลพระศาสดาว่า
“พระเจ้าข้า มีทางอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งอ้อมประมาณ 60 โยชน์ มีมนุษย์อยู่ตลอดทางอีกทางหนึ่งตรงประมาณ 30 โยชน์ เป็นที่อยู่ของพวกอมนุษย์ จะเสด็จไปทางใด?”
“สีวลี*มากับพวกเราด้วยมิใช่หรือ อานนท์?”
“มาด้วย พระเจ้าข้า”
“ถ้าสีวลีมาด้วย พวกเราควรไปทางตรงนั่นแหละ
ตำนานเล่าว่า ครั้งนั้น พวกเทพเจ้าได้ช่วยเหลือภิกษุสงฆ์เป็นอันมากทั้งเรื่องที่พัก อาศัย และอาหาร เพราะเทพเจ้าเหล่านั้นคิดว่า “เราจักทำสักการะแก่พระสีวลีเถระพระผู้เป็นเจ้าของเรา”
ตลอดระยะทางกันดาร 30 โยชน์ พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ได้อาศัยบุญของพระสีวลีโดยตลอด
ฝ่ายพระเรวัตรเถระ (ความจริงยังเป็นสามเณร แต่ที่เรียกว่าพระเถระเพราะท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว) ทราบการเสด็จมาของพระศาสดาและภิกษุสงฆ์แล้ว ได้เนรมิตที่อยู่สำหรับภิกษุสงฆ์ และที่ประทับของศาสดาด้วยฤทธิ์ของตน
พระศาสดาประทับอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่ง ได้ทรงอาศัยบุญของพระสีวลีเรื่องอาหาร
บรรดาภิกษุทั้งหลายที่มาพักอยู่ที่นั้น มีภิกษุแก่ 2 รูปคิดติเตียนพระเรวัตรว่า “ภิกษุนี้รูปเดียว ทำการก่อสร้างเสนาสนะมากมายอย่างนี้ จะมีเวลาบำเพ็ญสมณธรรมอย่างไร พระศาสดาทรงเห็นแก่หน้าว่าเป็นน้องชาย พระสารีบุตรจึงเสด็จมาสู่สำนักของเธอผู้ประกอบนวกรรม (การก่อสร้าง) เห็นปานนี้”
วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทรงทราบความคิดของภิกษุ 2 รูปนั้นแล้ว เมื่อประทับอยู่ที่นั้นสิ้นเดือนหนึ่งแล้ว ในวันเสด็จออกได้ทรงอธิษฐานให้ภิกษุ 2 รูป นั้นลืมบริขารบางอย่างไว้ เช่น หลอดน้ำมัน และรองเท้า เป็นต้น เมื่อเสด็จออกไปภายนอกได้หน่อยหนึ่งก็ทรงคลายฤทธิ์
ทั้งสองรูปรู้สึกตัวว่าตนได้ลืมของไว้ จึงกลับไปอย่างตะลีตะลาน ถูกหนามไม้สะแกตำเท้า พบห่อสิ่งของ ๆ ตนแขนห้อยอยู่ที่ต้นสะแก เพราะเวลานั้นพระเรวัตรเถระก็คลายฤทธิ์แล้วเหมือนกัน เสนาสนะที่ท่านสร้างขึ้นด้วยฤทธิ์จึงหายไปด้วย
พระศาสดาเสด็จกลับมายังบุพพาราม ภิกษุแก่ 2 รูปนั้นล้างหน้าแต่เช้า ไปดื่มข้าวต้มในเรือนของนางวิสาขาผู้ถวายอาคันตุกภัตร
นางวิสาขาถามถึงที่อยู่ของพระเรวัตรว่ารื่นรมย์น่าอยู่หรือไม่ ภิกษุพวกนั้นตอบว่ารกไปด้วยไม่สะแก มีหนามมากมายเหมือนที่อยู่ของพวกเปรต
ต่อมาอีกหน่อยหนึ่ง มีภิกษุหนุ่ม 2 รูปมา นางวิสาขาถวายข้าวต้มแล้ว ถามถึงเรื่องที่อยู่ของพระเรวัตรอีก ภิกษุหนุ่ม 2 รูปตอบว่า น่ารื่นรมย์ไม่อาจจะพรรณนาประดุจเทวสภา ประดุจเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์
นางวิสาขาเป็นโสดาบัน เข้าใจในความเห็นที่แตกต่างกันของภิกษุ 2 พวกว่า พวกหนึ่งคงเห็นสถานที่เมื่อพระเถระยังไม่คลายฤทธิ์ พวกหนึ่งคงเห็นเมื่อคลายฤทธิ์แล้ว
นางคิดว่า จักทูลถามพระศาสดาเมื่อพระศาสดาแสด็จมาเสวยเสร็จแล้วจึงทูลให้ทราบว่า มีภิกษุ 2 พวก มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่อยู่ของพระเรวัตรอย่างไหนถูกต้อง
พระศาสดาตรัสว่า
“อุบาสิกา จะเป็นบ้านหรือเป็นป่าก็ตาม พระอรหันต์อยู่ที่ใด ที่นั้นน่ารื่นรมย์” ดังนี้เป็นต้น