เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

เรื่องเกี่ยวกับองค์พระพุทธเจ้า


1.  เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดยสกุลบุตรให้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว   บิดาของท่านยสะออกติดตามไปพบรองเท้าของท่านยสะวางอยู่ที่ป่าอิสิปตนะ   จึงเดินเข้าไปยังที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเห็นบิดาของท่านยสะมาแต่ไกล   ทรงบันดาลฤทธิ์  (อิทธาภิสังขาร)   ไม่ให้เศรษฐีเห็นบุตรของตน  


เมื่อเศรษฐีทูลถามว่า   ทรงเห็นสกุลบุตรบ้างไหม? พระพุทธองค์ตรัสว่า  “เชิญนั่งก่อน”   บางทีท่านนั่งอยู่ตรงนี้อาจจะเห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกันก็ได้”


พระศาสดาทรงแสดงธรรมคืออนุปุพพิกถา  5  และอริยสัจ  4   ให้บิดาของท่านยสะบรรลุโสดาปัตติผล   ณ  ที่นั้น   ฝ่ายท่านยสะฟังธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแก่บิดา   พิจารณาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง   จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง   เป็นพระอรหันต์พระศาสดาทรงทราบดังนั้น   จึงทรงคลาย  อิทธาภิสังขาร    คือทรงคลายฤทธิ์ที่กำบังท่านยสะไว้   บิดาของท่านยสะจึงได้เห็นบุตรของตนนั่งอยู่ที่นั้นเอง



2.  ทรงแสดงปาฏิหาริย์เป็นอันมาก   เมื่อเสด็จโปรดชฏิล  3  พี่น้อง  เพราะชฏิลพวกนั้นมีทิฐิมานะมากไม่เคารพนับถือโดยง่าย  จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ   เช่น


2.1 ทรงทำให้ควันและไฟปรากฏขึ้นทั่วโรงบูชาไฟของชฏิล   จนพวกชฏิลเข้าใจผิดคิดว่าโรงบูชาไฟถูกไฟไหม้


2.2  วันหนึ่งอุรุเวลกัสสปเตรียมบูชายัญเป็นการใหญ่   ประชาชนที่เคารพนับถือจะมากันมาก  เขาดำริว่าไฉนหนอพรุ่งนี้  พระสมณะรูปนั้นจะไม่มาฉันในสำนักของเราเพราะถ้าสมณะรูปนั้นมา  ท่านมีฤทธิ์มาก   มีอานุภาพมาก  คนทั้งหลายจะพึงเลื่อมใสท่านลาภสักการะของเราจะเสื่อม  


พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิด   ของเขาแล้ว   วันนั้นเสด็จไปบิณฑบาตเสียในที่ไกลและเสวยที่อื่น   วันรุ่งขึ้น   เมื่ออุรุเวลกัสสปทูลถามว่าเมื่อวานทำไมจึงไม่มา   ตรัสถามว่า  ท่านคิดมิใช่หรือว่าทำอย่างไรสมณะรูปนี้จะไม่มา


2.3   พวกชฏิลเตรียมผ่าฟืนไว้บูชาไฟ   แต่ไม่สามารถจะผ่าได้   เพราะพระผู้มีพระภาคทรงบันดาลฤทธิ์  แต่พอพระองค์ตรัสว่าจงผ่าเถิด   พวกชฏิลก็ผ่าได้   เมื่อพวกชฏิลจะก่อไฟก็ ก่อไม่ติด  เมื่อทรงอนุญาตแล้วทรงก่อติด  พอจะดับไฟก็ดับไม่ได้   เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ดับจึงดับได้


2.4 เกิดฝนตกน้ำท่วม  ที่ที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ก็ถูกน้ำท่วม  จึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ (ทรงแหวกน้ำ)   แล้วเสด็จจงกรม  (ทรงพระพุทธดำเนินไป – มา)   อยู่ที่ภาคพื้น  มีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง   อุรุเวสกัสสปและบริวารมาเห็นแล้วประหลาดใจมาก  พระผู้มีพระภาคเสด็จขึ้นสู่อากาศแล้วลงประทับในเรือลำหนึ่ง


แม้ทรงแสดงปาฏิหาริย์นานาประการอย่างนี้   อุรุเวลกัสสปรู้สึกทึ่งมาก  ยอมรับว่าสมณะนี้มีฤทธ์มาก  มีอานุภาพมากก็จริง   แต่คงมิได้เป็นพระอรหันต์เช่นตน   พระพุทธองค์ทรงทราบความคิดของเขามาตลอดในที่สุดตรัสว่า   กัสสป  ท่านมิได้อรหันต์ดอกปฏิปทาที่ทำให้เป็นอรหันต์ของท่านก็ไม่มี



เมื่อตรัสดังนี้   อุรุเวลกัสสปจึงได้ความสังเวชสลดใจซบศีรษะลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคและขอบวช   พระพุทธองค์ทรงเตือนให้ปรึกษากับบริวารให้ดีเสียก่อน


.............................................

 

อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/

พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา  http://forums.212cafe.com/samatha/

 

หมายเลขบันทึก: 215994เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 12:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เรื่องที่เกี่ยวกับพระสาวก

1. เรื่องพระปิลินทวัจฉะเนรมิตเสวียนหญ้าให้เป็นมาลัยทองคำ

เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพระปิลิทัจฉะ (สาวกผู้เป็นเอตทัคคะในทางเป็นที่รักของเทวดา) กำลังให้คนทำเงื้อมเขาแห่งหนึ่งให้สะอาดเรียบร้อยเพื่อทำเป็นที่หลีกเร้นหาความสงบในเขตนครราชคฤห์

พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนาแห่งแคว้นมคธ (พระเจ้าแผ่นดินมคธ) เสด็จเข้าไปหาท่านปิลินทวัจฉะ ทรงทราบเรื่องราวที่พระปิลินทัจฉะกำลังให้คนทำความสะอาด เงื้อมเขาอยู่จึงเรียนถามท่านว่า ต้องการคนทำการวัดมาช่วยบ้างไหม? พระปิลินทวัจฉะทูลว่า เรื่องคนทำการวัดนี้ พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงอนุญาต พระเจ้าพิมพิสารจึงเรียนว่า “ถ้าพระคุณเจ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงอนุญาตแล้ว จะทรงถวายคนทำงานวัด”

พระปิลินทวัจฉะอนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ส่งสมณทูตไปเมือง สาวัตถี (เวลานั้นพระศาสดาประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมื่องสาวัตถี) กราบทูลเรื่องราวที่พระเจ้าพิมพิสารมีราชศรัทธาจะถวายคนทำการวัด จะทรงอนุญาตหรือไม่ พระผู้มีพระภาคทรงประชุมสงฆ์อนุญาตให้มีคนทำการวัดได้

วันต่อมา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาพระปิลินทวัจฉะทูลถามถึงเรื่องนั้น พระปิลินทวัจฉะทูลว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแล้ว พระราชาตรัสว่า พระราชาตรัสว่า จะถวายคนวัดมาแต่แล้วก็ทรงลืม กาลเวลาล่วงไปนาน จึงทรงระลึกได้ ตรัสถามอำมาตย์ว่าได้ถวายคนวัดแก่พระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะแล้วหรือยัง อำมาตย์ทูลว่า ยัง ตรัสถามว่าล่วงเลยมากี่วันแล้ว ทูลว่า ล่วงเลยมาเกือบ 2 ปี แล้ว (ในตำราบอกว่า 500 วัน) จึงถวายคนทำการวัดไป 500 คน ตั้งเป็นหมู่บ้านหนึ่งต่างหาก เรียกว่า หมู่บ้านอารามิก (คนวัด) บ้าง, หมู่บ้านปิลินทวัจฉะบ้าง

คนพวกนั้นก็เลื่อมใส พระปิลินทวัจฉะท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้นเสมอวันหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตที่เรือนหนึ่ง บุตรีของหญิงคนวัดกำลังร้องไห้ ท่านถามว่า เขาร้องไห้ทำไม

“เขาอยากได้ดอกไม้สวย อยากได้เครื่องแต่งกายงาม ๆ แม่ของเด็กหญิงกราบเรียนท่าน

“ จะเอาไปทำไม?” ท่านถาม

“เขามีมหรสพเจ้าค่ะ ในหมู่บ้าน, ลูกอิฉันเห็นเด็กคนอื่น แต่งกายกันสวย ๆ มีดอกไม้งาม ๆ ก็อยากมีบ้าง อิฉันบอกว่า เราเป็นคนจนจะเอาดอกไม้และเครื่องแต่งกายงาม ๆ มาจากไหน มันไม่ฟัง ร้อยไห้อยู่นี่แหละเจ้าค่ะ”

“นั่นอะไร” พระถามถึงวัตถุสิ่งหนึ่ง

“เสวียนหญ้า เจ้าค่ะ” หญิงแม้บ้านตอบ

“เอามานี่ซิ”

เมื่อได้เสวียนหญ้าแล้ว พระเถระอธิษฐานให้เสวียนหญ้าเป็นทองคำ พอเด็กสวมศีรษะเท่านั้น เสวียนหญ้าได้เป็นทองคำสุกปลั่งสวยงาม เป็นดอกไม้ทองคำที่งดงามเหลือเกินแม้ในพระราชวังของพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เคยมี

ชาวบ้านในหมู่เดียวกัน ทราบเรื่องนี้ คือเพียงแต่เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งสวมมาลัยทองคำบนศีรษะ จะเป็นเพราะริษยาหรือเพราะเข้าใจผิดก็ตาม ได้กราบทูลเรื่องที่เด็กหญิงคนหนึ่งมีมาลัยทองคำ เห็นจะเป็นเพราะขโมยมาเป็นแน่แล้ว

พระเจ้าพิมพิสารทรงเชื่อ จึงรับสั่งให้จองจำทุกคนในครอบครัวนั้น วันรุ่งขึ้นพระปิลินทวัจฉะไปบิณฑบาตที่เรือนนั้นอีก ไม่เห็นใคร จึงถามเพื่อนบ้าน ทราบเรื่องแล้วรีบเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารทูลถามว่า ที่ให้จองจำคนทำการวัดนั้นด้วยเรื่องอะไร?

“เขาต้องเป็นขโมยแน่ พระคุณเจ้า เขาเป็นคนจนจะเอามาลัยทองคำสวยงามอย่างนี้มาจากไหน?”

พระปิลินทวัจฉะจึงอธิฐานขอให้ปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทองคำ ทันใดปราสาททั้งหลายได้กลายเป็นทองคำต่อพระพักตร์พระเนตรของพระเจ้าพิมพิสารนั่นเองแล้วทูลถามว่า “มหาบพิตร, นี่ทองคำมากมายทรงได้มาจากไหน?”

พระราชาทรงเข้าพระทัยและรับสั่งให้ปล่อยครอบครัวคนทำงานวัดนั้นไป

เรื่องพระสารีบุตร

เช้าวันหนึ่ง พระสารีบุตรลงจากภูเขาคิชฌกุฏพร้อมด้วยภิกษุจำนวนมากได้เห็นกองไม้กองใหญ่ในที่แห่งหนึ่ง จึงพูดกับภิกษุทั้งหลายว่า

อาวุโส หากว่าภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีความชำนาญทางจิตจะพึงอธิฐานว่า ขอให้กองไม้นั้นเป็นดิน กองไม้นั้นก็จะเป็นดินทันทีทีเดียวเพราะเหตุไร? เ

พราะกองไม้นั้นมีธาตุดินอยู่ ถ้าภิกษุเช่นนั้นอธิษฐานกองไม้นั้นให้เป็นน้ำ ไฟ หรือลม กองไม้นั้นก็จะเป็นอย่างที่ท่านอธิฐานทีเดียว เพราะว่าในกองไม้นั้นมีธาตุ น้ำ ไฟ และลมอยู่

เธอจะอธิฐานให้กองไม้นั้นงาม หรือไม่งามก็ได้ เพราะในกองไม้นั้นมีทั้งสุภธาตุและอสุภธาตุอยู่

สำหรับองค์พระพุทธเจ้าเองนั้นมีเรื่องเล่าว่า สามารถจะอธิษฐานให้ภูเขาทั้งลูกเป็นทองคำได้ ถ้าทรงพระประสงค์ แต่ทรงเห็นว่า ทำอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร คนโลภจะแย่งชิงกัน ฆ่าฟันกันตายหมด แม้ภูเขาทองคำทั้งลูกก็คงไม่พอแก่ความต้องการของคน ๆเดียว แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำก็ไม่มีประโยชน์ สู้กำจัดความโลภไม่ได้

ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงเรื่องมหัศจรรย์ไว้มากมาย ซึ่งเป็นวิสัยของท่านผู้บรรลุนิพพานแล้ว จะทำได้แต่ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาสามัญ ขอยกมากล่าวอีกสักตัวอย่างหนึ่ง คือ เรื่องพระเรวัตร น้องชายพระสารีบุตร และเป็นน้องคนสุดท้อง น้องคนอื่น ๆ ของพระสารีบุตรทั้งหญิงและชายได้ออกบวชตามท่านกันหมดแล้ว คือ น้องหญิง 3 คนชื่อ จาลา อุปจาลา และ สีสุปจาลา น้องชาย 2 คน จุนทะ และอุปเสทะ

มารดาของท่านเกรงว่า พระสารีบุตรจะชวนน้องชายคนเล็กบวชเสียอีก จึงคิดจะผูกเรวัตรกุมารไว้ให้มั่นด้วยเครื่องผูกคือการครองเรือน จึงจัดแจงให้แต่งงานตั้งแต่อายุ 7 ขวบ

เมื่อญาติประชุมกันอวยพรให้คู่บ่าวสาว ญาติทางฝ่ายหญิงได้กล่าวว่า “ขอเจ้าจงเห็นธรรมที่ยายของเจ้าเห็นแล้ว จงมีอายุยืนนานเหมือนยายของเจ้า

เรวัตรกุมาร สงสัยว่าอะไรคือธรรมที่ยายของเด็กหญิงเห็นแล้ว คนไหนคือยายของเด็กหญิง เขาถามญาติทางฝ่ายหญิง พวกญาติได้บอกให้เขารู้จักหญิงคนหนึ่งซึ่งมีอายุได้ 120 ปี ฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกง

เรวัตรกุมารถามว่า หญิงที่เขาแต่งงานด้วยต่อไปจะต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันหรือได้รับคำตอบว่า ถ้าอยู่นานไปก็จะต้องเป็นเหมือนกันอย่างนั้น

เรวัตรกุมารสลดใจว่า “สรีระนี้ แม้ดูงาม แต่ไม่นานนัก ชราก็จะมากลืนความงามเหล่านี้เสียหมดสิ้น อุปติสสะพี่ของเราคงเห็นเหตุนี้แล้วจึงออกบวช เราเองก็ควรจะหนีออกบวชเสียในวันนี้เดียว”

เมื่อพิธีแต่งงานเสร็จแล้ว พวกญาติได้อุ้มเขาขึ้นสู่ยานกับเจ้าสาวพากันกลับบ้าน เขานั่งในยานไปได้หน่อยหนึ่งบอกญาติว่าปวดท้องอุจจาระ ขอลงถ่ายอุจจาระ พวกญาติก็หยุดยานคอย

เขาทำดังนี้บ่อย ๆ หลายครั้ง พวกญาติเห็นว่าเขาไป ๆ มา ๆ บ่อย ๆ จึงมิได้ระวังรักษาเข้มแข็ง ในครั้งสุดท้ายเขาบอกให้ญาติขับยานไปเรื่อย ๆ ก่อน เขาเสร็จธุระแล้วจะเดินตามไป เมื่อได้โอกาสก็หนีไปยังสำนักภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตรกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 รูป ขอบวชกับภิกษุเหล่านั้น

ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า “ผู้มีอายุท่านประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อม พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นพระราชโอรส หรือบุตรของอำมาตย์ จักให้ท่านบวชได้อย่างไร?”

“ท่านไม่รู้จักกระผมหรือ ?” เรวัตรกุมารถาม

“ไม่รู้จัก”

“กระผมเป็นน้องชายของอุปติสสะ”

“ก็ใครเล่าคืออุปติสสะ?”

“ท่านผู้เจริญ ! ท่านเรียกพี่ชายกระผมว่า สารีบุตรเมื่อกระผมเรียกชื่อเดิมว่าอุปติสสะพวกท่านจึงไม่รู้จัก”

ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า

“ถ้ากระนั้นมาเถิด พี่ชายของท่านสั่งไว้แล้วเหมือนกัน ว่าถ้าท่านมาขอบวชให้บวชให้

เมื่อบวชแล้ว ภิกษุทั้งหลายได้ส่งข่าวไปบอกพระสารีบุตรเถระ พระสารีบุตรทูลลาพระศาสดาว่าจะไปเยี่ยมน้องชาย แต่พระศาสดาทรงขอร้องว่าอย่าเพิ่งไปเลยให้รออยู่ก่อนล่วงไปอีก 2-3 วัน พระสารีบุตรทูลลาอีก พระศาสดาทรงขอร้องอย่างเดิม และตรัสว่าพระองค์ก็จะเสด็จไปเหมือนกัน

ฝ่ายสามเณรเรวัตรคิดว่า “ถ้าเราจะอยู่ที่นี้ พวกญาติอาจตามมาพบได้ จึงเรียนวิธีทำกัมมฐานจนถึงพระอรหันต์แล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปในป่าไม้สะแก ลึกเข้าไปอีกประมาณ 30 โยชน์ ได้บรรลุอรหันต์ผลในพรรษานั่นเอง

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรทูลลาพระศาสดาเพื่อเยี่ยมน้องชายอีก พระทศพลตรัสว่า พระองค์ก็จะเสด็จไปเหมือนกัน

พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกเป็นอันมาก เสด็จไปเยี่ยมสามเณรเรวัตร เมื่อไปได้หน่อยหนึ่งถึงทาง 2 แพร่ง พระอานนท์ยืนอยู่ที่ทางสองแพร่ง ทูลพระศาสดาว่า

“พระเจ้าข้า มีทางอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งอ้อมประมาณ 60 โยชน์ มีมนุษย์อยู่ตลอดทางอีกทางหนึ่งตรงประมาณ 30 โยชน์ เป็นที่อยู่ของพวกอมนุษย์ จะเสด็จไปทางใด?”

“สีวลี*มากับพวกเราด้วยมิใช่หรือ อานนท์?”

“มาด้วย พระเจ้าข้า”

“ถ้าสีวลีมาด้วย พวกเราควรไปทางตรงนั่นแหละ

ตำนานเล่าว่า ครั้งนั้น พวกเทพเจ้าได้ช่วยเหลือภิกษุสงฆ์เป็นอันมากทั้งเรื่องที่พัก อาศัย และอาหาร เพราะเทพเจ้าเหล่านั้นคิดว่า “เราจักทำสักการะแก่พระสีวลีเถระพระผู้เป็นเจ้าของเรา”

ตลอดระยะทางกันดาร 30 โยชน์ พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ได้อาศัยบุญของพระสีวลีโดยตลอด

ฝ่ายพระเรวัตรเถระ (ความจริงยังเป็นสามเณร แต่ที่เรียกว่าพระเถระเพราะท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว) ทราบการเสด็จมาของพระศาสดาและภิกษุสงฆ์แล้ว ได้เนรมิตที่อยู่สำหรับภิกษุสงฆ์ และที่ประทับของศาสดาด้วยฤทธิ์ของตน

พระศาสดาประทับอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่ง ได้ทรงอาศัยบุญของพระสีวลีเรื่องอาหาร

บรรดาภิกษุทั้งหลายที่มาพักอยู่ที่นั้น มีภิกษุแก่ 2 รูปคิดติเตียนพระเรวัตรว่า “ภิกษุนี้รูปเดียว ทำการก่อสร้างเสนาสนะมากมายอย่างนี้ จะมีเวลาบำเพ็ญสมณธรรมอย่างไร พระศาสดาทรงเห็นแก่หน้าว่าเป็นน้องชาย พระสารีบุตรจึงเสด็จมาสู่สำนักของเธอผู้ประกอบนวกรรม (การก่อสร้าง) เห็นปานนี้”

วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทรงทราบความคิดของภิกษุ 2 รูปนั้นแล้ว เมื่อประทับอยู่ที่นั้นสิ้นเดือนหนึ่งแล้ว ในวันเสด็จออกได้ทรงอธิษฐานให้ภิกษุ 2 รูป นั้นลืมบริขารบางอย่างไว้ เช่น หลอดน้ำมัน และรองเท้า เป็นต้น เมื่อเสด็จออกไปภายนอกได้หน่อยหนึ่งก็ทรงคลายฤทธิ์

ทั้งสองรูปรู้สึกตัวว่าตนได้ลืมของไว้ จึงกลับไปอย่างตะลีตะลาน ถูกหนามไม้สะแกตำเท้า พบห่อสิ่งของ ๆ ตนแขนห้อยอยู่ที่ต้นสะแก เพราะเวลานั้นพระเรวัตรเถระก็คลายฤทธิ์แล้วเหมือนกัน เสนาสนะที่ท่านสร้างขึ้นด้วยฤทธิ์จึงหายไปด้วย

พระศาสดาเสด็จกลับมายังบุพพาราม ภิกษุแก่ 2 รูปนั้นล้างหน้าแต่เช้า ไปดื่มข้าวต้มในเรือนของนางวิสาขาผู้ถวายอาคันตุกภัตร

นางวิสาขาถามถึงที่อยู่ของพระเรวัตรว่ารื่นรมย์น่าอยู่หรือไม่ ภิกษุพวกนั้นตอบว่ารกไปด้วยไม่สะแก มีหนามมากมายเหมือนที่อยู่ของพวกเปรต

ต่อมาอีกหน่อยหนึ่ง มีภิกษุหนุ่ม 2 รูปมา นางวิสาขาถวายข้าวต้มแล้ว ถามถึงเรื่องที่อยู่ของพระเรวัตรอีก ภิกษุหนุ่ม 2 รูปตอบว่า น่ารื่นรมย์ไม่อาจจะพรรณนาประดุจเทวสภา ประดุจเนรมิตขึ้นด้วยฤทธิ์

นางวิสาขาเป็นโสดาบัน เข้าใจในความเห็นที่แตกต่างกันของภิกษุ 2 พวกว่า พวกหนึ่งคงเห็นสถานที่เมื่อพระเถระยังไม่คลายฤทธิ์ พวกหนึ่งคงเห็นเมื่อคลายฤทธิ์แล้ว

นางคิดว่า จักทูลถามพระศาสดาเมื่อพระศาสดาแสด็จมาเสวยเสร็จแล้วจึงทูลให้ทราบว่า มีภิกษุ 2 พวก มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่อยู่ของพระเรวัตรอย่างไหนถูกต้อง

พระศาสดาตรัสว่า

“อุบาสิกา จะเป็นบ้านหรือเป็นป่าก็ตาม พระอรหันต์อยู่ที่ใด ที่นั้นน่ารื่นรมย์” ดังนี้เป็นต้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท