ธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้า
พระสมณโคดมเคยเสด็จไปศึกษากับพระอาจารย์อาฬารดาบส อาจารย์ผู้ได้สมาบัติถึงชั้นอากิญจัญญายตนฌาน เป็นการกำหนดภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์(อรูปฌาน 3 ) จนสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วก็ยังไม่ทรงเห็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมตามที่ทรงตั้งความปรารถนาไว้ จึงทรงล่ำลาพระอาจารย์เสด็จไปศึกษาอยู่กับพระอาจารย์อุททกดาบส อาจารย์ผู้ได้สมาบัติถึงขั้นแนวสัญญานาสัญญายตนะ การกำหนดภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (อรูปฌาน 4) ได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน ก็ยังไม่ทรงเห็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม จึงทรงล่ำลาพระอาจารย์ท่านนี้ไปอีกและไม่มีพระอาจารย์ที่เก่งกว่าพระอาจารย์ทั้งสองอีกแล้วในครั้งกระนั้นพระองค์จึงเสด็จไปบำเพ็ญทุกกรกิริยาด้วยวิธีการทรมานตนต่าง ๆ ด้วยพระองค์ และในที่สุดก็ทรงเลิกละเสียเพราะทรงเห็นว่าไม่ใช่วิธีที่จะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมได้
จนในที่สุดพระสมณโคดมก็ทรงพิจารณาได้ถึงทางสายกลางการปฏิบัติเป็นกลาง ๆ ไม่หย่อนจนเกินไปและไม่ตึงจนเกินไป (มัชฌิมาปฏิปทา) ทรงเห็นเป็นทางแห่งปัญญา เริ่มด้วยปัญญาดำเนินด้วยปัญญา นำไปสู่ปัญญา เป็นทางพอดีที่จะทำให้ถึงจุดหมายคือความดับกิเลสและความทุกข์ ได้แก่มรรคมีองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิเริ่มต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด พระสมณะทรงบำเพ็ญพระองค์โดยมุ่งเอาพระปัญญาเป็นหลักเพราะเป็นเครื่องให้สำเร็จพุทธภาวะ คือ ความเป็นพระพุทธเจ้า
พระปัญญา หรือปัญญาขันธ์ จึงเป็นหมวดธรรม เป็นธรรมที่เป็นพุทธสภาวะ เป็นธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท พระปัญญาธิกะ มีพระปัญญาเป็นอันมากนอกจากปัญญาขันธ์อันเป็นหลักแห่งความถึงพร้อมในประโยชน์ตนยังมีองค์ธรรมอีก 4 ประกอบที่ทำให้ถึงพร้อมในประโยชน์ดังกล่าว คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ รวมเป็น 5 ธรรมขันธ์ คือ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ และ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ทรงบำเพ็ญประโยชน์ส่วนพระองค์เองเสด็จสิ้นสมบูรณ์ เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยธรรมอันเป็นธรรมขันธ์ 5 ประการนั้น ธรรมขันธ์ 5 จึงเป็นองค์ธรรมแห่งพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้า นอกเหนือจากพุทธธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้วเบื้องแรก
ธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้าคือศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตตขันธ์ และวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ไม่สิ้นสูญไปกับการเสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุของพระพุทธเจ้า แม้ธรรมขันธ์ 5 แห่งพระอรหันตขีณาสพก็มิได้สิ้นสูญไปกับการนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุเช่นเดียวกัน
จะเห็นได้จากคราวที่พระสารีบุตรนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ดับกิเลสและเบญจขันธ์) พระอานนท์ (ซึ่งขณะนั้นยังไม่บรรลุอรหันต์) พร้อมด้วยสามเณรจุนทะผู้นำข่าวการนิพพานของพระสารีบุตรมาบอกพระอานนท์ พระอานนท์ได้กราบทูลแด่พระพุทธองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สามเณรจุนทะรูปนี้ได้บอกอย่างนี้ว่าท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว นี้บาตรและจีวรของท่าน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไปแม้ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมก็ไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพระองค์เพราะได้ฟังว่าท่านพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า
“ดูก่อนอานนท์ สารีบุตรพาเอาศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ หรือ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ปรินิพพานไปด้วยหรือ”
พระอานนท์กราบทูลว่า “หามิได้พระเจ้าข้า”
-->> คำว่า “ปรินิพพาน” ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับพระอานนท์ก็ทรงหมายถึงการดับขันธ์ มิใช่หมายถึงการตายในความหมายทางโลกดังที่พระอานนท์เข้าใจและเศร้าโศกอยู่ขณะนั้น
-->> แม้ธรรมขันธ์ 5 แห่งพระอรหันต์ยังไม่สูญสิ้นไปกับการดับเบญจขันธ์ของพระอรหันต์ แล้วธรรมขันธ์ 5 แห่งพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้านี้เล่าจะสูญสิ้นไปเมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้อย่างไร พระพุทธองค์ดับขันธ์ในส่วนที่เป็นขันธมารหลังจากได้ทรงสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์เป็นเวลาอันสมควรแล้วเพื่อทรงไว้ซึ่งความเป็นพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเต็มพระองค์ ไร้ทั้งกิเลสและขันธ์อันเป็นมารเกาะเกี่ยวอย่างสิ้นเชิง พระพุทธองค์ (รูป) ดับไป “องค์พระพุทธ” ยังทรงอยู่เป็นอมตมหานิพพานมิใช่หรือ
องค์พระพุทธทรงอยู่ในดวงธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยใด ๆ ไม่สามารถมาปรุงแต่งได้ เป็นอนัตตธรรม อนัตตลักษณะที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับชาใคร ๆ ทั้งสิ้น องค์พระพุทธมิได้สูญสิ้นไป ตรงตามพุทธวจนะที่ตรัสไว้ว่า
“ผู้ใดถึงธรรมผู้นั้นถึงเรา ผู้ใดถึงเราผู้นั้นถึงธรรม”
องค์ธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพุทธสภาวะมีญาณสำคัญเป็นองค์กำกับคือญาณที่ได้รู้เห็นว่าได้หลุดพ้นจากสภาวะแห่งอาสวกิเลสทั้งหลายทั้งสิ้นเชิงแล้ว คือวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ เป็นดวงธรรมแห่งปัญญาอันรู้แจ้งถึงสภาพแห่งความหลุดพ้น อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกินกว่าที่จะพรรณนาให้ชัดเจนได้ เป็นพุทธวิสัยอันไม่ควรคิดให้ไกลเกินเหตุเพราะปุถุชนไม่อาจล่วงรู้ไปไกลได้ถึงขนาดนั้นนอกจากจะปฏิบัติให้ถึงเองได้
พิจารณาเพียงว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานทรงดับเบญจขันธ์อันเป็นขันธมารให้สูญสิ้นตามกองกิเลสซึ่งดับไปก่อนแล้วเช่นนั้นยังทรงความเป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วยศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ และวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ เช่นนี้ควรหรือที่จะกล่าวว่า “ปรินิพพาน” คือ “อาการตายของพระพุทธเจ้า”
.............................................
อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/
พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา http://group.wunjun.com/khunsamatha
ไม่มีความเห็น