เรื่องสำคัญที่คนไทยพุทธต้องรู้


รื่องสำคัญที่คนไทยพุทธต้องรู้



คนไทยพุทธทราบกันหรือไม่ว่า ปัจจุบันคณะกรรมกฤษฏีกาได้ร่าง พรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะไม่บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ว่าในบัตรประชาชนของคนไทยต่อไปจะไม่มีการระบุว่านับถือศาสนาอะไรแล้ว โดย พรบ. ฉบับนี้ได้ผ่านกฤษฏีกา คณะ 2 เรียบร้อยแล้ว รอแต่เข้า ครม. เท่านั้น


อีกเรื่องหนึ่งคือ ได้มีกฎหมายออกมาแล้วว่า ในหมู่บ้านใดที่มีคนอิสลามเกินเจ็ดหลังคาเรือนสามารถตั้งมัสยิดได้ทันที


ทุกวันนี้ทางภาคอีสานของเราตามโรงเรียน วัดต่างๆ มีปัญหามาก เพราะเด็กอิสลามที่เข้าไปเรียน ถ้าเกินยี่สิบห้าคน พวกอิสลามจะขอให้มีครูสอนอิสลามทันที และที่สำคัญบังคับให้วัด และโรงเรียนต่างๆ ต้องทำการแยกอาหารสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ จะไม่ยอมทานอาหารปะปนกับคนไทยพุทธ


เราคนไทยไม่เคยแบ่งแยก มีแต่ความเมตตาสงสาร แต่หากไม่รู้จักปกป้องพระพุทธศาสนาไว้ ในที่สุดพระพุทธศาสนาจะเลือนหายไปจากสังคมไทยเป็นแน่


คิดดูว่าในครอบครัวที่พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ บิดามารดาไม่มีเวลาพาลูกไปวัด เด็กดูแต่ทีวี ติดเกมส์ ซึ่งเป็นปัญหากับทุกครอบครัวในปัจจุบันนี้ รับแต่วัฒนธรรมและแนวความคิดแบบตะวันตก ในที่สุดแล้วชาติเราคงไม่เหลืออะไร จริงๆ แล้วได้ถามคำถามนี้กับคนที่มีส่วนร่วมในการร่าง พรบ. ฉบับที่พูดถึงข้างต้น เขากลับบอกว่า ถ้าพ่อแม่เด็กไม่สั่งสอนก็เป็นเรื่องของครอบครัวนั้น ความคิดช่างเหมือนคนต่างประเทศจริงๆ คือตัวใครตัวมันแท้ๆ


พระสงฆ์ที่ออกมาเรียกร้องในปัจจุบัน ท่านทำเพื่อเรา เพื่อลูกหลานเราในอนาคตทั้งสิ้น ประเพณี วัฒนธรรม รากเหง้าของเรามาจากพระพุทธศาสนาทั้งนั้น แต่เรากำลังจะทำลายรากเหง้าของเราเอง


การได้บรรจุ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ จะทำให้กฎหมาย และพรบ.ต่างๆ ออกมาเกื้อกูลกับคนไทย ไม่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากประเทศไทย ทุกวันนี้คนกิเลสหนา ปัญญาหยาบมีมาก ความละอายก็มีน้อย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายบ้านเมืองมาช่วยค้ำจุน และทำนุบำรุงพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ส่วนพระสงฆ์ที่ปฏิบัติไม่ดีต่างๆ เมื่อถูกลงโทษตามพระธรรมวินัยแล้ว ก็จะต้องถูกกฎหมายลงโทษอีกชั้นหนึ่ง จะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป

 

ึกษาได้จากประวัติศาสตร์ใกล้ตัวเราเมื่อไม่นานมานี้ที่อินเดียนี่เอง ช่างเหมือนในไทยเวลานี้ เหลือเกิน โปรดอ่านไตร่ตรองดู ข้อมูลจริงนี้ ไม่ต้องด้วยอารมณ์รักศาสนาแบบรุนแรงแต่ด้วยปัญญา แล้วหาทางแก้ไข การแก้ก็ไม่ได้มากจากอื่นไกล คือที่ตัวเรานั่นเอง ปัจจัยข้างใน 3 ข้อแรก คือสาเหตุแท้ ปัจจัยนอกเป็นตัวเร่งเวลาเท่านั้น


ภัียอันตรายที่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา ในอินเดียนั้น มีอยู่ ๒ ประเภทใหญ่ คือ


๑. ภัยภายใน

๒. ภัยภายนอก



ภัยภายใน เกิดจากพุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) โดยตรง พอจะจำแนกเป็น ๓ ประการคือ


๑. การเสื่อมทางศีลธรรมและการเสื่อมจากการบรรลุมรรคผลของชาวพุทธ


๒. ความแตกแยกทางนิกายและความขัดแย้งทางนิกาย


๓. ลัทธิมหายานและลัทธิตันตรยานเกิดขึ้น ทำให้เกิดพระสัทธรรมปฏิรูปต่าง ๆ ขึ้นในพระพุทธศาสนาภัยภายนอก การที่พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมไปจากอินเดียนั้นหาได้เกิดจากภัยภายในอย่างเดัยวไม่ ภัยภายนอกก็จัดว่าเป็นอันตรายมากเช่นกันที่ทำให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมไปจากดินแดนพุทธภูมิ



ภัยภายนอกนั้นพอจะจำแนกได้ ๖ ประการคือ


๑. การปองร้ายของพวกพราหมณ์

๒.การฟื้นตัวใหม่ของพวกพราหมณ์

๓.การถูกศาสนาพราหมณ์กลืน

๔.การขาดราชูปถัมภ์

๕. การทำลายล้างของกษัตริย์ภายนอกพระพุทธศาสนา

๖. การทำลายล้างของพวกมุสลิม


*************************************
ข้อมูลจากคุณธัมมนัตา

 

เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในหลายๆ ประเทศ


ญี่ปุ่นคือประเทศหนึ่ง สมัย ชุนชิวที่มีสงครามระหว่างแคว้นกันนั้น มีการสู้รบปรบมือกันอย่างบ้าครั่ง ทั้งแคว้นที่นับถือคริตส์เตียน ที่พยายามครองอำนาจและเผยแพร่ศาสนา แต่สุดท้ายชาวพุทธในญี่ปุ่นต่อต้าน และแคว้นที่รวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่นก็เป็นพุทธ (เพราะมีการต่อสู้เพื่อป้องกันตนเอง)


แต่ในอินเดีย กับ ไม่ต่อสู้เลย มันก็ค่อยๆหายไป ศาสนาฮินดูของอินเดีย
พยายามต่อสู้จนถึงที่สุด บางครั้งต้องถอยหนีไปติดเทือกเขาหิมาลัย เพราะ
ไม่ยอมรับศาสนาอิสลาม ที่เน้นการเผยแพร่ด้วยความรุนแรง สุดท้าย ประชาชนอินเดียจึงลุกหือขึ้นมา


เป็นเรื่องแปลกที่พวกมุสลิมมักจะอยู่กับ ศาสนาอื่นอย่างสงบไม่ได้ หากกฎหมายในประเทศไม่เข้มแข็ง


ชาวพุทธจะอยู่นิ่งเฉย มัวแต่ภาวนาไปก็ได้ แต่แน่นอนย่อมมีคนยอมตกนรก เพื่อพวกคุณอย่างแน่นอน พระโพธิสัตว์ไม่เคยตกนรก ย่อมเป็นไปไม่ได้



************************************************
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายดอกบัว

หมายเลขบันทึก: 216021เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 14:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 19:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ของพวกเติร์กสมัยที่บุกเข้า นาลันทา ว่า...

พวกเติร์กคิดว่านาลันทาเป็นป้อมปราการแห่งหนึ่ง ทหารเติร์กพังประตูเข้าไปโดยปราศจากการต่อต้านใดๆ ภายในมีนักรบหัวโล้นห่มผ้าสีเหลือง นักรบในป้อมเหล่านั้น นั่งสงบนิ่งกันเป็นกลุ่มๆครั้นทหารเอาดาบฟันหัวขาดกระเด็นไปทีละคน นักรบเหล่านั้นก็มิได้มีความเกรงกลัวก็พากันนั่งสงบให้ทหารตัดหัวไปทีละคน จนหมดสิ้นไป

มินฮัช(Minhaj) นักประวัติศาสตร์ มุสลิมได้เล่าถึงโมฮัมเม็ด บุขเตียร์(Mohammed Bukhtiar) ทำลายเมืองๆหนึ่ง ในแคว้นพิหารตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งวิชาการ ของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง เมืองนี้ก็คือ นาลันทา

ข้อมูลบางแหล่งว่า พวกมุสลิมซึ่งมีแม่ทัพชื่อบักตยาร์ ขิลจิ พร้อมทหาร200 คน บุกเข้ามาฆ่าพระสงฆ์ องค์แล้วองค์เล่าแต่พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นก็ยังคงนั่งกันเฉย ไม่ลุกหนีไม่ต่อสู้.บางท่านเล่าถึง การบุกโจมตีนาลันทา ว่า

“ป้อมปราการที่นี่ ช่างน่าแปลก นักรบทุกคน ล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลืองโกน

หัวโล้น ไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราบุกเข้าไปถึง ก็ไม่ลุก

หนีไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอามีดฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันอยู่เฉยๆ

ไม่ร้องขอชีวิต ไม่โอดครวญ”

ตารนาถ กล่าวว่า มุสลิมได้สร้างความพินาศย่อยยับ ให้แก่นาลันทา, โดยฆ่าพระภิกษุ อย่างเหี้ยมเกรียม บุกรุกทำลาย จุดไฟเผาจนนาลันทา กลายสภาพ เป็นเถ้าถ่านไป ในที่สุด.พวกมุสลิม ยังได้เผาทำลาย ตำรับตำรา

ต่างๆในทางพระพุทธศาสนา ในมหาวิทยาลัยนาลันทา จนหมดสิ้น.

กล่าวกันว่า เผาตำรับตำราอยู่ถึง 3 เดือน จึงได้เผาหมด.นอกจากนี้มุสลิม ยังเอาไฟคอกพระภิกษุโดยหวังจะให้ตายให้หมด แต่ก็ยังมี พระส่วนน้อยที่หนีไปได้ โดยหนีเข้าไปอยู่ในธิเบตบ้าง เนปาลบ้าง.เมื่อได้ฆ่าและเผาแล้ว พวกมุสลิมยังได้ขนเอาทรัพย์สมบัติ อันมหาศาลไปด้วย.มุสลิมนั้นหวังจะทำลาย พระพุทธศาสนา ให้หมดสิ้น ไปจากอินเดีย.

ที่มา:http://gotoknow.org/blog/peacewarrior/93320

ขอบคุณนะครับที่ให้ความรู้ อ่านดูแล้วก็สงสารคนอินเดียนะครับ มีสมบติที่มีค่ามาก ๆ แต่ก็ถูกทำลายไป

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท