บุพกรรมของพระพุทธองค์


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

บุพกรรมของพระพุทธองค์


ประเด็นที่สอง
 ก็คือ  บุพกรรมของพระพุทธเจ้า  ผลกรรมอะไรค่อยว่ากัน  ตอนนี้ขอเล่าเรื่องราวก่อน  เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จมุ่งตรงไปยังเมืองกุสินาราเพื่อดับขันธ์ปรินิพพาน  โดยมีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ  หลังจากเสวย สูกรมัททวะ  ที่นายจุนทะกัมมารบุตร   ชาวเมืองปาวาถวายแล้วพระอาการประชวรกำเริบ   ทรงระงับเวทนาจากอาการประชวรแล้วก็เสด็จต่อไป  ข้ามไปยังแดนของเมืองกุสินารา ทรงแวะข้างทางประทับใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง  รับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำจากลำธารชื่อว่า  กกุธานที  มาเสวย


พระอานนท์กราบทูลว่า  กองคาราวานเกวียนประมาณ  ๕๐๐  เพิ่งจะผ่านกกุธานทีไป  น้ำยังขุ่นคลั่กอยู่เลย  เสวยไม่ได้  พระพุทธเจ้าข้า


พระพุทธองค์ตรัสย้ำอีกว่า อานนท์  เราตถาคตกระหายน้ำอยากดื่มน้ำ  พระอานนท์ก็ยังกราบทูลเหมือนเดิม จนพระพุทธองค์ตรัสถึงสามครั้ง   พระอานนท์จึงจำต้องถือบาตรเดินตรงไปยังลำธาร  พอพระอานนท์ลงไปในลำธารเท่านั้น  ยังไม่ทันจะตักน้ำเลย  น้ำในลำธารขุ่นคลั่กเห็น ๆ  อยู่ กลับกลายเป็นน้ำใส  เย็นสนิทขึ้นมาทันที  สร้างความประหลาดมหัศจรรย์แก่พระอานนท์ยิ่งนัก


เมื่อได้น้ำแล้วก็นำไปถวายพระพุทธองค์ทรงเสวย  พร้อมกราบทูลเรื่องราวมหัศจรรย์ที่พบเห็นให้ทรงทราบ  พระพุทธองค์มิได้มีพุทธดำรัสแต่อย่างใด


เรื่องราวตรงนี้ก็มีเพียงเท่านี้  ตอนผมเขียนถึงมหาปรินิพพานสูตร  วาระสุดท้ายของพระพุทธองค์  ที่สำนักพิมพ์มติชนเพิ่งพิมพ์ออกมา  ได้ยกประเด็นที่น่าสนใจ รวมถึงประเด็นที่ยัง  กังขา อยู่มาเล่าสู่กันฟัง  แต่ก็ละเลยประเด็นที่กำลังพูดถึงนี้ไป  ก็ขอต่อเติมเสียคราวนี้เลย


อ่านพบคัมภีร์อีกแห่งหนึ่ง  พูดในทำนองว่า ที่พระองค์ทรงมีพุทธประสงค์จะเสวยน้ำแล้วไม่ได้ดื่มในทันที  เพราะน้ำขุ่นนั้นเป็นเพราะ  วิบากแห่งกรรมเก่า   ของพระองค์เอง  ในอดีตกาลอันนานโพ้น  พระองค์ทรงเคยเกิดเป็นคนเลี้ยงโค   ทรงแกล้งโคที่กำลังจะดื่มน้ำโดยแกล้งกวนน้ำให้ขุ่นอีก  อะไรทำนองนั้น  เกิดมาชาตินี้จึงต้องรับผลแห่งกรรมนั้น   โดยมีพระประสงค์เสวยน้ำก็ไม่ได้เสวยในทันที  เพราะมีกองคาราวานเกวียน  ๕๐๐  มาข้ามน้ำทำให้น้ำขุ่น


หรือบางเรื่อง เช่น  พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ร้ายก็เป็นผลกรรมแต่ครั้งก่อนเมื่อเป็นนักเลง  ด่าพระปัจเจกพุทธและภิกษุผู้ทรงศีล  ที่ถูกพระเทวทัตกลิ้งหิน  สะเก็ดหินกระเด็นไปต้องพระบาทห้อพระโลหิต  จนหมอชีวกต้องผ่าเอาเลือดเสียออก  เป็นผลกรรมที่ชาติก่อนโน้นเป็นหมอ  รู้ว่าเขาไม่เป็นโรค   แต่แกล้งผ่าให้เขาเสียเลือด  เพื่อจะได้ค่ารักษา ฯลฯ   อะไรทำนองนี้แหละขอรับ


ผมอ่านถึงตรงนี้แล้วสับสน เพราะเคยเล่าเรียนมาว่าพระพุทธเจ้าทรงละกิเลสตัณหาพร้อมทั้งวาสนาได้หมดแล้ว  เมือตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ทรง  ตัดวงจรสังสารวัฏได้หมด บุญบาปตลอดจนผลแห่งบุญบาปทรงตัดขาดแล้วด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ


พระพุทธเจ้านั้นเป็นวิเศษกว่าพระอรหันต์สาวกทั่วไปคือทรงตัดรากเหง้าแห่งตัณหาได้หมด  และทรงละวาสนา  (ความเคยชินที่สะสมกันมายาวนาน)  ได้ด้วย ส่วนพระอรหันต์สาวกทั้งหลายนั้นตัดรากเหง้าตัณหาได้เท่านั้น  แต่ วาสนา  ละไม่ได้  ดังกรณีตัวอย่างเช่น  พระปิลินทวัจฉะ  ชอบพูดคำไม่ไพเราะว่า  ไอ้ถ่อย  (วสลิ)  กับทุกคนที่เจรจาด้วย  พระสารีบุตรอัครสาวก  เวลาเห็นทิวทัศน์สวยงามก็อดดีใจกระโดดโลดเต้นไม่ได้  ท่านว่าเป็น  วาสนา  ที่ท่านทั้งสองละไม่ได้  วาสนาอย่างนี้ไม่มีในพระพุทธองค์


ก็เมื่อสัมมาสัมโพธิญาณตัดรากเหง้าตัณหาพร้อมวาสนาได้หมด  เพียงแค่กรรมเล็กน้อย  คือแกล้งโคทำไมยังละไม่ได้  ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  ยังตามมาสนองอีก


มิเป็นการพูดขัดกันหรือ


พระอรหันต์ทั่วไปเมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว  ท่านยัง  ละบุญและบาปได้  (ปุญฺญปาปปหิโน)   กรรมใดที่ยังตามจะให้ผลอยู่กรรมนั้น ๆ ก็หมดไปโดยอัตโนมัติ  เพราะตัดขาดด้วยอริยมรรค  แล้วทำไมมีเรื่องเล่าว่า  แม้พระอรหันต์ยังต้องรับวิบากแห่งกรรมที่ทำไว้ในปางก่อน  ดังเรื่องพระโมคคัลลานะ  เป็นต้น


ว่ากันว่า  พระโมคคัลลานะ  ในอดีตชาติอันยาวนานโพ้นเลี้ยงบิดามารดาผู้ตาบอดด้วยความเอาใจใส่  พ่อแม่หาภรรยาให้แม้เขาจะไม่ปรารถนาจะมีภรรยาก็ขัดบิดามารดาไม่ได้  แรก ๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พออยู่ด้วยกันมานานเข้า  ภรรยาก็หาทางกำจัดพ่อแม่สามี  จึงใส่ร้ายพ่อแม่ของสามีว่า  ในขณะที่สามีไม่อยู่  พ่อแม่ทั้งสองชอบแกล้งนางเสมอ  แรก ๆ  สามีไม่เชื่อ  แต่เมื่อนาง เป่าหู  บ่อย ๆ ก็ชักจะเอนเอียงเข้าข้างภรรยา  จึงหาทางกำจัดพ่อแม่ของตน


เขาบอกพ่อแม่ว่าจะพาไปเยี่ยมญาติที่ตำบลอื่น  ซึ่งไม่พบกันมานาน  เอาพ่อแม่ใส่เกวียน  ตนเองเป็นผู้ขับเกวียน ไปถึงกลางป่าเขาบอกพ่อแม่ว่า  จะไปทำสรีรกิจ  (ถ่าย)    ข้างทาง ขอให้พ่อแม่รอก่อน เงียบหายไปพักหนึ่ง ก็ทำเสียงเหมือนโจรเข้ามาปล้น  ทุบตีพ่อแม่หวังจะให้ตาย  พ่อแม่ร้องตะโกนบอกลูกชายให้หนีไป  ไม่ต้องห่วงพ่อแม่  เพราะพ่อแม่แก่แล้ว


เขาได้ยินพ่อแม่ร้องบอกตนให้หนีไป  ทั้งที่ตนเองถูกทุบตีก็ไม่ห่วงชีวิตตน  กลับห่วงเขาผู้เป็นลูก  จึงสำนึกได้แกล้งทำเป็นโจรวิ่งหนีไป   แล้ววิ่งกลับเข้ามาใหม่  พาพ่อแม่กลับบ้านเนื่องจากได้รับความบอบซ้ำมาก  พ่อแม่ทั้งสองได้ขาดใจตายในเวลาต่อมา


ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เขาตายไปตกนรกหมกไหม้อยู่เป็นเวลาหลายร้อยชาติ  มาชาติสุดท้ายนี้  ได้เกิดเป็นพระโมคคัลลานะหลังจากท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว  อยู่มาวันหนึ่งก็ถูกพวกโจรที่รับจ้างมาจากพวกต่างศาสนา  มาล้อมกุฏิท่าน  ท่านเข้าฌานเหาะหนี้ไปได้ถึงสามครั้งสามครา  ในครั้งที่สี่ท่านไม่ยอมหนี  ด้วยเห็นว่าผลแห่งกรรมเก่าตามมาทัน  และแล้วก็ถูกพวกโจรทุบแหลกละเอียดในที่สุด


ว่ากันอีกแหละว่า  นี้เป็นวิบาก (ผล)  แห่งกรรมเก่าที่ทำไว้แต่คราวโน้น


ก็ไหนว่าพระอรหันต์ละบุญและบาปได้หมดแล้ว  คือ ละได้ทั้งบุญบาป  และผลแห่งบุญบาปได้หมดแล้ว  ยังมีผลแห่งบาปตามมาสนองอีกหรือ


ยิ่งเกณฑ์ให้พระพุทธองค์ต้องเสวยวิบากแห่งกรรมเก่าหลังตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว   ยิ่งงงกำลังสอง  ผมไม่ต้องหยอดท้ายว่า  ขอให้ปราชญ์ทั้งหลายโปรดชี้แนะด้วย  เพราะเชื่อแน่ว่า ย่อมมีปราชญ์สักท่านสองท่านเมตตาชี้แนะมาแน่


แต่พวก  ปาด  ไม่เอานะครับ  ไม่ต้องการฟัง



**************************************************************************

ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง  :  บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์  
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์  วรรณปก  ราชบัณฑิต

.............................................

 

อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ http://khunsamatha.com/

พุดคุยสนทนาธรรมในประเด็นต่างๆ กันได้ที่ห้องสนทนา  http://forums.212cafe.com/samatha/

หมายเลขบันทึก: 216028เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 15:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 16:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
กิริยา ปราศจากความตั้งใจ

ที่คุณเสนอแนะ ถ้าดูเผินๆเข้าท่าเข้าทีมาก กับเรืองผลกรรมที่ว่าพระอรหันต์ทำไมต้องรับผลกรรม ทั้งที่เป็นพระอรหันต์หมดกิเลสแล้วนั้น ก็คงเป็นชาติสุดท้ายของผลและกรรมในขณะที่ยังสังขารอยู่เท่านั้น แต่การกระทำต่อไปข้างหน้าปราศจากการจงใจเป็นเพียงแต่กิริยาอาการเท่านั้น เพราะลักษณะของกรรมนั้นมี 3 ประเภท คือ 1. ตั้งใจ 2. สิ่งที่ถูกกระทำ 3. ผลที่สะท้อนกลับมายังจิตใจในทางดีหรือชั่วเท่านั้น แม้การกระทำของพระอรหันต์นั้นจะยังมีอยู่เป็นแต่เพืีียงกิริยาเท่านั้นเอง ส่วนผลกรรมคงยังได้รับเพราะสังขารยังดำรงอยู่เหมือร่างกายของคนเราตราบใดยังมีลมหายใจก็ยังคงต้องการข้าวและน้ำฉันนั้น แต่จิตใจปราศจากการยินดียินร้ายในอารมย์นั้นๆ ทั้งดีและไม่ดีฯ

เมื่อพูดถึงเรื่องผลของกรรมเราต้องกลับไปที่เรื่อง อจินไตย 4 ครับคือ

1. พุทธวิสัย คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

2. ฌานวิสัย คือวิสัยของผู้บรรลุฌาน

3. กรรมวิบาก คือการให้ผลของกรรม

4. โลกจินตา คือการคิดเรื่องโลก

พระพุทธองค์ ตรัสว่า ใครที่คิดเกี่ยวกับเรื่องทั้ง ๔ นี้ มีส่วนแห่งความเป็นคนบ้า ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยการคิด เช่น คิดว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้อย่างไร ทำไมจึงทำได้ และมีความพิเศษเกี่ยวกับพระพุทธองค์หลาย ๆ อย่างเป็นไปได้อย่างไร คือคิดจนหัวระเบิด ก็คิดไม่ออก ครับ จะให้เจ๋งจริง ๆ ต้องลงมือปฏิบัติตามแนวทางของพระอริยบุคคลครับ หรือแม้แต่เรื่องผลของกรรมก็เหมือนกัน เราคิดจนตายก็คิดไม่ออกครับ คนสองคนทำกรรมมาอย่างเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่กรรมให้ผลต่างกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คุณจะคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ขอยกตัวอย่าง คนสองคนไปฆ่าคนด้วยกัน ปรากฏว่าคนหนึ่งถูกตำรวจจับได้ในหนึ่งอาทิตย์ แต่อีกคนหนึ่งตำรวจจับได้ประมาณ 3 เดือนต่อมา ถ้าจะเทียบกับการให้ผลของกรรมอาจจะคล้าย ๆ กันก็ได้ คือกรรมมันไล่เราอยู่ตลอดเวลาเมื่อเราอ่อนกำลังลงเมื่อไร กรรมก็จะครุบเราทันที่

ผมเคยอ่านพบในพระไตรปิฏกว่า ทำไมบางคนทำกรรมนิดเดียวแต่ผลเร็ว แต่บางคนทำกรรมมากแต่กรรมให้ผลช้า พระพุทธองค์ตรัสว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะบางคนไม่เคยทำบุญหรือฝึกฝนเจริญภาวนาเพิ่มเติมผลกรรมจึงให้ผลเร็ว ส่วนคนที่ทำกรรมมากแต่ก็สะสมบุญให้ทานเจริญภาวนาเพิ่่มเติมทุกวันผลกรรมจะให้ผลช้า ครับ อันนี้เท่าที่จำได้

ส่วนที่ว่าพระพุทธองค์ หรือพระโมคคัลลานะละบุญและบาปได้นั้น ไม่น่าจะรับกรรมที่กระทำไว้ในอดีต ในความคิดของผมไม่ใช่พระไตรปิฏกนะครับ ผมว่า ในชาตินี้ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธองค์หรือพระโมคคัลลานะจะต้องรับกรรมอยู่แล้ว และท่านก็ตัดกรรมในชาตินี้ได้ด้วยโดยไม่กลับมาเกิดอีก แต่ทั้งหมดนี้เป็น อจินไตย คือเรื่องที่ไม่ควรคิด ใครคิดมีส่วนแห่งความเป็นคนบ้า(คิดบ้างก็ดี)

ผู้อ่านหวังว่าคงอิ่มบุญกันนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท