สภาวะสิ้นชีพของพระอรหันต์
ปัญหาสำคัญที่คนทั่วไปสนใจสงสัยคือ เมื่อธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วเป็นอย่างไร หรือว่าผู้บรรลุนิพพานตายแล้วเป็นอย่างไร ยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ความจริงปัญหานี้ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องอัตตานั่นเอง กล่าวคือ ผู้ถามปัญหาอย่างนี้มีความรู้สึกติดอัตตาแฝงลึกอยู่ในใจเป็นแรงผลักดันและเป็นแกนสำหรับก่อรูปเป็นคำถามขึ้น ความยึดติดในอัตตา หรือเรียกให้เต็มว่าความถือมั่นวาทะว่าอัตตา (อัตตาวาทุปาทาน) นี้ ฝังลึกและแน่นแฟ้นในใจของปุถุชน โดยมีภวตัณหาคอยหนุน และอวิชชาเป็นฐานให้
ในทางปฏิบัติ เมื่อยังไม่ดำเนินตามวิธีแก้ไขที่ตัวเหตุ คือทำลาย อวิชชา ตัณหา และอุปทานเสียโดยตรง ท่านจะไม่สนับสนุนให้มาถกเถียงเรื่องเช่นนี้ คือ ต้องการให้รู้ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่เอามาพูดเดากันไป การถกเถียงเรื่องนี้มีข้อเสียที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไรความถือมั่นในอัตตาวาทะที่แฝงลึกซึ้งยังถอนทิ้งไม่ได้นั้น จะทำให้มองคำตอบ หรือคำชี้แจงเอียงไป ณ ที่สุดข้างใดข้างหนึ่งเสมอ คือ ไม่มองเห็นนิพพานเป็นความเที่ยงแท้ยั่งยืนของอัตตา (สัสสตทิฏฐิ) ก็ต้องมองเป็นความขาดสูญของอัตตา (อุจเฉททิฏฐิ) ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งสองอย่างพวกที่ถือความเห็นขาดสูญ ก็มองนิพพานเป็นความขาดสูญ เข้ากับความเห็นของพวกตน
ก. พุทธพจน์เกี่ยวกับความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องอัตตา ความยั่งยืน และความขาดสูญซึ่งถูกต้องจัดเป็นที่สุด ๒ ด้าน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจความหมายของภวตัณหา และวิภวตัณหาได้อย่างชัดเจนด้วยว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เทพและมนุษย์ทั้งหลาย ถูกทิฏฐิ ๒ จำพวก เข้าครองใจแล้ว พวกหนึ่งติดล้าอยู่ พวกหนึ่งวิ่งเลยไป ส่วนพวกที่มีตาจึงมองเห็น
ภิกษุทั้งหลาย พวกหนึ่งติดล้าอยู่เป็นอย่างไร? (กล่าวคือ) เทพและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้มีภพเป็นที่ยินดี รื่นรมย์ในภพ บันเทิงในภพ (ภวะ), เมื่อตถาคตแสดงธรรมเพื่อความดับแห่งภพ (ภวนิโรธ) จิตของเทพและมนุษย์เหล่านั้น ย่อมไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใสไม่ตั้งแน่วลง ไม่น้อยดิ่งไป: พวกหนึ่งติดล้าอยู่อย่างนี้
ภิกษุทั้งหลาย พวกหนึ่งวิ่งเลยไป เป็นอย่างไร ? ( กล่าวคือ) คนพวกหนึ่ง อึดอัดระอารังเกียจอยู่ด้วยภพนั่นแหละ จึงพร่ำชื่นชมวิภพ (วิภวะ แปลว่า ปราศจากภพ, ความขาดสูญ) ว่า “นี่แนะท่านเอย นัยว่า หลังจากร่างกายแตกทำลายตายไปแล้ว อัตตานี้ก็จะขาดสูญ หายสิ้น หลังจากตายจะไม่มีอยู่อีกนี่ละคือ ภาวะสุดประเสริฐ (สันตะ) นี่ละคือภาวะดีเยี่ยม ( ปณีตะ) นี่ละคือภาวะที่เป็นของแท้ (ยาถาวะ)” พวกหนึ่งวิ่งเลยไปอย่างนี้
ภิกษุทั้งหลาย พวกที่มีตาจึงมองเห็นเป็นอย่างไร ? (กล่าวคือ) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมมองเห็นสภาพภพ โดยความเป็นสภาพ (คือเห็นตามสภาวะที่เป็นจริง) ครั้นเห็นสภาพภพโดยความเป็นสภาพภพแล้ว ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหายติด (นิพพิทา) เพื่อหมดใคร่ (วิราคะ) เพื่อนิโรธแห่งสภาพภพนั้น; ส่วนพวกที่มีตาจึงมองเห็นอย่างนี้”
และมีคาถาสรุปว่า
“ผู้ใดเห็นสภาพภพโดยความเป็นสภาพภพ
และเห็นสภาวะที่ล่วงพ้นสภาพภพ
ผู้นั้นย่อมน้อมใจดิ่งไปในภาวะที่เป็นจริง
เพราะหมดสิ้นภวตัณหา ;
ถ้าเขากำหนดรู้ เขาจะเป็นผู้ปราศจากตัณหา
ทั้งในภพและอภพ เพราะความหมดภพ
แห่งสภาพภพ ภิกษุทั้งหลายจะไม่มาสู่ภพอีก”
ข. พุทธพจน์ปฏิเสธความเข้าใจผิดว่า วิญญาณออกจากร่างไปเกิด ในมหาตัณหาสังขยสูตร เรื่องว่า ครั้งหนึ่ง ภิกษุชื่อสาติ เป็นบุตรชาวประมง มีความเห็นผิดว่าพระพุทธเจ้าสอนว่า วิญญาณดวงเดียวนี้ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ภิกษุทั้งหลายพยายาม เปลื้องความเห็นผิดของเธอแต่ไม่สำเร็จ จึงพากันไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสเรียกพระสาติมา และทรงสอบถามดังความว่า
พระพุทธเจ้า : เป็นความจริงหรือ สาติ มีข่าวว่า เธอเกิดความเห็นชั่วร้ายอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ว่าวิญญาณนี้นั่นเอง ย่อมวิ่งแล่นย่อมท่องเที่ยวไป มิใช่อื่น”?
พระสาติ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นอย่างนั้น ฯลฯ
พระพุทธเจ้า : นี้แน่ะสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
พระสาติ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ(วิญญาณนั้น ) คือ ตัวสภาวะที่เป็นผู้พูด เป็นผู้รู้ เสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งดีและชั่วในที่นั้น ๆ
พระพุทธเจ้า : ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ แก่ใครหนอ ; เรากล่าวไว้โดยอเนกปริยายมิใช่หรือว่า วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปบัน), เว้นจากปัจจัยเสียการเกิดแห่งวิญญาณย่อมไม่มี ; ก็แล ด้วยความเห็นที่ตนเองถือเอาไว้ผิด เธอย่อมกล่าวตู่เรา ย่อมขุดตนเอง และประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก , ความเห็นนั่นแหละจักเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูลเพื่อความทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน”
จากนั้นได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยใด ๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับไปตามปัจจัย นั้น ๆ นั่นแหละ,( กล่าวคือ) วิญญาณอาศัยจักษุและรูปเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าจักขุวิญญาณ , วิญญาณอาศัยโสตและเสียงเกิดขึ้นก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ , วิญญาณอาศัยฆานะ และกลิ่นเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ, วิญญาณอาศัยชิวหาและรสเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ, วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ, วิญญาณอาศัยมโนและธรรมมารมณ์เกิดขึ้นก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ; เปรียบเหมือนไฟ อาศัยเชื้อใด ๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับไปตามเชื้อนั้น ๆ......ว่าไฟไม้.....ว่าไฟเศษของ.....ว่าไฟหญ้า.....ว่าไฟโคมัย....ว่าไฟแกลบ.....ว่าไฟหยากเยื่อ.....ฯลฯ"
ค. แก้ความเห็นผิดว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ ดังมีเรื่องราวว่า ครั้งหนึ่งพระภิกษุชื่อยมกมีความเห็นผิดว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า พระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ ภิกษุทั้งหลายพยายามเปลื้องเธอจากความเห็นผิด แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันไปขอร้องพระสารีบุตรให้ช่วยแก้ไข พระสารีบุตรได้ไปหาพระยมก และได้สนทนาดังความต่อไปนี้
พระสารีบุตร : เป็นความจริงหรือ ท่านยมก ข่าวว่าท่านเกิดความเห็นชั่วร้ายอย่างนี้ว่า“ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุเป็นขีณาสพถัดจากกายแตกทำลายก็จะขาดสูญ หายสิ้น หลังจากตายจะไม่มีอยู่อีก”
พระยมก : อย่างนั้นแล ท่านผู้มีอายุ ฯลฯ
พระสารีบุตร : ท่านยมก ท่านสำคัญว่าอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระยมก : ไม่เที่ยงครับท่าน
พระสารีบุตร : เวทนา....สัญญา...สังขาร....วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระยมก : ไม่เที่ยงครับท่าน
พระสารีบุตร : เพราะฉะนั้นแลรูป....เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ทั้งหมด พึงเห็นด้วยสัมมาปัญญาตามเป็นจริงอย่างนี้ ว่า ไม่ใช่ “นั้นของเรา” ไม่ใช่ “เราเป็นนั่น” ไม่ใช่ “นั่นเป็นตัวตนของเรา” เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมหายติด ฯลฯ
ท่านสำคัญอย่างไร ท่านยมกท่านมองเห็นรูปว่าเป็น ตถาคตหรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านมองเห็นเวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณว่าเป็นตถาคตหรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านสำคัญว่าอย่างไร ท่านยมก ท่านเห็นว่า ตถาคตมีในรูปหรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านมองเห็นว่าตถาคตมีต่างหากจากรูปหรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านมองเห็นว่า ตถาคตมีในเวทนา...มีต่างหากจากเวทนา...มีในสัญญา....มีต่างหากจากสัญญา...มีในสังขาร....มีต่างหากจากสังขาร....มีในวิญญาณ...มีต่างหากจากวิญญาณ หรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านสำคัญว่าอย่างไร ท่านยมก ท่านมองเห็นรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ...ว่าเป็นตถาคต หรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : ท่านสำคัญว่าอย่างไร ท่านยมก ท่านมองเห็นว่า ตถาคตนั้นเป็นสภาวะไม่มี รูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ?
พระยมก : มิใช่เช่นนั้น ท่านผู้มีอายุ
พระสารีบุตร : นี่แน่ะท่านยมกในปัจจุบันนี้เอง ที่ตรงนี้ ท่านยังหาตถาคตโดยจริงโดยแท้ไม่ได้ควรหรือที่ท่านจะกล่าวแถลงว่า “ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วว่า ภิกษุผู้เป็นขีณาสพ ต่อจากกายแตกทำลาย ก็จะขาดสูญหาย หลังจากตายจะไม่มีอยู่อีก”
พระยมก : ข้าแต่ท่านสารีบุตร แต่ก่อนเมื่อยังไม่รู้ผมจึงได้มีความเห็นชั่วร้ายนั้น, เพราะได้สดับธรรมเทศนาของท่านสารีบุตรบุตรนี้ ผมจึงละความเห็นชั่วร้ายนั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้ว
พระสารีบุตร : แนะท่านยมก ถ้าชนทั้งหลายพึงถามท่านอย่างนี้ว่า “ท่านยมก ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพหลังจาก ร่างกายแตกทำลายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร? “ท่านถูกถามอย่างนี้แล้วจะกล่าวชี้แจงว่า อย่างไร?
พระยมก : ผมพึงกล่าวชี้แจงอย่างนี้ว่า “รูปแลเป็นสิ่งไม่เที่ยง, สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับแล้ว สิ่งนั้นถึงความไม่ตั้งอยู่แล้ว : เวทนา.....สัญญา....สังขาร.....วิญญาณ.....เป็นสิ่งไม่เที่ยง,สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับแล้ว สิ่งนั้นถึงความไม่ตั้งอยู่แล้ว : ข้าพเจ้าถูกถามอย่างนี้ พึงกล่าวชี้แจงอย่างนี้
พระสารีบุตร : ดีแล้ว ท่านยมก ฯลฯ
ไม่มีความเห็น