คนที่ตายเหมือนคนที่นอนหลับแล้วฝัน


คนที่ตายเหมือนคนที่นอนหลับแล้วฝัน 

 

โดยธรรมดาเมื่อเรานอนหลับ  พอรู้สึกเคลิ้มๆ ก็จะเริ่มฝัน  แต่ความฝันในตอนนั้นส่วนมากมักจะไม่ชัด  และบางทีก็จำไม่ได้  เว้นไว้แต่จะตื่นขึ้นมาก่อน  แต่ถ้าเป็นการฝันสะเปะสะปะเพราะความฟุ้งซ่าน  ก็จะจำเรื่องราวที่ฝันไม่ได้  ในเมื่อทิ้งไว้นานๆ ซึ่งบางคนหลังจากตื่นไม่ถึงชั่งโมงก็ลืมความฝันหมดแล้ว  แต่อย่างไรก็ดี  ขอได้โปรดเข้าใจว่า  ทุกคนเมื่อนอนหลับจะต้องฝัน  เพราะมีกฎอยู่ว่า  เมื่อวิญญาณเกิด  นามรูปจะต้องเกิด  คนที่นอนหลับ  ไม่ได้หมายความว่า จิตดับทั้งหมด  ความจริงจิตสำนึกเท่านั้นที่ดับ  ซึ่งบางคนก็ดับไม่สนิท  ส่วนจิตไร้สำนึกหรือภวังคจิตยังคงเกิด-ดับและเกิดใหม่อยู่ตลอดเวลา  เพราะเหตุนี้รูปจึงได้เกิด  และคำว่า  รูปเกิด  ก็ไม่ได้หมายความเฉพาะร่างกายเกิดเท่านั้น  มโนภาพที่เกิดในใจ  ก็เรียกว่ารูปเกิดเหมือนกัน  สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้งก็คือ  ภวังคจิตไม่เคยดับเลย  ซึ่งหมายถึงดับสูญสิ้น  ความเป็นจริงภวังคจิตย่อมมีการเกิดแล้วก็ดับ  ดับแล้วก็เกิดสืบต่ออยู่ตลอดเวลา  จุดนี้จะต้องพยายามทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง  มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจเรื่องความฝัน  และไม่เข้าใจเรื่องโอปปาติกะ(กายละเอียด)

 

ในขณะที่คนเรากำลังจะตาย  ก็เหมือนกับคนที่กำลังจะหลับ  แต่มันต่างกันตรงที่ว่า  การหลับยังมีโอกาสที่จะตื่น  ส่วนคนที่กำลังจะตายไม่มีโอกาสที่จะตื่นขึ้นมาในชีวิตนี้  แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ  เมื่อเราเริ่มหลับก็จะเริ่มฝัน  ในความฝันนั้นจะต้องมีตัวเราเกิดขึ้นเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ  และในทำนองเดียวกัน  คนที่กำลังจะตายก็จะมีตัวตนเกิดขึ้นเหมือนกับตัวตนในความฝัน  แต่ก็ต่างกันตรงที่ว่า  ตัวตนที่เกิดขึ้นในขณะที่กำลังจะตายนั้นเป็นตัวตนที่มีชีวิตเหมือนกับกายเนื้อทุกอย่าง  แต่ก็ต่างกันตรงที่ว่ากายเนื้อเป็นกายหยาบ  กว่าจะเกิดและเจริญเติบโตขึ้นมาได้จะต้องอาศัยพ่อแม่  จะต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม  และยังต้องอาศัยเวลาอีกหลายเดือน  ส่วนตัวตนที่เป็นโอปปาติกะเกิดขึ้นได้รวดเร็วไม่ต้องอาศัยอาหาร  ไม่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม  ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่  แต่ก็เกิดได้เหมือนกับตัวตนในความฝัน  ตัวตนที่เป็นโอปปาติกะ(กายละเอียด)จึงเป็นตัวตนที่มีชีวิต  มีอะไรครบทุกอย่างเหมือนกับกายมนุษย์   และขอได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า  ตัวตนที่เป็นโอปปาติกะ(กายมนุษย์ละเอียด) ไม่ใช่เกิดขึ้นหลังจากตายแล้ว  ความจริงกายละเอียดมีซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบอยู่แล้ว  เพียงแต่คอยรับช่วงต่อเมื่อกายมนุษย์หยาบตายลง  คนที่กำลังจะตาย  ตาก็จะมองไม่เห็น  หูก็จะไม่ได้ยิน  ความรู้สึกทางร่างกายก็จะรู้สึกชาไปโดยลำดับ  ทั้งนี้เพราะหัวใจอ่อนลงมาก  โลหิตที่ไปเลี้ยงประสาทต่างๆ มีไม่พอ  ประสิทธิภาพของประสาทจึงค่อยๆ หมดไป  แต่ในเวลาเดียวกันความรู้สึกข้างใน  คือความรู้สึกของภวังคจิตก็จะมีพลังสูงขึ้นเหมือนกับคนที่เข้าสมาธิได้  ในขณะที่ภวังคจิตไม่ขึ้นสู่วิถี  และสิ่งภายนอกก็เข้าไปรบกวนไม่ได้  เพราะประสาทไม่ทำงาน  เซลล์ประสาทในสมองทุกส่วนตายสนิท  ในขณะนี้วิญญาณได้ละออกจากร่างกายโดยเด็ดขาด 

 

อนึ่ง  ขอได้โปรดเข้าใจให้ดีว่า  วิญญาณที่ละออกจากร่างกายนั้น  ไม่ใช่มีแต่วิญญาณล้วนๆ แต่หากมีรูปคือมีร่างกายที่เป็นโอปปาติกะ(กายละเอียด)อยู่ด้วย  ร่างกายอันนี้จะทำหน้าที่เหมือนกับกายเนื้อ  กล่าวคือ  เพราะเหตุที่ในร่างกาย(กายละเอียด)ที่เกิดใหม่  ซึ่งเป็นโอปปาติกะนี้  ก็มีตา หู จมูก  ลิ้น  มีกายประสาท  มีสมองเหมือนกับกายเนื้อทุกอย่าง  เพราะฉะนั้นจึงทำให้เกิดการเห็น  การได้ยิน  และความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับเมื่อตอนที่เราเป็นคน  นี้ก็คือ  รูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ    และในเวลาเดียวกัน  วิญญาณก็เป็นปัจจัยให้เกิดรูป  รูปและวิญญาณต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน  สืบต่อเหมือนกับชีวิตในโลกมนุษย์  แต่ก็แตกต่างกันตรงที่กายมนุษย์เป็นกายหยาบจะมองเห็นหรือสัมผัสได้  ก็ต้องอาศัยระบบประสาทแบบมนุษย์  ส่วนร่างกายของโอปปาติกะเป็นกายละเอียดเหมือนกับกายในความฝัน  เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมองเห็นหรือสัมผัสได้  ก็ต่อเมื่อต้องมีระบบประสาทเหมือนกับพวกโอปปาติกะ(กายละเอียด)    ซึ่งระบบประสาทที่ว่านี้    พร้อมที่จะเกิดแก่คนทุกคน  ถ้าหากจิตได้รับการฝึกฝน

 

ขอให้พยายามอ่านข้อความที่ได้อธิบายมานี้ให้ละเอียด  แล้วก็จะมองเห็นได้โดยไม่ยากว่า  คนเราตายแล้วจะต้องเกิดอีก  เกิดได้อย่างไร?  อะไรทำให้เกิดอีก?  ปัญหาข้อนี้ก็จะหมดไป  และขอแถมอีกนิดว่า  ชีวิตที่เรียกว่าโอปปาติกะ(กายละเอียด)นั้นมีจริงๆ เพราะมันเหมือนกับคนเราทุกคนเมื่อนอนหลับก็จะต้องฝัน  เพราะฉะนั้น  ถ้าคนไหนอ้างว่าโอปปาติกะไม่มี  ก็แปลว่าเขาเห็นว่าคนเราตายแล้วก็สูญสิ้นหมดไปเลย  ไม่มีชีวิตเกิดขึ้นมาอีก  ผู้ที่มีความเห็นแบบนี้  พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ

 

การศึกษาเรื่องโอปปาติกะ(กายละเอียด)  อย่าได้นึกคิดหรือเดาหรือคาดคะเน  โดยอาศัยหลักของชีวิตในโลกมนุษย์  ข้าพเจ้าขอเตือนว่า  อย่าได้คิดมาก  อย่าได้สงสัยมาก  ถึงปัญหาปลีกย่อย  เพราะการที่จะตอบปัญหาปลีกย่อยต่างๆ เหล่านี้  เราจะทำได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราต้องพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเอง  หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องตายไปเป็นโอปปาติกะจึงจะหมดข้อสงสัยได้  ปัญหาเหล่านี้แม้จะตอบไปแล้ว  ก็จะสงสัยต่อไปอีกไม่สิ้นสุด  คือยิ่งตอบก็ยิ่งสงสัย  เพราะมันเหมือนกับคนตาบอดถามปัญหาในเรื่องสี  หรือในเรื่องรูปร่างของสิ่งต่างๆ ตราบใดที่ตายังบอดอยู่เขาก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้จริงๆ และในเมื่อตอบปัญหาปลีกย่อยไม่ได้ก็จะทำให้เกิดความไม่แน่ใจ  และในที่สุดก็เลยสรุปว่า  โอปปาติกะ(กายละเอียด)ไม่มี

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 216130เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 21:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 14:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท