สังสารวัฏในพุทธปรัชญาเถรวาท


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

สังสารวัฏในพุทธปรัชญาเถรวาท


ก. สังสารวัฏในพระพุทธศาสนา

ตามทรรศนะพระพุทธศาสนา  การที่คนใดคนหนึ่งตายไปตกนรกหรือไม่สวรรค์หรือบรรลุพระอรหัต  ก็เพราะอาศัยการกระทำของตนเป็นพื้นฐาน  มนุษย์จึงมีฐานะที่สูงสุด  หมายความว่ามนุษย์เป็นนายของตนเอง ไม่มีผู้วิเศษหรือสิ่งอื่นใดจะมาตัดสินชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกจากกรรมของตนเท่านั้น  เรื่องนรก - สวรรค์  เป็นสถานที่อยู่อาศัยสัตว์ทั้งหลายที่มาเกิดตามอำนาจผลแห่งกรรม   เรื่องราวเวียนว่ายนี้มีปรากฏขึ้นในพระญาณของพระพุทธเจ้าในวันตรัสรู้  2  ประการคือ   ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ ส่วนอาสวักขยญาณนั้นไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป



ในที่นี้จะได้ศึกษาเกี่ยวกับปุพเพนิวาสนุสสติญาณ  จุคูปปตญาณและอาสวักขยญาณตามลำดับดังต่อไปนี้



1. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  หมายถึง ญาณที่สามารถระลึกอดีตชาติ  คือ  ชาติก่อนได้เป็นจำนวนมาก  กล่าวคือ  ระลึกชาติได้  หนึ่งชาติ  สองชาติ เป็นต้น ในญาณนี้ยังระลึกสิ่งที่ละเอียดอีกด้วย   ในเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณนี้   พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับวัจฉะในจูฬวัจฉโคตตสูตร ว่า

(ม.ม. ๑๓/๒๔๒/๒๓๘. ดูข้อความนัยเดียวกันใน , ม.ม. ๑๓/๑๕/๑๕, ที.สี. ๙/๑๓๖/๑๐๗,  ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฏกํ ๒๕๒๕.)



ดูก่อนวัจฉะ  ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น   ย่อมระลึกชาติได้เป็นอันมาก  คือ  ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง   สองชาติบ้าง  สามชาติบ้าง.....ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง  ตลอดวิวัฏกัปวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่าในภพโน้น  เรามีชื่ออย่างนั้น  มีโคตรอย่างนั้น   เสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ  มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น   ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว  ได้ไปเกิดในภพโน้น  แม้ในภพนั้น  เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น   มีโคตรอย่างนั้น  มีผิวพรรณอย่างนั้น   มีอาหารอย่างนั้น   เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น  มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น  ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก   พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุทเทสด้วยประการนี้


ในอุปทาน  พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุพพกรรมของพระองค์ไว้มากมาย  แต่ในที่นี้จะขอเลือกนำมากล่าวเป็นบางเรื่องเท่านั้นดังนี้

(ขุ.อป. ๓๒/๓๙๒/๔๗๑-๔๗๔, ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)


ในพระชาติหนึ่ง   พระองค์เป็นนักเลงชื่อ อปุนาสิ   ได้กล่าวตู่ใส่ร้ายพระพุทธเจ้าสุรภิ  ผู้มิได้ประทุษร้ายต่อพระองค์เลย  ผลกรรมนั้นทำให้เวียนว่ายในนรกได้รับทุกขเวทนาตลอดกาลนาน  ในพระชาติสุดท้ายจึงถูกนางสุนทรีใส่ความ


ในพระชาติหนึ่ง   พระองค์ได้กล่าวตู่ใส่ความนันทะสาวกของพระพุทธเจ้าสัพพาภิภู   ต้องไปตกนรกอยู่เป็นเวลานาน  ในพระชาติสุดท้ายจึงถูกนางจิญจมานวิกามาใส่ความ


ในพระชาติหนึ่ง   พระองค์ทรงฆ่าน้องต่างมารดาตาย  เพราะเหตุแห่งทรัพย์โดยการผลักน้องชายตกลงซอกเขาแล้วเอาหินทุ่ม  ในพระชาติสุดท้ายจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุมสะเก็ดกระเด็นมากระทบพระบาทจนพระโลหิตห้อ


ในพระชาติหนึ่ง   พระองค์เป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่  เห็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าแล้ว  จุดไฟเผาดักไว้ทั่วทุกหนทาง   ในพระชาติสุดท้ายจึงถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูให้มาประทุษร้ายพระองค์


ในพระชาติหนึ่ง   พระองค์เป็นนายควาญช้าง  ได้ไล่ช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้กำลังเดินบิณฑบาต   ในพระชาติสุดท้ายจึงถูกข้างนาฬาคีรีจะประทุษร้ายเป็นต้น


ในญาณนี้เป็นเรื่องระลึกอดีตชาติที่ผ่านมา  พระพุทธศาสนาพยายามจะชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่สามารถระลึกชาติได้นั้น  จำต้องบำเพ็ญบารมีไว้เป็นหลายชาติ   แต่ละชาตินั้นมีทั้งความสุขและความทุกข์ทรมาน   ชีวิตที่ผ่านประสบการณ์มาแต่ละชาติเป็นเรื่องของกรรมที่อำนวยผลมาให้

2.  จุตูปปาตญาณ  ได้แก่ญาณที่พระองค์สามารถเห็นหมู่สัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ (ตาย)   กำลังอุบัติ (เกิด)   นั่นหมายความว่า  สัตว์ที่กำลังตายและกำลังเกิดสัตว์บางพวกทำดีก็ไปสถานทีดี  และบางพวกทำชั่วก็ไปสู่สถานที่ไม่ดี  (ทุคติ)   ในญาณนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดังนี้


ดูก่อนวัจฉะ  ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ   กำลังอุบัติเลว  ประณีต  มีผิวพรรณดี  มีผิวพรรณทราม  ได้ดี  ตกยาก  ด้วยทิพยจักขุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดชิ่งหมู่สัตว์  ผู้เป็นไปตามกรรมว่า  สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต   ติเตียนพระอริยเจ้า   เป็นมิจฉาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยมิจฉาทิฏฐิ   เบื้องหน้าแต่ตาย   เพราะกายแตก  เขาเข้าถึงอบาย  ทุคติ   วินิบาต   นรก   ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต  วจีสุจริต   มโนสุจริต   ไม่ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก   เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

(ม.ม. ๑๓/๒๔๒/๒๓๘, ข้อความนัยเดียวกันใน, ม.อุป. ๑๔/๕๐๕/๓๓๔-๓๓๕, ม.ม. ๑๓/๑๖/๑๖, ที.สี. ๙/๑๓๗/๑๐๙, ฉบับ สยามรัฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)



ในญาณนี้ เมื่อพิจารณาแล้ว  จะเห็นได้ว่า  ทำไมคนเราจึงไม่เห็นสัตว์ที่เกิดที่ตายเล่า   จากข้อความที่อ้างข้างบนนี้จะเห็นได้ว่า  พระองค์ทรงเห็นบรรดาสัตว์กำลังตาย   กำลังเกิด  ด้วยทิพยจักษุ   หรือตาทิพย์   ซึ่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้  จุตูปปาตญาณเป็นวิชชาที่เกี่ยวโยงถึงกฎแห่งกรรมและสังสารวัฏพระองค์ทรงมีจักษุทิพย์ด้วยญาณทั้งสามคือ  อติตังสญาณ  อนาคตังสญาณ  และปัจจุบันนังสญาณ


อตีตังสญาณ  ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในส่วนอดีตกาลว่า  เป็นเหตุการณ์อะไรครั้งไหนอย่างไร   เป็นต้น  เหมือนตนเองได้เห็นมาก่อน


อนาคตังสญาณ   ปรีชาหยั่งเห็นเหตุการณ์ในอนาคตอันไกลว่าเป็นเช่นไรเกิดขึ้นเมื่อไร  ที่ไหน  เป็นต้น  ญาณนี้จะสามารถพยากรณ์เหตุการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำดุจตาเห็น


ปัจจุบันนังสญาณ  ปรีชาหยั่งรู้เห็นเหตุการณ์ในปัจจุบันอันจะเกิดขึ้นในระยะใกล้และรู้ได้ว่าเป็นเหตุการณ์อะไร   เกิดที่ไหน  มองเห็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างแจ่มแจ้ง  เป็นต้น

3.  อาสวักขยญาณ  หมายถึงญาณที่สิ้นอาสวะกิเลส  พระองค์ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตมุติ   ปัญญาวิมุติ  ในญาณนี้ถือว่าเป็นวิชชาสูงสุดทางพระพุทธศาสนาพระองค์สามารถทำลายกิเลสอาสวะได้โดยเด็ดขาด  พระองค์ได้ตรัสกับวัจฉะไว้ดังนี้


“ดูก่อนวัจฉะ  เราทำให้แจ้งแล้วซึ่งเจโตวิมุติ   ปัญญาวิมุติ   อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป  ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันแล้วเข้าถึงอยู่

(ม.ม. ๑๓/๒๔๒/๒๓๘. ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)



ในวิชชา  3  เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า  ทางพระพุทธศาสนายอมรับเรื่องสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติอย่างแน่นอน  เรื่องสังสารวัฏนี้พยายามชี้ให้เห็นว่า  การตายไม่ใช่กระบวนสุดท้ายของชีวิตหรือจบสิ้นเท่านั้น  ชีวิตใหม่ต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องตามแรงแห่งกรรมนั้น

หมายเลขบันทึก: 229341เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2008 10:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 02:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อ่านแล้วรู้สึกดีครับ ทำไงถึงจะไม่ติดเรื่องทางโลก แล้วไปบวชทางธรรมได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท