มีคนโจทย์กันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกฝึก"ธรรมกาย" จริงหรือ?


อ่านทั้งหมด ที่เวป http://khunsamatha.com/

มีคนโจทย์กันว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกฝึก
"ธรรมกาย" จริงหรือ?

     พระดร.มหาทวนชัย อธิจิตโต

     อย้อนไปเมื่อหลวง พ่อมาอยู่ใหม่ๆ มีปัญหามากคือญาติโยมบริเวณวัดไม่ศรัทธา ไม่มีใครเข้าวัด ตอนที่ท่านเล่าให้ฟัง แล้วรองเจ้าอาวาสก็เล่าให้ฟัง อดีตก่อนที่อาตมาจะเข้าไป มีปัญหาแม้กระทั่งญาติโยมที่ไม่พอใจ คนต่างจังหวัดมาทำบุญมากๆ เขาอิจฉา เขาหาว่าหลวงพ่อจะมาทำอะไรที่ล้ำหน้า แล้วก็เจริญเกินไป พอเด่นขึ้นมาจะต้องมีคนอิจฉา ถึงขนาดที่ว่ายิงท่าน ทำร้ายท่าน ใช้ปืนยิง ทะลุจีวรตามที่ทราบมา แต่หลวงพ่อก็ไม่เป็นอะไรหรอก หลวงพ่อก็อดทนตลอดมา ตั้งใจที่จะมาฟื้นฟูที่นี่ให้เป็นแดนพระพุทธศาสนา เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาซึ่งก็เป็นจริงในปัจจุบันนี้ วัดปากน้ำก็มีชื่อเสียง และเป็นศูนย์กลางและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาเป็นจำนวนมาก

     หลวงพ่อท่านจะไม่เหมือนคนทั่วไป ปกติท่านจะอยู่ในฌาณ ท่านมีฌาณสูงมากเลย การปฏิบัติของท่านคือท่านจะอยู่ในธรรมกาย จิตของท่านอยู่ในธรรมกายจะอยู่ในฌาณอยู่ในสมาบัติ ท่านไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอยู่ในสมาธิ อันนี้เท่าที่อาตมาวัดได้นะ เพราะว่าท่านจะไม่มีการขาดสติ การทำอะไรโดยขาดสติจะไม่มี จะเป็นคล้ายๆ พระอรหันต์งั้นแหละ หลวงพ่อท่านเดินก็มีสติ เอี้ยวแขนก็มีสติ นอนก็มีสติ จะนั่ง จะฉัน จะเดิน จะทำอะไรรู้สึกว่าท่านมีสติเต็มบริบูรณ์ สิ่งนี้อาตมารู้สึกประทับใจแล้วก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่แปลก ซึ่งไม่เห็นจากพระองค์อื่นๆ เราเป็นเณร เราก็ช่างสังเกตนะ พระองค์อื่นตลกคะนอง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก อยากหัวเราะก็หัวเราะ อยากกระโดด หรือวิ่ง หรืออะไร บางทีมันขาดสตินะ หลวงพ่อไม่มี เดินนี้คล้ายพระอรหันต์ เหมือนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เรื่องนี้แปลก อาตมามารู้ทีหลังตอนเรียนปริยัติแล้วว่า พระอรหันต์คือผู้ไม่ขาดสติ ทำอะไรทำด้วยสติ มาเจอกับหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่แหละ

     สมัยที่อยู่ในโบสถ์รุ่นแรกๆ นั้น ในโบสถ์ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม คือเวลา ๑ ทุ่ม จะมีทั้งญาติโยม ทั้งพระเณรที่รักการปฏิบัติธรรมกาย จะมารวมกันเพื่อนั่งสมาธิ อาตมาก็นอนที่นั่น อยู่ที่นั่น ทำงานที่ในโบสถ์นั้น ก็ใช้เวลาส่วนมาก ทุกวันไม่ว่างเว้น ก็ต้องทำด้านสมาธิ ตามหลักการที่ทำในวันพฤหัส หรือสอนในโบสถ์ทุกเช้า หรือมีพระผู้ใหญ่ เช่น มหาโชดก ขอโยงซะเลย เพราะว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด

     มหาโชดก เป็นพระผู้ใหญ่ และมีตำแหน่งใหญ่ ควบคุมวัดปากน้ำด้วยในสมัยนั้น ท่านได้ไปเรียนกรรมฐานแบบสายยุบหนอ พองหนอ มาจากประเทศพม่า แล้วท่านก็จะมาเปลี่ยนแปลง หมายความว่า จะมาล้างสมองหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยท่านมีความเข้าใจว่า การปฏิบัติสายวัดปากน้ำ มันไม่ใช่พระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทางวิปัสสนา ไม่ใช่ทางหลุดพ้น และก็ไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ที่ท่านไปได้มาจากพม่า สายยุบหนอ พองหนอ ท่านก็เดินทางไปปราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ สมัยนั้น อาตมามีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน อยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อก็ให้โอกาสพระผู้ใหญ่ โดยตำแหน่ง โดยยศแล้ว ท่านมหาโชดกใหญ่กว่า หลวงพ่อเราก็อ่อนน้อมถ่อมตน ก็นัดพบกันในโบสถ์เวลาบ่ายนะ จำได้ภาพยังปรากฏอยู่ในความทรงจำ เราก็ปูอาสนะสองที่ไว้ในโบสถ์ ต่อหน้าพระพุทธรูป ให้ท่านได้โต้ตอบกัน เรียกว่า เสือเจอสิงห์ แล้วเราก็ปิดประตูให้ท่านคุยกัน แล้วเจ้าคุณโชดกมาทราบทีหลังว่า ต้องการอยากจะไปปรับการสอนธรรมะ หรือการปฏิบัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำให้เปลี่ยนแปลง ให้มาใช้สายวิปัสสนาแบบยุบหนอ พองหนอ ท่านอ้างว่า มันมีมาในพระไตรปิฎก มันถูกต้อง ส่วนสายธรรมกาย มันเพี้ยน มันไม่ถูกต้อง มันไม่มี อะไรทำนองนั้น

     เสร็จแล้วท่านก็ถกเถียงกัน เราก็อยู่ข้างนอก คอยปิดประตูโบสถ์ไม่ให้ใครเข้าไปก่อความรำคาญ ท่านก็เจอกันอย่างนี้อยู่หลายวัน เราก็ไม่ทราบผล ได้ผลยังไง ใครปราบใครยังไง เสร็จแล้วมารู้ทีหลังว่า หลวงพ่อด้วยความเกรงใจก็เลยให้รูปอันใหญ่ไปอันหนึ่ง ให้เจ้าคุณโชดก พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า รูปนี้ให้ไว้เป็นที่ระลึก เนื่องในโอกาสพระเดชพระคุณได้มาสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กระผม ซึ่งเห็นว่าถูกต้องทุกอย่าง

     ด้วยมารยาทและเป็นผู้น้อย หลวงพ่อก็ชมเชย และยอมก้มหัวให้ว่าของท่านโชดกถูกต้อง อันนี้เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ซึ่งหลวงพ่อรู้จักวางตัวให้เกียรติกับพระเถระ ไม่ไปขัดข้องกับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นสังฆาธิการปกครองเราด้วย หลวงพ่อถึงกราบก่อน ทั้งที่จริง อายุพรรษาของหลวงพ่อนั้นมากกว่า แต่เจ้าคุณโชดกเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขามาหลวงพ่อก็กราบ แล้วเจ้าคุณโชดกก็กราบคืนนะ มาทราบว่าเป็นอย่างนั้น

     ก็มีปัญหาต่อมาว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำยอมสละทิ้งหลักการจริงหรือไม่ อาตมาบอกว่าไม่จริง ฝ่ายตรงข้ามบอกว่า ฝ่ายมหาโชดกเป็นฝ่ายชนะ โดยที่หลวงพ่อรับว่าตัวเอง ยอมรับนับถือฝ่ายการปฏิบัติสายยุบหนอ พองหนอ อันนี้จะตัดสินอย่างไร ในความคิดเห็นของอาตมามีความเห็นว่า ไม่ใช่ หลวงพ่อไม่เคยทิ้งหลักการวิชชาธรรมกาย สั่งสอนมาตลอด ไม่มีเทปม้วนไหน ไม่มีคำพูดใดเลยที่หลวงพ่อบอกว่า ของเรามันผิดนะลูกทั้งหลาย ให้เลิกนะ หันไปนับถือสายยุบหนอพองหนอ ทำแบบวัดมหาธาตุนะ ไม่มี แต่ฝ่ายทางโน้น เอาหลักเกณฑ์ เอาคำพูดที่หลวงพ่อให้เกียรติท่านเจ้าคุณโชดกนี้เป็นตัวตั้ง เสร็จแล้วก็โพนทะนาว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำทิ้งหลักการ และก็ยกย่องฝ่ายยุบหนอ พองหนอว่าถูกต้อง ธรรมกายผิดพลาด นี่เขาพูดเอาเอง ตามความรู้สึกของอาตมา ยืนยัน นั่งยัน นอนยันได้เลยว่า ที่พูดของเขามันก็ไม่ถูกเหมือนกัน เขาไม่ได้ชนะหลวงพ่อก็ไม่ได้แพ้ และก็ไม่ได้ทิ้งหลักการ หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ไม่ได้สอนธรรมะใหม่ สอนการปฏิบัติใหม่แต่อย่างใด

     อาตมาลาสิกขาตอนอายุ ๒๕ ปี ไปเรียนนิติศาสตร์ รามคำแหง พอจบปริญญาตรีก็ไปต่อปริญญาโท ปริญญาเอกด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยอิลินอย สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาบวชอีกครั้ง ในปี ๒๕๓๘ มีหลวงพ่อพระเทพกิตติปัญญาคุณบวชให้ ปัจจุบันอาตมาอายุ ๖๒ ปี ก็ขอทำหน้าที่ลูกศิษย์ทายาทธรรมของหลวงพ่อให้ดีที่สุด

พระดร.มหาทวนชัย อธิจิตโต

******************************************************************

     ในช่วงปี 2490-2497 ชื่อเสียงของหลวงพ่อวัดปากน้ำซึ่งมิได้มีเปรียญธรรมชั้นใด แต่กลับมีผู้คนศรัทธากราบไหว้มากกว่าพระมหาเถระรูปใดๆ ในประเทศไทย 

     เวลานั้น คนที่อิจฉาท่านก็ออกมาโจมตีว่า ท่านสอนผิดๆ ทั้งยังมีข่าวลืออกุศลว่าที่วัดมีแม่ชีมาก และไปทำวิชากัน เขาก็ลือกันไปในทางเสียหาย แม้แต่พระสังฆราชในเวลานั้น (ถ้าจำไม่ผิด)คือกรมหลวงวชิรญาณวัดบวรฯ ท่านได้ข่าวอกุศลนี้เช่นกันจึงได้นิมนต์ให้พระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุณโส) ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเชี่ยวชาญทั้งปริยัติ และปฏิบัติ เป็นสปายไปสืบเรื่องหลวงพ่อฯ

     ต่อมาท่านก็ได้ตระหนักถึงบุญบารมีของลพ.วัดปากน้ำว่าเป็นนักสมาธิจริงๆ มีความสนใจเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงนำความไปกราบทูลพระสังฆราช ข่าวอกุศลก็ดับไป 

     ต่อมา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุ ซึ่งกำลังสนใจเรื่องอภิธรรมที่ได้รับจากพระพม่า อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้าคณะพระนคร คุมวัดปากน้ำด้วย ท่านต้องการให้พระในสังกัดท่านสนใจเรียนอภิธรรมเพื่อให้วิชาอภิธรรมแพร่หลาย จึงไปกราบอาราธนาลพ.วัดปากน้ำให้มาฝึกวิชานี้ด้วย

     อันลพ.วัดปากน้ำเป็นผู้มีนิสัยใฝ่ศึกษามาแต่ครั้งยังเยาว์และท่านก็เคย เรียนสมาธิในทางอื่นมาก่อนทั้งพุทโธ และสติปัฎฐาน ทั้งท่านก็ให้ความนับถือเจ้าคุณวัดมหาธาตุดี เคยไปเทศน์ให้วัดมหาธาตุ ตามที่ท่านเจ้าคุณอาราธนาอยู่บ่อยครั้ง จึงรับที่จะเรียนวิชายุบหนอพองหนอ ท่านเจ้าคุณอาสภะให้ท่านเจ้าคุณโชดกมาสอนวิชายุบหนอกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เรียนอยู่ราวสองสัปดาห์ ภายหลังเมื่อเรียนแล้วท่านก็ให้ความนับถือวิชายุบหนอของวัดมหาธาตุเช่นกัน

     ท่านอจ.โชดกได้ขอให้หลวงพ่อเขียนวิจารณ์สิ่งที่ท่านได้เรียน หลวงพ่อก็เขียนจดหมายสั้นๆ ดูเหมือนจะมีภาพลพ.ด้วย ว่าวิชาที่เรียนตรงกับหลักสติปัฏฐานทุกประการ เรื่องก็มีเท่านี้ 

     แต่ผมไม่เข้าใจว่าสำนักเรียนวัดมหาธาตุรวมทั้งศิษยานุศิษย์สายนี้เขามีเจตนาอย่างไรแน่จึงนำหนังสือที่ลพ.เขียนรับรองมาลงพิมพ์
รวมทั้งที่หน้าวัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัล ก็เอาภาพนี้มาติดไว้ด้วย
ภาพ นี้อ่านดูอย่างไรไม่สามารถแปลได้ว่าลพ.วัดปากน้ำได้เลิกวิชาธรรมกาย หรือแปลว่ายุบหนอเหนือกว่าวิชาธรรมกายตามที่ฝ่ายผู้เรียนวิชายุบหนอพองหนอ พยายามจะกล่าวอ้างและบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างน่าเกลียด 

     อันที่จริงพระพิมลธรรมท่านก็เป็นพระแท้มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย แต่ความเคร่งครัดนำมาซึ่งพระเดช การใช้อำนาจต่อพระอริยสงฆ์อย่างลพ.วัดปากน้ำทั้งที่พระพิมลธรรมเป็นพระเด็ก แต่ได้เปรียญธรรมก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ความดีและไม่ดีของท่านก็เป็นกรรมที่สนองท่านเองในเวลาต่อมา

     วันที่ 21 เม.ย.2505 ท่านถูกใส่ร้ายและถูกจอมพลสฤษดิ์ฯ สั่งให้จับกุม คุมขัง และจับท่านสึกหาลาเพศ แต่ท่านไม่ยอมเปล่งวาจาสึกท่านต้องโทษทัณฑ์จากทางการอยู่สิบปี ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ท่านพ้นผิด โดยในคดีนั้นปรากฏว่ามีความอิจฉาริษยากันในหมู่สงฆ์ และพระสังฆราชพระองค์หนึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้เช่นกันศาลได้กล่าวใน ตอนหนึ่งว่ากรรมที่ท่านถูกใส่ร้ายก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมแก่กัน 

     เมื่อพระพิมลธรรมพ้นโทษแล้วก็ได้รับสมณศักดิ์คืน จนได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดมหาธาตุ แต่ภายหลังท่านควรได้เป็นพระสังฆราช แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นตำแหน่งพระสังฆราชตกแก่พระญาณสังวร โดยที่ท่านอาสภะเถระได้ขอถอนตัวโดยเห็นแก่ความสามัคคีแห่งสังฆมณฑล เมื่อใกล้มรณภาพ เลขาของท่านยังต้องคดีปาราชิก ทำให้ตำรวจมาค้นกุฏิท่าน แต่ก็ไม่ได้พบอะไรที่ผิดปก แน่นอนชื่อของท่านก็มามีมลทินเพราะพระเลขาสมีเจี๊ยบแท้ๆ ตราบจนท่านมรณภาพไป 

     ตัวอย่างชีวิตของท่าน เป็นตัวอย่างพระที่มีทั้งสุขและทุกข์โคจรมา 

     สำหรับหลวงพ่อจรัลนั้นก็เคยไปฝึกวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำแต่ไม่ ถูกอัธยาศรัย จึงเปลี่ยนมาฝึกยุบหนอพองหนอ ซึ่งท่านก็ได้รับผลสำเร็จตามส่วนแห่งธรรม 

     หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นผู้มีเมตตา อัธยาศรัยดีและใจกว้างมาก ศิษย์หลายคนได้เปลี่ยนไปเรียนกับครูท่านอื่น อาทิ แม่ชีกบิล วรมัย กบิลสิงห์ ได้ย้ายไปเรียนวิชาที่วัดโสมนัส แล้วคิดว่าตนเองบรรลุธรรมจึงมากราบเรียนแนะหลวงพ่อ หลวงพ่อฟังโดยสงบ และกล่าวสั้นๆ ว่า เอ็งยังเห็นดวงธรรมในท้องหรือเปล่า เมื่อแม่ชีบอกว่าเห็น หลวงพ่อก็พูดว่า เออ ดีแล้ว ขอให้เห็นดวงธรรมในท้องเอ็งจะไปเรียนวิชาอะไรก็ช่างเถอะ หลวงพ่อฤษีลิงดำ หลวงพ่อจรัลเหล่านี้ล้วนเคยเรียนวิชากับท่านมาทั้งนั้น ภายหลังไปเรียนวิชาอื่น ท่านก็ไม่ว่ากล่าวใคร

     คุณเคยได้ยินชื่อหลวงพ่อบุดดา ถาวโร วัดศรีประจันต์ จ.สิงห์บุรีหรือไม่ คนเขาลือว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อหลวงปู่มรณภาพคนเขาไปรื้อย่ามท่าน มีพระอยู่องค์หนึ่งคือ พระของขวัญวัดปากน้ำรุ่นหนึ่ง

นายมหา

------------


ป้าฉลวย สมบัติสุข

     หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องการช่วยคนให้พ้นทุกข์ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำจะว่าใจดีก็ใจดี จะว่าดุก็ดุและท่านเป็นคนตรง ถ้าเห็นว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ขนาดสมเด็จวัดโพธิ์เป็นหลานของท่าน ท่านบอก "เฮ้ย ของเรามันถูกอยู่แล้วแน่นอนอยู่แล้วจะไปกลัวอะไร" 

     อย่างท่านบอกว่าสมเด็จวัดโพธิ์จะได้เป็นสังฆราช ไม่น่าเชื่อไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจริง เพราะว่าคนที่รอจะขึ้นเป็นสังฆราชมีอยู่อีกองค์คือพระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ถ้าสังฆราชองค์เก่าสิ้น พระวัดมหาธาตุต้องได้ขึ้นแน่นอนแต่พอดีมีเรื่องเกิดขึ้น ก็มาเป็นวัดโพธิ์ ท่านจะพูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็น คิดไม่ถึง ถึงเวลาจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้

     สมัยตอนหลวงพ่อมาอยู่วัดปากน้ำแรกๆ หลวงพ่อมาอยู้ท่านก็ทำตามความถูกต้อง ไม่มีอะไรกับใคร แต่คนที่มาอยู่รุ่นเก่า ที่เขาอยู่แถวนั้นก็มีบารมีเป็นที่นับถือ อาจจะไม่ชอบใจ เวลาหลวงพ่อท่านทำอะไรลงไปก็จะเป็นข่าวโจมตี แต่ยิ่งว่าไม่ดียิ่งดัง ของเรามันดีอยู่แล้วไม่ได้ไปทำความเสียหายอะไร คล้ายๆ กลองยิ่งตีมันยิ่งดัง แทนที่คนเขาว่าจะทำให้เสื่อมเสียหาย แต่กลับเป็นตรงกันข้าม

***********************************************

แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย

     วิชชาในโรงงาน หลวงพ่อจะเป็นคนสั่งวิชชา พูดผ่านฝากระดานที่กั้นไว้ ชีแถบหนึ่ง พระอยู่อีกแถบหนึ่ง มีที่กั้นแยกกันชัดเจน หลวงพ่อสอนทุกๆ คนเหมือนกัน ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร มีครั้งหนึ่งตอนท่านป่วยหนักเป็นปีที่ ๑๓ ที่ฉันมาอยู่กับหลวงพ่อ วันนั้นท่านให้คนมาเรียก ท่านถามว่า "เอ้าสั่นหายหรือยัง" สั่นก็คือไม่สบาย ฉันก็ตอบว่าค่อยยังชั่วแล้ว ท่านบอกว่า "ทำวิชชาไว้นะ ทำได้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ทำ เราจะไม่ได้" สั่งคำนี้ ท่านสั่งไว้ ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชา ๒๔ ชั่วโมง หลวงพ่อไม่เคยห่าง ทำวิชชาตลอด หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย มีครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม ช่วงกลางคืน คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน(หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น

************************************************

ลุงประคอง ทับจ้อย

     วิชชาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ นี่ท่านดีจริง ถ้าวิชชาของหลวงพ่อไม่แน่ ตอนนี้วัดปากน้ำเหลือแต่ดุ้นฟืน เพราะตามหลักจริงๆ แล้ววัดปากน้ำเป็นจุดระเบิด ที่ระเบิดลงเลยแหละ ธรรมดาตามหลักประตูน้ำ บางคลองนี้ไม่มีเหลือ ตั้งแต่ประตูน้ำบางนกแสก ประตูน้ำอ่างทอง ประตูบางยาง เหลือแต่ประตูน้ำภาษีเจริญที่ไม่เป็นอะไรเลย ไปถามเลยวัดวาอารามอยู่ที่ไหนไม่มีเหลือ ถูกทิ้งระเบิดหมดเลย ช่วงนั้นหลวงพ่ออยู่ในโบสถ์ ไม่ออกจากโบสถ์เลย นั่งทำวิชชาของท่านอย่างเดียว นั่งปัดลูกระเบิดอย่างเดียว แล้วบางคนก็จะวิ่งมาอยู่ที่วัดปากน้ำ เพราะมั่นใจว่ายังไงก็ปลอดภัยที่สุด สงครามเกิดขึ้นปี ๒๔๘๕ (สงครามโลกครั้งที่ ๒)

**************************************************

พระอาจารย์สุวิชา เปสโล คณะเนกขัมม์ วัดปากน้ำ

     หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ โทรทัศน์ ไม่ให้จับเงิน จับทอง แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ หลวงพ่อสด ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่ ท่านให้เราเป็นเสาหิน เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย มีครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์ ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร อยากจะทำก็ทำไป เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า เราหยุด หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร เราไม่หนี เราไม่สู้ แต่เราปฏิบัติ เราก็ทำความดีของเราเรื่อย เดี๋ยวไอพวกมาร พวกอิจฉาก็หายไปเอง เรานั่งเฉย ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร เขาด่าเราภายใน ๗ วัน เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง ไม่โต้ตอบ ชนะด้วยความดี

     ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์ หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้ อัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ

********************************************

พระมหาวิชัย วุฑฺฒสีโล

     เพื่อทราบความเป็นมา ในการที่พระคุณท่านได้มาทำการปกครองวัดปากน้ำภาษีเจริญ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปุจจุบัน ข้าพเจ้าจะได้บรรยายถึงวัดปากน้ำภาษีเจริญ สมัยก่อนที่พระคุณท่านจะได้มาทำการปกครอง เท่าที่พอจะสืบทราบได้ไว้สักเล็กน้อย เพื่อประกอบเรื่องของท่าน

     วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ปรากฏในตำนานเล่มหนึ่งกล่าวว่า เป็นพระอารามหลวงมาแต่โบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี หลักฐานที่ควรเชื่อถือได้นั้นคือ พระพุทธรูปทุกองค์ในพระอุโบสถ (เว้นพระพุทธรูปสี่องค์ที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยเมื่อไม่นานมานี้) นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นาพระพุทธรูปสมัยอยุธยาทั้งสิ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น วัดนี้ท่านเจ้าคุณพระสุธรรมมุนีวัดพระเชตุพนฯ ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตั้งแต่สมัยพระครูสมณธรรมสมาทาน(แสง)เป็นเจ้าอาวาสมีการปกครองเหลวแหลกมาก หลังจากท่านพระครูสมณธรรมสมาทานมรณภาพแล้ว ท่านพระครูพุทธพยากรณ์เจ้าอาวาสวัดอัปสรสวรรค์เจ้าคณะตำบลเป็นผู้รักษาการ แทนในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พระภิกษุสามเณรโดยมากเป็นพระเณรในท้องถิ่นนั้น มีพระจรมาอยู่น้อยเนื่องจากการศึกษาเล่าเรียนไม่มี ความประพฤติย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยมาก ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก(เผื่อน)พระอาจารย์ของท่าน จึงได้อ้อนวอนแกมบังคับให้ท่านมาอยู่วัดปากน้ำสัก ๓ เดือนแล้วก็จะกลับ เมื่อท่านมาอยู่แล้ว ท่านเจ้าคุณธรรมปิฎกได้แต่งตั้งสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูสมุห์ฐานานุกรมของ ท่านและสั่งกำชับซ้ำอีกว่า "ถ้าแผ่นดินยังไม่กลบหน้าแกอย่ากลับมา" ทั้งนี้ก็เท่ากับบังคับให้เป็นเจ้าอาวาส

     ต่อจากนั้นท่านก็เริ่มปราบปรามเหล่าภิกษุที่มีความประพฤติเหลวแหลกต่างๆ พระคุณท่านเคยเล่าว่า กว่าจะผ่ากระดานหมากรุกให้หมดได้ก็อ่อนใจ จึงเป็นเรื่องกระทบกระเทือนเจ้าคุณตำบลและพระภิกษุที่เคยอยู่มาก่อน ซึ่งเป็นผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในถิ่นนั้น การปกครองเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้แต่ชาวบ้านในแถวนั้นก็พากันเป็นศัตรูอย่างร้ายแรงกับท่านด้วย พวกที่เลื่อมใสในท่านก็มีบ้างเป็นส่วนน้อย พวกที่ตั้งตัวเป็นศัตรูได้ช่วยกันแพร่ข่าวอกุศลทับถมพระคุณท่านด้วยประการ ต่างๆ บางพวกก็เมาเอะอะอาละวาดในวัด บ้างก็ดักทำร้ายท่านถึงกับขึ้นโรงศาลก็มี บางพวกถึงกับคิดปล้นทำร้ายท่านก็มี ครั้งหนึ่งคนร้ายได้บุกขึ้นไปบนหน้าศาลาหาเรื่องต่างๆ ขณะพระภิกษุกำลังประชุมกันอยู่ เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ท่านถือเสียว่าเป็นการเพิ่มพูนบารมีให้แก่ท่าน ท่านมีคติว่า "พระเราต้องไม่สู้ ต้องไม่หนี ชนะทุกที" ดังเช่นครั้งหนึ่งมีคนร้ายประมาณ ๘ คน มีอาวุธครบมือเข้าลอบทำร้าย และจะทำร้ายท่านในเวลากลางคืนขณะที่ท่านอยู่ในห้องกรรมฐาน พอดีพระมหาแจ้ง (พระครูสถิตย์บุญญาธร) ซึ่งคอยคุ้มภัยให้ท่านอยู่แล้ว ได้ฉวยดาบเข้าป้องกัน ท่านได้เห็นเข้าก็ออกมาห้ามว่า "แจ้งอย่าๆ พระเราต้องไม่สู้ไม่หนี" ผู้ร้ายเห็นท่าไม่เข้าทีก็หลบหนีไป เรื่องราวต่างๆ ที่จะทำให้ท่านต้องเดือดร้อนรำคาญมีมากยิ่งกว่านี้ เหลือที่จะพรรณา แต่ท่านก็พยายามต่อสู้ด้วยความสงบ ผ่านพ้นอุปสรรคนานาประการ ทำความเจริญให้แก่พระศาสนาอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้ ลำดับต่อจากนั้นมาเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๖๔ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสมณธรรมสมาทาน

     ตั้งแต่ท่านได้มารับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองวัดปากน้ำ ท่านได้ดำเนินการค้นคว้าหลักวิปัสสนาธุระและทำการเผยแพร่อยู่เรื่อยๆ มิได้มีการหยุดยั้งแม้แต่จะมีอุปรรคต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนนั้น ข่าวการปฏิบัติการค้นคว้าและการเผยแพร่ธรรมนี้ ได้ล่วงรู้ถึงสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน)ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน จนถึงกับเรียกตัวท่านไป ตำหนิว่า "เฮ้ย! แกอย่าบ้าไปนักเลย เดี๋ยวนี้อรหัตอรหันต์ไม่มีกันแล้ว มาช่วยกันทำงานปกครองคณะสงฆ์เถอะ" การที่ท่านอาจารย์ของท่านตักเตือนเช่นนี้ ถ้าพิจารณษแล้วก็เป็นการเตือนด้วยความหวังดี เพราะท่านไม่เห็นธรรมอันลึกซึ้ง จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ท่านต้องไม่เชื่อและขอให้ระงับเสีย เจ้าพระคุณหลวงพ่อรับฟัง แต่ไม่ปฏิบัติตามคงทำงานค้นคว้าและสอนธรรมอยู่เช่นนั้น จึงเป็นที่ขัดใจของท่านอาจารย์ของท่านนัก แต่ต่อมาเมื่อสมเด็จพระวันรัต(เผื่อน) ทรงประชวรหนัก ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อได้จัดพระภิกษุไปช่วยแก้โรคตามหลักวิชาการของท่าน ในตอนนี้สมเด็จฯ ได้เคยทรงอ่านหนังสือธรรมกาย ซึ่งคุณพระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพะสุต ป.๖ เนติบัณฑิต) ซึ่งได้รวบรวมและเรียบเรียง จากเทศนาของพระคุณหลวงพ่อ พระคุณท่านได้เคยทดลองปฏิบัติตาม ประกอบทั้งเจ้าคุณหลวงพ่อได้เคยไปถวายคำแนะนำเพิ่มเติมท่านจึงเชื่อว่าเป็น ของจริงของแท้และเกิดความเลื่อมใส ข้าพเจ้าเองก็ได้เคยฟังจากคำพูดของท่านเจ้าคุณวิเชียรธรรมคุณ เลขานุการท่านว่า สมเด็จฯ ได้เรียกท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม(ช้อย) ไปเฝ้าและรับสั่งว่า "ท่านเจ้าคุณช่วยจัดการเรื่องอุปัชฌาย์วัดปากน้ำที ฉันดูพระผิดเสียองค์หนึ่งแล้ว" พระพิมลธรรมก็รับคำสมเด็จฯ รับสั่งต่อไปว่า "สาธุ" พร้อมกับยกมือขึ้นประนมแล้วกล่าวสืบต่อไปอีกว่า "ฉันกดเขามาหลายปีแล้ว ช่วยจัดการให้เรียบร้อยด้วย"

****************************************************

คุณครูตรีธา เนียมขำ

     การเผยแผ่วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อในสมัยก่อนนั้น ท่านถูกคัดค้านต่อต้านมากมายเพราะในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดสั่งสอนการปฏิบัติ แบบนี้ การส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ก็เน้นในก้านปริยัติเพียงด้านเดียว พระที่สนใจการปฏิบัติก็มักจะหลีกเร้นไปแสวงหาที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญเพียร ตามป่าเขาลำเนาไพร หลวงพ่อของเราจึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกที่กล้าสอยการปฏิบัติธรรมอย่างเปิดเผย ท่านจึงเป็นที่เพ่งเล็งและเป็นเป้าให้คนโจมตี ผู้ที่คัดค้านการปฏิบัติของท่านนั้นมีทั้งฆราวาสและพระภิกษุ แต่หลวงพ่อท่านก็มิได้ครั่นคร้าม หรือย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ท่านยึดถือพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างและเดินตามรอยบาทของพระ พุทธองค์อย่างไม่ย่อท้อ ท่านจึงพยายามฟันฝ่าอุปสรรคอย่างองอาจกล้าหาญ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้แจ้งในหลักการของพระพุทธศาสนา ท่านต้องการเชิดชูธงธรรมกายของท่านให้ปลิวไสวไปทั่วทุกพื้นปฐพีหลวงพ่อท่าน มีคติพจน์ของท่านว่า

     "ดอกไม้ที่หอมไม่ต้องเอาน้ำหอมมาพรมก็หอมเอง ใครจะห้ามไม่ได้ ซากศพไม่ต้องเอาของเหม็นมาละเลงใส่ซากศพก็ต้องแสดงกลิ่นศพให้ปรากฏ ปิดกันไม่ได้"


     พิจารณาจากคำเทศน์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

bbb-ymets642001626811997.jpg

bbb-cmeiw738318120562871.jpg

bbb-rndhu793470089798952.jpg

******

สมถะ

--------------------------------------------------

หมายเลขบันทึก: 85795เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2007 23:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กรกฎาคม 2012 15:43 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

บทวิเคราะห์ -ตอนที่พระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุสโส)ได้ออกความเห็นในมหาเถรสมาคม ที่วัดบวรนิเวศนั้น (พ.ศ.2490-2491) เกี่ยวกับข่าวลือว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำเห็นพระพระพุทธเจ้า และสามารถอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้ชาวบ้านได้เห็นกันในวันเวียนเทียน และได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ไปสืบเรื่องดังกล่าว นั้น

1.พระอริยคุณาธาร เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถร ย่อมเป็นผู้ทรงคุณในทางสมถะ-วิปัสสนา

2.ก่อนหน้านั้น (พ.ศ.2489) ท่านได้ทราบจากฤาษีพรหมรอด(เข้าทรงเจ้าอาวาสวัดที่นครจำปาศักดิ์) พยากรณ์ว่าจะมีพระผู้มีญาญวิเศษ สามารถเห็นพระพระพุทธเจ้าได้ และจะเป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างไกล และพระพุทธศาสนาจะดำรงจนครบ 5,000 พรรษา (ขณะนั้นความสงสัยนี้ อยู่ในใจท่านว่าจะเป็นผู้ใด)

และเมื่อท่านได้พบหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว ได้สนทนาธรรมกัน และได้ถามถึงพุทธลักษณะของพระพระพุทธเจ้า หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ได้ชี้ให้ดูพระพุทธรูป แล้วก็บอกลักษณะอย่างนั้น พระเกศเป็นแหลมๆอย่างนั้น

ต่อมาข่าวเล่ารือเกี่ยวกับหลวงพ่อวัดปากน้ำก็เงียบไป

ข้อสังเกตุ -เมื่อเหตุการณ์ข้อ 2 ประกอบที่ท่านทรงคุณในทางสมถะ วิปัสสนา ท่านคงต้องคิดในเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำอย่างแน่แท้ จึงได้ถวายความเห็นแก่สมเด็จพระสังฆราช และมหาเถระ

บทสรุป-"วิชาของเรานี้เป็นของแท้ พระพุทธศาสนาเก๊ได้หรือ" วาทะของหลวงพ่อ

ขอเพิ่ม และแก้ไข

1.พระอริยตุณาธาร ( เส็ง ปุสโส ) เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น รุ่นแรกๆ

2.ฤาษีพรหมรอด เป็นฤาษีพรหมนารอด

ท่านผู้ใฝ่ธรรมะทั้งหลาย ลองค้น และอ่านบทความที่กล่าวถึงพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ ในตอนที่ท่านกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดนามว่า วิมุตโตมัย กับพระเณรอีก 2-3 รูป ที่กล่าวถึงการที่มีผู้นำพระพุทธศานาไปเผยแผ่และสอนพวกฝรั่งนั้น ท่านบอกว่าเขาเหล่านั้น(ฝรั่ง) ไม่มีทางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และบรรลุ(ธรรม)ได้เลย เพราะเป็นพาหิประเทศ(น่าหมายรวมถึงประเทศและบุคคล..ไม่แน่ใจในคำว่า

พานิประเทศ จะถูกต้องไหม ลองช่วยค้นหาด้วย..ขอบคุณ) ซึ่งท่านหมายถึงบุคคลนอกวงวาน(พระพุทธศาสนา) และท่านยังได้กล่าวถึงตอนที่ท่านธุดงตวัตรไปที่พม่า ท่านกล่าวว่าพม่านั้นไม่มีพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดเลย จะมีแต่เพียงผ้าขาวที่สำเร็จอริยบุคคลขั้นที่ 3 เท่านั้น สู้ประเทศไทย ลาว ไมได้ มากไปด้วยพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด และไม่ขาด(ตอน)เลย

***ดังนั้น ท่านจงตรึกตรอง(เหตุ)ดูเถิดเกี่ยวกับเรื่องธรรมะในพม่า(ทั้งหมด) และผลในความจริงที่กล่าวนั้น

บทความ และบทวิเคราะห็ ทั้งหมดที่ได้ทราบกันจากข้างบนนี้สมบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว ถ้าจะแยกเป็น 2 กรณี 2 พวกอาจแยกได้คือ

1.พวกที่นับถือในตัวพระอาจาร์แก้วของพวกเรา หลวงพ่อสด สด จันทสโร(หลวงพ่อวัดปากน้ำ) ไม่ต้องสงสัยในตัวปรมาจารย์ในวิชชาธรรมกาย และวิชาธรรมกายใดๆทั้งสิ้นแล้ว ขอท่านจงเร่งศึกษาปฏิบัติในแนววิชชาธรรมกายต่อไป ดังคำที่ท่านสอนศิษย์ผู้ใกล้ชิดให้เร่งทำวิชชา เราทำเราได้ อย่าได้กังวลใจในคำหลบหลู่จากผู้อื่น สำนักอื่นอีกต่อไป รังแต่จะทำให้จิตใจของเราเองขุ่นหมองตามเขาจะเป็นอุปสรรคให้การปฏิบัติธรรมของเราเอง และจะเนิ่นนานล่าช้าไปโดยไม่สมควรแก่เหตุ

2.พวกที่นับถือในครูบาอาจารย์ ที่ยกย่องว่าครูบาอาจารย์ของตน เก่งกล้า หรือเหนือกว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือพวกที่ติดในแนวคำสอนของสำนักตนที่คิดว่าแนวคำสอนของสำนักตนถูกต้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาหรือเหนือกว่าวิชชาธรรมกายก็ตาม ท่านคิดถูกแล้วในส่วนของท่าน แต่ถูกเพียงส่วนน้อยเพียงส่วนเดียว อย่าลืมว่าการปฏิบัติสมถวิปัสสนานั้นมี 40 แบบ 40 แนวทางการปฏิบัติ การที่มุ่งโจมตีวิชชาธรรมกาย ขอบอกให้เลยว่าท่านคิดผิด ท่านจงรู้ตามที่จะบอกนี้ คือ

*** วิชชาธรรมกาย มิใช่ยึดกรรมฐานแบบใดแบบหนึ่งเป็นแบบในการปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็นแนวปฏิบัติที่รวมกรรมฐานหลายๆกองมารวมเป็นหนึ่ง เพื่อใช้เป็นบาทในการเจริญธรรมะตือ เริ่มแรกให้กำหนดดวงแก้วใส แล้วเพ่งดวงแก้วใสให้เห็นในศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นั้น ให้ท่านพิจารณาแบบง่ายๆใกล้ตัวท่าน สมมติว่าแก้วน้ำวางอยู่ข้างหน้าท่าน ในความมืดท่านจะเห็นแก้วใบนั้นไหม ก็ต้องตอบว่าไม่เห็น แล้วเห็นเพราะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีแสงสว่าง เฉกเช่นเดียวกับวิชชาธรรมกายก็เป็นเช่นนั้น การกำหนดแก้วใสให้เห็นก็คือการเพ่งอโลกสิณรวมกับจตุธาตุวิวัฏฐานคือลูกแก้ว ลูกแก้วนั้นยิ่งสำคัญยิ่งนัก คือเปรียบเหมือนดวงธรรมกายที่หลวงพ่อได้สอนไว้ ในดวงธรรมกายประกอบด้วยธาตุดิน้ำลมไฟ ไม่ใช่แค่นั้นยังมีอากาศธาตุอยู่ตรงกลาง กลางอากาศธาตุมีวิญญษนธาตุ และสำคัญที่สุด(ที่ท่านและเราต่างมุ่งหวังไขว่คว้ากันนักคือ คือนิพพานธาตุ ซึ่งอยู่ในสุดกลางสุด นี่สิคือจุดสำคัญที่สุดที่หลวงพ่อให้เพ่งให่พิจารณาที่ว่าหยุดในหยุด กลางในกลาง ไม่ใช่อื่นใดเลยคือ สมานัสติ(การพิจารณานิพพานเป็นอารมณ์ ซึ่งก็อยู่ในอนุสสติ 10 เหมือนกัน)

สรุปแล้ววิชชาธรรมกายมิใช่ถือเอากรรมฐานกองหนึ่งกองใดเป็นอารมณ์ ที่เป็นการรวมกรรมฐานหลายๆกองมาใช้ในการทำกรรมฐานคือ

1.อโลกกสิณ(แสงสว่าง)

2.ปฐวีกสิณ (ดิน)

3.อาโปกสสิณ(น้ำ)

4.วาโยกสิณ(ลม)

5.เตโชกสิณ (ไฟ)

6.อากาศกสิณ (อากาศธาตุ) ..อรูปฌาน 4

7.วิณณานกสิณ...อรูณาน 4

8.สมานัสสติ (การพิจารณานิพพานเป็นอารมณ์ ...อยู่ในอนุสติ 10)

9.พุทธานุสสติ

10.ธรรมานุสสติ

11.สังฆานุสติ (9,10,11 คือการภาวนาสัมมาอรหัง (2ถึง 10 ไปดูผังแบบในเหรียญถวายภัตตาหาร

วิชชาธรรมกายจึงเป็นการฝึกที่ค่อนข้างจะยาก น้อยคนนักที่จะได้ (จึงหายไปหลังพุทธกาล 500 ปี) ยิ่งวิชชาธรรมกายชั้นสูงด้วยแล้ว ก็ยิ่งน้อยมากที่จะได้ วิชชาปราบมารเราท่านก็พึ่งได้ยินในสมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำนี้แหละ ก่อนหน้าเคยได้ยินบ้างไหม เคยมีคนกล่าวว่าคนที่ฝึกวิชชาธรรมกายไม่เห็นมีใครเป็นพระอรหันต์สักคน นั่นก็จริงดังที่ท่านกล่าว เพราะส่วนมากคนที่เดินสายธรรมกายนั้นไม่ค่อยจะเข้านิพพานกัน มันสูงกว่านั้นมากนัก (ความปรารถนา) ทุกๆคนมักจะเดินตามรอยเท้าหลวงพ่อวัดปากน้ำกันทุกคน (โพธิญาน))เพราะทุกคนคือลูกหลานลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งสิ้น การจะช่วยเหลือสัตว์ให้พ้นทะเลวัฏฏสงสารมิใช่เรื่องง่ายๆเลย ต้องช่วยกันหลายคนหลายฝ่าย การเข้านิพพานของวิชชาธรรมกายก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านผ่านอายตนนิพพานมานับมิถ้วนอสงขัยนับนิพพานไม่ถ้วน ทำไมล่ะล่ะท่านจึงไม่เข้านิพพาน ได้เพียงแต่ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกนิพพาน ไปอาราธนาพระพุทธเจ้าทุกนิพพานให้กระทำพระของขวัญของท่านให้ศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น บางครั้ง ท่านผู้รู้หลายท่านมักกล่าวว่าเป็นแนวมหา่นิกายก็มิผิดไป

ดังนั้นผู้ที่เคยลบหลู่ดูหมิ่นเจ้าประคุณพ่อ และวิชชาธรรมกาย ของท่านจงเปลี่ยนความคิดยึดถือที่ผิดๆก่อนหน้านั้นเสีย เพราะจะเป็ยภัยเป็นบาปอย่างมหันต์ต่อตัวท่านเอง และจะทำให้การปฏิบัติของท่านผลจะเนิ่นช้าออกไปอีก ขนาดท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร(เจ้าคุณเส็ง ปุสโส หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่บุดดา ยังยอมรับนับถือหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย (ไปอ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานตอนแรกๆ ที่หลวงพ่อฤาษี กล่าวถึงพระที่ลุงพุฒิ (พระยายม) บอกไว้ว่ามีพระโพธิญาน และอรหันต์ที่ควรกราบไหว้อยู่ 7-8 รูป จะมีหลวงพ่อสด วัดปากน้ำด้วย 1 รูป)

ขอแก้ข้อความ ในวงเล็บ ในข้อที่ 11 จาก 2 ถึง 10 เป็น 1 ถึง 11 เพราะทุกข้อ(1-11) ล้วนอยู่ในรูปเครื่องหมายดวงธรรมกายในแนววิชชาธรรมกายของวัดปากน้ำทั้งหมด

คุณสัมถะ คุณเก่งมาก ที่สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม ขอบคุณมากขอนับถือจากใจจริง

Thank you so much for such a great information regarding luang puSod and Vicha Thammagaya na ka

Sawasdee ka, Thank you for such a great information regarding to Luang Poo Sod and Vicha Thammakaya na ka.....recently thammakaya temple aslo follow the same path of Lung Poo Sod Isn'it? If you have any information regarding thammakaya temple related vicha Thammakaya please share with us. Kob kun ka

Jane

ธรรมะเป็นเรื่อง ที่รู้เฉพาะตนเอง จะเถียงกันทำไม ผุ้ใดทำให้ใจของตนเอง พ้นทุกขืและไม่ติดในความสุขได้ ก็พอแล้วมั้ง ไม่ต้อง ว่าคนนั้นถูก คนนั้นผิด หรอกครับ มันคือทิฐิ ที่ใจเราเอง มั้ง

อ่านแล้วชอบจังเลย โดยเฉพาะโอวาทเจ้าคุณพ่อไม่ทรายว่าจะหาอ่านทั้งเล่มที่ไหน เพราถ้าจะไปวัดปากน้ำ คงไม่มีโอกาส เพราะอยู่ต่างจังหวัดทางอีสาน

                        ขออนุโมนทาค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

ขออณุญาติเล่าเรื่องจริงที่ประสปมา ท่านทั้งหลายช่วยดูว่าเป็นการปฏิบัติแนวไหน

นี่คือเรื่องจริง..ที่พบเจอด้วยตัวเองคือ...ความวิบัติอย่างสาหัสของผู้ปฏิบัติที่ผิดทาง หลงทาง ไม่เข้าหลักอริยสัจสี่ เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก
ประมาณปี พ.ศ.2543 ได้ไปเยี่ยมพระเพื่อน เคยสนิทกันท่านเป็นพระฝ่ายธรรมยุติขณะนั้นท่านได้ประมาณ7พรรษา ท่านไปพำนักอยู่วัดมหานิกายแห่งหนึ่งในอำเภอปากพนัง จ.นครศรีฯ ทราบว่าเจ้าอาวาสวัดนี้ชื่อพระอาจารย์สมชาย กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง มีลูกศิษย์ศรัทธามากมาก ถึงขนาดสามารถสร้างเจตีย์องค์ใหญ่ขึ้นมาได้สำเหร็จ
พอไปถึงพบพระเพื่อน(ขออนุญาติสงวนนาม)ท่านก็ได้แนะนำให้รู้จัก อ.สมชาย เป็นพระรูปงามมาก ทราบว่าเคยเป็นพระเอกหนังจักรๆวงศ์ๆมาก่อน ขณะที่พบท่านอายุ30กว่าๆ ทราบว่าวัดนี้มีพระหนุ่มๆมาอยู่เป็นลูกศืษย์ท่าน อ.สมชาย หลายรูป 
ความรูปงาม เสียงไพเราะ เทศน์ชักจูงใจเก่ง ทำให้มีโยมรักท่านมาก มีแม่ยกมาอุปถัมภ์มากมาย ทั้งทราบข่าวว่าท่านสามารถรักษาคนเจ็บป่วยเพียงแค่ยกมือลูบไปเหนือตัวคนไข้ คนเป็นอ้มพฤษยังหาย ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังคนต่างถิ่นก็มากันมากมาย
พอได้คุยสนทนาธรรมกับพระเพื่อน ท่านก็ยกย่องพระอาจารย์สมชาย ว่ามีบารมีมหาศาล เป็นมหาโพธิสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ อนันตจักรวาลเลยทีเดียว ส่วนพระทุกรูปที่อยู่วัดนี้รวมทั้งพระเพื่อนด้วย ก็ล้วนเป็นระดับโพธิสัตว์ทีสั่งสมบารมีมายิ่งใหญ่กันทั้งนั้น 
ท่านยั่งเล่าว่าพระทุกรูปที่อยู่กับท่านอ.สมชาย ล้วนเคยได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้ามาแล้วในอดีตชาติว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต โดยมีทานอาจารย์สมชายท่านบอกและยืนยัน พระทุกรูปศรัทธา อ.สมชาย และยกเป็นอาจารย์ 
และทุกรูปยังเล่าว่า ต่างก็มีกายทิพย์ที่มีอิทธิฤทธิ์มหาศาลมีรัศมี มีวิมาน ที่อลังการณ์สุดประเสริฐต่างๆกัน ทั้งยังสามารถถอดกายทิพย์ไปไหนต่อไหนได้ตามใจต้องการ แม้แต่ไปกราบพระพุทธเจ้าในอดีตได้ทุกพระองค์ หรือจะไปสวรรค์วิมานได้ตามใจต้องการ แสดงกำลังฤทธิ์โดยกายทิพย์ได้ดังใจ 
ข้าพเจ้า สังเกตุได้ชัดเจนว่า อาการของพระที่วัดนี้มีลักษณะเหมือนเป็นสาวกของ อ.สมชาย ทุกรูปมีหน้าตาดูมีความสุข ที่ได้อยู่ปฏิบัติที่นี่ และดูจากอาการว่าสิ่งที่เขาพูดบรรยายมา เขาคงได้สัมผัสจริง และรู้เห็นจริง โดยมโนมยิทธิ ถึงได้เชื่อมั่นขนาดนั้น และทุกท่านได้ฝึกมโนมยิทธิจาก อาจารย์สมชาย 

ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าพอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้พยายามหาวิธีการตักเตือน พระเพื่อนว่ากำลังปฏิบัติผิดทาง ก็ไม่เชื่อ เลยบอกว่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นการสร้างฤทธิ์โดยมโนมยิทธิ โดยจิตสร้างเรื่องสร้างภาพขึ้นมา หลอกตัวเอง โดยการชักจูงจิตโดยอาจารย์สมชาย อาศัยว่าคนที่มีจิตอ่อน ศรัทธาจริต ทั้งยังไม่เคยปฎิบัติผ่านสภาวะทีจิตใจสงบเป็นสมาธิ ที่ละเอียดประณีตยิ่งกว่านี้ พอถูกสภาวะแวดล้อมจูงใจด้วยการสร้างบรรยากาศ ด้วยคนที่ดูน่าเชื่อถือ แล้วทำการฝึกแนวกสิณ ให้จิตเพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลูกแก้ว มีการพูดจูงจิตเป็นขั้นเป็นตอน จนจิตเชื่องทำตามคำสั่ง ก็สั่งให้ถอดกายทิพย์ทะลุดวงกสิณนั้นเข้าไปในมิติทิพย์ ทั้งที่ร่างกายยังนั่งอยู่ แต่จิตท่องเที่ยวตามคำสั่งของผู้ที่ชักจูงจิต(หรือเรียกว่าผู้ทำการสะกดจิตก็ได้)จิตก็จะทำการสร้างมโนภาพ ตามคำบรรยายทีผู้ชักจูงพูดให้ฟัง หรือตามที่เคยจินตนาการของจิต ก็ได้เห็นได้สัมผัสสิ่งที่วิจิตรพิศดารต่างๆที่ทำให้จิตหลงเชื่อแบบชนิดโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
ตรงนี้เอง..จิตของผู้ปฏิบัติคนนั้น กลายเป็นเหมือนสาวกของผู้ที่เป็นอาจารย์ที่ทำการช้กจูงจิต(หรือสะกดจิต) กลายเป็นคนที่ เชื่องสนิท ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์จะชักนำให้ทำอะไร เช่นทำบุญ ปรนนิบัติ หรือทำอะไรได้ตามที่อาจารย์ต้องการ แต่โดยมากอาจารย์เองก็หลงปฏิบัติมโนมยิทธินิ้มาอีกที ถ้าสายที่ถ่ายทอดมา ยังไม่ชั่วร้าย ก็จะเน้นเรื่องทำบุญสร้างบารมี แต่เนื่องจากจิตที่ยังไม่รู้ทางเจริญทางเสื่อมในอริยมรรคอย่างชัดเจน และยังมากไปด้วยกิเลส และความหลง บางที่ใช้ในการหาผลประโยชน์จากคนที่เป็นสาวก บางทีถ้าสาวกเป็นผู้หญิงถึงขนาดบำเรอกามมารมณ์ก็มี แต่เดี๋ยวก็จะเสือมไป แต่คนๆนั้นยังรู้วีธีการสะกดจิต แบบมโนมยิทธินี้ ก็ยังหากินหาประโยชน์ได้ต่อไป คนที่หลงผิดไปแล้วถอนตัวถอนใจได้ยากมาก จิตจะบอบช้ำจากการโดนหลอกหลอนจิต กว่าจะเห็นทุกข์โทษเวรภัย และกว่าจะเป็นอยู่ในโลกปรกติได้เหมือนกัลยาณชนทั่วไปก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ส่วนคนที่เป็นอาจารย์ชักนำคนไปในทางผิดเช่นนี้ ถือว่ากระทำกรรมหนักมากๆๆ เหมือนเป็นการทำให้คนเสียสติไป เสียความปรกติวิสัยไป เมื่อใดกรรมนั้นตามเห็นผลก็จะได้วิบากที่หนักมากๆๆนับชาติไม่ถ้วน
ท่านทั้งหลาย ไม่นานนัก ได้ทราบข่าวว่า ท่าน อ.สมชาย ได้ชวนลูกศิษย์ที่เป็นพระหนุ่มๆ ห้าหกคน ลาสิกขาไปเห็นบอกว่าไปสร้างบารมีทางโลก ส่วนพระเพื่อนของข้าพเจ้าถอนตัวได้ทันจึงไม่สึกตาม และแยกตัวไปจากท่าน อ.สมชาย จึงรอดมาได้ถึงปัจจุบัน
จนเมื่อปี 2549หนังสือพิมพ์ข่าวสดพาดหัว 
หนุ่มสติเฟื่อง ฆ่าแม่ตัวเอง ตัดคอ แขน ขา ทิ้งคูน้ำ ที่จังหวัดสตูล แล้วหลบหนีไปอาศัยที่วัด ตำรวจตามไปจับได้ขณะเดินจงกรมอยู่ในวัด ทราบชื่อว่า นายสมชาย นาคจันทร์ ให้การวกวนสับสน และทราบว่านายสมชายมีอาการทางจิต เคยบวชแล้วสึกมาหลายหน เคยเป็นถึงเจ้าอาวาส ตอนหลังสึกมา อาศัยอยู่กับแม่ตามลำพัง และได้ทำการฆ่าหั่นศพแม่ ดั่งที่กล่าวมา
ท่านทั้งหลาย นายสมชาย นาคจันทร์ คนที่ฆ่าแม่ ของตัวเองด้วยความวิกลจริต นั่นแหละคือ พระอาจารย์สมชาย ที่เคยโด่งดัง ที่ปฏิบัติมโนมยิทธิ ท่านลองพิมพ์เข้ากูเกิล ว่านายสมชาย นาคจันทร์ ฆ่าแม่ตัวเอง แล้วท่านจะเชื่อว่าที่เล่ามาทั้งหมดคือเรื่องจริง ข่าวล่าสุดได้บอกว่าหลังจากนั้นไม่นานนัก นายสมชาย ก็ได้ทำการฆ่าตัวเองตาย คงจะในคุก ท่านลองไปปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ไปที่วัดบางฉนาก ท่านจะเห็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่อดีตเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์สมชาย ได้สร้างไว้ แล้วถามเรื่องราวความจริงจากคนแถวนั้น แล้วท่านจะสลดใจเมื่อได้ฟังความจริงจากปากชาวบ้านใกล้ๆวัดที่เคยศรัทธา อ.สมชาย อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์แก่นักปฏิบัติ และผู้ที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ว่าถ้ามิจฉาทิฎฐิ ครอบงำแล้ว ปฏิบัติไปสอนไปด้วย คิดสอนผู้อื่นแต่ตัวเองยังหลงอยู่ ก็เหมือนคนว่ายน้ำยังไม่เป็นแต่กระโดดน้ำไปช่วยคนตกน้ำต่างคนก็ว่ายน้ำไม่เป็นเลยกลายเป็นกอดคอกันจมน้ำตาย


สาาาธุค่ะ สำหรับความรู้ของวิชชาธรรมกาย

วิชชาธรรมกาย จริงๆแล้วมันก็คือโอภาสกสิณในคัมภีร์ปกรณ์วิเศษวิสุทธิมรรคนั่นแหละ หาอ่านดูได้

หลวงพ่อสดท่านรู้ว่าวิชาธรรมกายไม่ใช่ทางสูงสุดแห่งการหลุกพ้น(ทำได้เพียงครองไว้แค่ญาณ3) หลังจากท่านฝึกสติปัฎฐาน4 จากเจ้าคุณโชดก

ท่านพุทธสาวก  มีหลักฐานอ้างอิงจากที่ไหน อย่างไร หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฝึกของพระเถระสองท่านนี้  นำมาเผยแพร่บอกกล่าวได้มั้ยครับ จะได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องกันต่อไป 

แปลกตา ฝ่ายยุบหนอพองหนอ ดังยังไงก็มีศิษยานุศิษย์และเผยแพร่ได้น้อยกว่าสายธรรมกายมากๆ. และคนไม่ศรัทธาเท่าครับ





วันนี้มาต่อกันที่การฝึกโอภาสกสิณ หรือกสิณแสงสว่างครับ


------เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ

------ เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น


--- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.


----จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน ให้จิตสะอาดและคลายจากความยึดมั่นในร่างกาย


----กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของกสิณ และได้วสีความชำนาญในการเข้าออกย้ายกองกสิณด้วยเทอญ

----------ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน กสิณและสมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ

---1. เราเริ่มกันต่อที่กสิณแสงสว่าง จับลมสบายจากนั้นกำหนดจิต จับภาพ ของแสงที่ส่องลอดออกมาจากช่อง เช่น แสงแดดที่ส่องเป็นลำแสงผ่านเงาไม้หรือช่องหน้าต่าง ช่องแสง หรือแสงที่ส่องผ่านรูรั่วเล็กๆ จำภาพและอาการที่ลำแสงส่องลอดออกมาให้ติดในใจ จนกระทั่ง

จิตนิ่งสนิทอยู่กับภาพของลำแสงที่ส่องอยู่นั้น จากนั้นอธิฐานกำกับขอให้ กองกสิณแสงสว่างนี้ ตั้งมั่นอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ก็ขอให้ติดอยู่ในอารมณ์จิตของเราเสมอ

----2. กำหนดจิตนิ่งๆใจสบายจน โอภาสกสิณ ในจิตที่เป็นลำแสงที่เห็นในจิตว่าส่องสว่างอยู่นั้น ค่อยๆ มีประกายระยิบระยับขึ้นช้าๆ และค่อยๆ ใสขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้นและใจเรายิ่งสบายขึ้น

----3. กำหนดจิตให้เบาสบายแช่มชื่นขึ้น กสิณแสงสว่าง ค่อยๆใสขึ้นเป็นแก้วระยิบระยับ มีลักษณะเป็นดวงกลมขึ้นเป็นสามมิติขึ้น กสิณเป็นดวงใส ใจยิ่งสงบขึ้นสบายขึ้น ลมหายใจยิ่งน้อยลงไปและมีความละเอียดขึ้น อธิฐานกำกับว่า อุคหนิมิตรนี้ ขอให้เราจำอารมณ์ และสามารถเข้าได้ทุกครั้งที่ต้องการด้วยเทอญ

----4. ใจเรายิ่งสบาย กำหนด จิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่กับนิมิตรกสิณนี้ เมื่อใจเรายิ่งสบาย ดวงกสิณ ก็จะยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้นเรื่อยๆจนเปล่งแสงออกแพรวพราวระยิบระยับ เป็นรัศมีเหมือนประกายเพชรหลากสี ใจเรายิ่งสดชื่นอิ่มเอมใจ นิ่งอยู่ในนิมิตรกสิณที่ปรากฏอยู่ หากแม้ลองย้อนจิตสังเกตุการหายใจจะพบว่าขณะนี้ ลมหายใจหายไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องไปสนใจร่างกายหรือการหายใจใดๆ จิตจดจ่ออยู่กับ นิมิตรที่ปรากฏนี้ จนชินอารมณ์ และอธิฐานกำกับว่า ขอให้ปฏิภาคนิมิตรนี้ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการไม่ว่าจะลืมตาก็ดีหลับตาก็ดีด้วยเทอญ

-----5.จากนั้นฝึกเคลื่อนนิมิตรกสิณ โดยเริ่มจากการฝึกย่อดวงนิมิตรให้เล็กลงจนเท่ากับหัวเข็มหมุด จากนั้นค่อยๆ ขยาย ดวงนิมิตรออกให้ใหญ่ขึ้นจนใหญ่เต็มจักรวาล จากนั้นก็ฝึกย่อ ขยาย เล็กใหญ่ให้ได้ดังใจ จนรู้สึกพอใจจึงไปข้อต่อไป

-----6. จากนั้น ลองเคลื่อนดวงกสิณนี้ไปซ้ายไปขวา ไปข้างหน้า ไปข้างหลังวนอยู่รอบตัวเรา วนอ้อมข้ามหัวเรา ตลอดเวลาที่เคลื่อนประคองอารมณ์ให้ดวงกสิณนี้ เปร่งรัศมีเป็นปฏิภาคนิมิตรอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไปมาให้ได้ดังใจและรู้สึกพอใจแล้วไปข้อต่อไป

-------7.อธิฐานให้ดวงกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิตรนี้ เพิ่มจำนวนเป็น สอง เป็นสี่ เป็นสิบหก เป็นสองร้อยห้าสิบหก จนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวบกลับมาเป็นดวงเดียว ฝึกเพิ่มลดจำนวนให้ชำนาญจนพอใจ จากนั้น ฝึกข้อต่อไป

------อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตเจริญโอภาสกสิณควบ พุทธานุสติกรรมฐาน คราวนี้กำหนด ภาพของลำแสงที่ส่องตรงลงมายังองค์พระพุทธรูป และยิ่งทำให้องค์พระพุทธรูปท่านส่องสว่างยิ่งขึ้นจนเหลือเพียงภาพ องค์พระพุทธรูปที่เปร่งแสงสว่างเพียงอย่างเดียวให้เราติดตาติดใจ นึกถึงท่านแล้วใจของเรายิ่งสบาย ให้เห็นชัดตั้งมั่นในจิต จากนั้น กำหนดจิตให้พระท่านค่อยๆโปร่งแสงขึ้น อีก จนใสขึ้นเป็นอุคหนิมิตร จากนั้น ใสขึ้นสว่างขึ้นจน เป็น รัศมีฉัพพรรณรังสี สว่างไสวสวยงาม ระยิบระยับ จากนั้น อธิฐานขอให้พระท่านเล็ก ใหญ่ ได้ดังใจ อธิฐานให้ท่านมาประทับวางบนศรีษะ ในศีรษะ ในอก ได้ดังใจ จากนั้นอธิฐานกำกับว่า ขอให้พุทธนิมิตรที่ปรากฏขึ้นในจิตของข้าพเจ้านี้จงสถิตอยู่ในดวงจิตเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นอนุสติแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ

---ขออนุญาตที่ไม่ได้เรียงลำดับของกสิณ และอารมณ์ รวมทั้งอาการนิมิตรของกสิณทุกกองมีสภาพสภาวะเหมือนกันเท่ากันดังนั้นในข้อ 2- ข้อ 7 จะเหมือนกัน เราจะฝึกให้ชำนาญในวันต่อไป ทีละกองจนครบสิบ กองและ ค่อยฝึกเลื่อนณาน สลับฌาน สลับกองกสิณให้ชำนาญเป็นวสี ครับ

----จากนั้นทำกำลังใจให้ใสสะอาดบริสุทธ์ จนมองเห็นดวงจิตและอาทิสมานกายของเราให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก

------จากนั้นกราบขอบคุณและกราบลาพระพุทธเจ้าและท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์ จากนั้นค่อยๆถอนจิตจากสมาธิช้าๆ ภาวนา พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ และทรงอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานไว้

------ขอกราบโมทนาบุญทุกท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ครับ

__________________

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท