เรื่อง สวรรค์ – นรก – เทวดา – พรหม มีจริงหรือ ? (ตอนที่ 2)


เรื่อง สวรรค์ – นรก – เทวดา – พรหม มีจริงหรือ ? (ตอนที่ 2)

 

     ต้นเหตุของข้อสงสัยนี้ น่าจะมาจากที่ว่าไม่มีใครเคยเห็น สวรรค์ นรก หรือ เทวดา ด้วยตัวของตัวเองเลย เมื่อไม่เห็นจึงปักใจเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่มี ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากมีใครกล่าวว่า เห็นผีเห็นเทวดา แทนที่จะมีคนเชื่อกลับหาว่าเขาโกหก หรือไม่ก็ตาฝาดไปเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทวดาก็มีไม่ได้ไม่ว่ากรณีใด เพราะผู้ไม่เชื่อไม่ยอมให้มี

     ส่วนฝ่ายที่กล่าวว่า สวรรค์ นรก นั้นความจริงไม่มี เป็นเรื่องที่ท่านพูดเปรียบเทียบไว้เท่านั้น “ความจริงสวรรค์ก็อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจนี่เองแหละ” ฝ่ายนี้ถึงแม้จะมีคนชอบใจในคำอธิบายมากมาย แต่ก็นับว่าเป็นฝ่ายที่แย่กว่าเพื่อน เพราะแสดงว่าไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ทราบลักษณะการพูดของพระไตรปิฏกเลย

     ได้กล่าวมาแล้วว่า ลักษณะการพูดของพระพุทธเจ้านั้น จะหมดจด แจ่มแจ้ง ไม่กำกวม ในที่ใดที่เป็นคำเปรียบเทียบ ท่านจะตรัสบ่งไว้ชัดเจน เช่น “เปรียบดังว่า…” เป็นต้น

     ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของพระไตรปิฎก(คำตรัสของพระพุทธเจ้า) คือ ใครๆ ค้านไม่ได้ เพราะตรัสแต่ความที่เป็นจริง ไม่ใช่ตรัสเป็นปรัชญา หรือเป็นทฤษฎี หรือเป็นความเชื่อ

     คำว่าสวรรค์อยู่ในอกนั้นเป็นคำที่ค้านได้ เพราะคนที่ชอบล่าสัตว์ (โดยทำตามกฎหมาย) แล้วเอาตัวสัตว์ก็ดี หัวสัตว์ที่ยิงได้ก็ดี มาติดไว้ชมเชยในห้องของตน ด้วยความภาคภูมิก็มีมาก เรียกว่า ทำชั่ว(กายทุจริต) แต่ใจมีความสุข คนที่สามารถโกงผู้อื่นภายในขอบเขตของกฎหมาย ก็รู้อยู่ว่าตนนั้นไม่มีทางจะตกเป็นจำเลยในคดีอาญา คนเหล่านี้ก็โกงต่อไป ได้โดยมีความสุข มนุษย์กินคนในถิ่นที่ไม่มีตำรวจ ฆ่าคนต้มซุบกิน เขาก็มีความสุข ทั้งนั้น แม้ทำชั่วก็ขึ้นสวรรค์ เพราะมีสวรรค์อยู่ในอกแล้ว(คือมีความสุข)

     ในทางตกนรกก็เช่นกัน คนที่ทำดีแต่ไม่ได้ดีทันตาเห็น (เพราะยังไม่ถึงวาระที่ความดีนั้นสนองผล) ก็เกิดความทุกข์ว่าทำดีแต่ไม่ได้ผลตอบแทน กลายเป็นทำดีแล้วตกนรก(นรกในใจ)

เล่ม ๑๒ หน้า ๔๖๘

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นคนฆ่าสัตว์พร้อมด้วยสุขบ้าง พร้อมด้วยโสมนัสบ้าง…ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น…ผิดในกาม…มุสาวาท…ส่อเสียด… ฯลฯ”

     นี่เป็นหลักฐานว่า บุคคลสามารถทำกายทุจริตด้วยความสุข ด้วยความโสมนัสได้ ตามหลัก “สวรรค์ในอก” บุคคลเหล่านี้ชื่อว่าได้ขึ้นสวรรค์แล้ว เพราะใจมีความสุข แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า ผู้ใดทำกายทุจริต ตายไปแล้วก็ไปสู่ทุคติวินิบาตนรก มิหนำซ้ำท่านยังเห็นด้วยทิพยจักษุ เสียอีกด้วยว่า ผู้ทำกายทุจริตนั้น ตายแล้วไปสู่ทุคติจริงดังที่กำหนดรู้ไว้ก่อน ดังนั้น นักปราชญ์ “สวรรค์ในอก” นี้ ก็คือผู้กล่าวค้านพระพุทธเจ้า และเป็นผู้แสดงธรรมที่ไม่ควรยึดถือด้วย เพราะธรรมที่แสดงนั้นค้านได้ ผู้ใดกล่าวค้านพระพุทธเจ้า ผู้นั้น ก็คือผู้นอกศาสนา ผู้ใดอ้างพระพุทธเจ้าว่า ไม่ได้ตรัสว่ามีสวรรค์มีนรกจริง ผู้นั้นกล่าวตู่พระพุทธเจ้า บาปลงนรกไปเอง

     นักศึกษาธรรมควรระวัง อย่าตามเกจิอาจารย์เหล่านี้ลงนรกไปโดยตนเอง รู้เท่าไม่ถึงการณ์

     พระพุทธเจ้าตรัสถึงสวรรค์ นรก เทวดา พรหม ไว้ในที่นับไม่ถ้วนในพระไตรปิฎก

     ในกำลัง ๑๐ ของพระตถาคต แสดงถึงสวรรค์ – นรก ไว้อย่างชัดเจน

กำลังของพระตถาคต ๑๐ 

     (๑) ย่อมรู้ฐานะในโลกนี้โดยเป็นฐานะ และรู้เหตุมิใช่ฐานะโดยเป็นเหตุมิใช่ฐานะตามความเป็นจริง

     หมายเหตุ : เช่น รู้ว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๒ องค์พร้อมกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ เรื่องนี้มิใช่จะใช้เหตุผลพิจารณากันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่าทำไมจึงเป็น ไปไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ได้ด้วยญาณทัสสนะนี้

     (๒) ย่อมรู้วิบากของกรรมสมาทานที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุ ตามความเป็นจริง

     หมายเหตุ : เช่น รู้ว่าทำกรรมอย่างนี้ จะได้รับผลอย่างนั้น ทำทานกับพระอรหันต์จะได้ผลมากกว่าทำกับคนธรรมดาหลายร้อยล้านเท่า ทั้งๆ ที่ใช้ชองเท่ากัน เจตนาเท่ากัน ท่านทรงทราบตามความเป็นจริงเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลอธิบาย สิ่งเช่นนี้คนเราสมัยนี้ไม่มีทางรู้ ไม่มีทางพิสูจน์

     (๓) ย่อมรู้ชัดซึ่งปฏิปทา อันจะยังสัตว์ให้ไปสู่ภูมิทั้งปวงตามความเป็นจริง

     หมายเหตุ : คือ รู้ว่าทำกรรมอย่างนี้ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน

     (๔) ย่อมรู้ชัดซึ่งโลกมีธาตุมิใช่อย่างเดียว และมีธาตุต่างๆ ตามความเป็นจริง

     (๕) ย่อมรู้ชัดซึ่งความที่สัตว์มีอธิมุติต่าง ๆ กัน

     (๖) ย่อมรู้ชัดซึ่งความที่สัตว์และบุคคลทั้งหลายอื่นมีอินทรีย์หย่อนและยิ่งตามความเป็นจริง

     หมายเหตุ : เช่น ทรงทราบว่าบุคคลผู้นี้ได้ฟังเทศน์ครั้งหนึ่งแล้วจะได้เป็นอริยบุคคล ชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นต้น

     (๗) ย่อมรู้ชัดซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว และความออกแห่งฌาณวิโมกข์สมาธิ และสมาบัติทั้งหลายตามความเป็นจริง

     (๘) ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง…ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้น*จุติ*จากภพนั้นแล้ว ได้*ไปเกิด*ในภพโน้น แม้ในภพโน้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น…ตถาคตย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอัน มาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้

     หมายเหตุ : นี่เป็นตัวอย่างการพูดเรื่องชาติก่อนของพระไตรปิฎก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ไม่มีที่สงสัย แต่ “นักปราชญ์” สมัยใหม่สอนว่าชาติก่อนหมายถึงตอนที่เป็นเด็ก หรืออดีตที่ผ่านมาแล้วในชาตินี้นั่นเอง แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นักปราชญ์ดังกล่าวไม่เคยอ่าน ไม่เคยศึกษาจากพระไตรปิฎกเลย พอได้ยินคำว่า “ชาติก่อน” เข้าก็สันนิษฐานเป็นคุ้งเป็นแคว นักปราชญ์ชนิดนี้ต้องระวังไว้ให้มาก

     (๙) ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปปัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ***ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์*** ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิเบื้องหน้าแต่**ตายไป** เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เบื้องหน้าแต่**ตายไป** เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้

     หมายเหตุ : นักปราชญ์ ที่อธิบายว่า สวรรค์นรกไม่มี สวรรค์ก็อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจนั้น ก็เห็นได้ว่าไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกอีกนั่นแหละ เพราะท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า สวรรค์นรกนั้นตายไปแล้วจึงไป ฉะนั้นผู้อธิบายว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ก็ย่อมเป็นผู้กล่าวค้านคำของพระพุทธเจ้า ผู้กล่าวค้านคำของพระพุทธเจ้านั้น เคยมีตัวอย่างทรงสั่งให้ทำนาสนะ คือห้ามไม่ให้ไปกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเขา หรืออีกนัยหนึ่ง พ้นไปจากการเป็นพุทธศาสนิกชนนั่นเอง 

     ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเห็นด้วย ทิพยจักษุที่เหนือกว่าตาสามัญของมนุษย์ ข้อนี้ดูเหมือน “นักปราชญ์” จะไม่นำพา จะเอาตาสามัญของมนุษย์เป็นใหญ่อยู่นั่นเอง คือ ถ้ามองไม่เห็นก็บอกว่าสิ่งนั้นไม่มี 

     (๑๐) ตถาคตกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่

ในเล่ม ๓๑ หน้า ๘๓ กล่าวถึงภูมิ ๔ คือ

- กามาวจรภูมิ หมายถึง ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันท่องเที่ยว คือ นับเนื่องในโอกาสนี้ ข้างล่างตลอดไปถึงอเวจีนรกเป็นที่สุด ข้างบนขึ้นไปจนถึงเทวดา ชาวปรนิมมิตวสวีสดีเป็นที่สุด

- รูปาวจรภูมิธรรม คือ จิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติ ของบุคคลผู้เกิดในพรหมโลก หรือของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันอันท่อดงเที่ยวคือ นับเนื่องในโอกาสนี้ ข้างล่างตั้งแต่พรหมโลกขึ้นไป จนถึงเทวดาชั้นอกนิษฐ์ข้างบนเป็นที่สุด

- โลกุตตรภูมิ มรรค ผล และนิพพานธาตุอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง อันเป็นโลกุตตระ

เล่ม ๒ หน้า ๔๒๐ กล่าวถึงเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้

เล่ม ๔ หน้า ๙ กล่าวถึงท้าวมหาราชทั้ง ๔

หน้า ๑๑ กล่าวถึงท้าวสหัมบดีพรหม

หน้า ๒๑ กล่าวถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ

หน้า ๔๗ กล่าวถึงท้าวสักกะจอมเทพ

เล่ม ๑๒ หน้า ๔๕๙ อารามเทวดา วนเทวดา รุกขเทวดา

เล่ม ๑๔ หน้า ๑๙๒ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมชั้นต่างๆ

เล่ม ๗ หน้า ๑๖๙ นรกอเวจีมีประตู ๔ ประตู

เล่ม ๑๕ หน้า ๒๑๐ กล่าวถึงปทุมนรก และอุปมาความนานของระยะเวลาที่อยู่ในนรกต่างๆ

เล่ม ๑๙ หน้า ๕๐๗ โลกันตนรกซึ่งมืดมิดมองอะไรไม่เห็น

     ตัวอย่างเช่นนี้มีนับไม่ถ้วน

     ความสงสัยเรื่องเทวดานี้มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล ไม่ใช่เพียงจะมีในสมัยนี้

มีต่อ >>

----------------------------------------- 

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท