เมื่อสักครู่นี้ประมาณเวลา 04.30 น. ผมได้ยินเสียงเปิดประตูห้องชั้นบน และสักพักแม่ผมก็เดินลงมา
"แม่ตื่นเช้าจัง" ผมยังไม่ได้นอนเลย
แม่ก็เลยบอกว่า วันนี้สั่งขนมถ้วยฟูเขาไว้
ซักพักก็มาครับ "ขนมถ้วยฟู" (สีสันน่ากลัวจังครับ)
ตอนแรกผมก็งง ๆ ครับ ว่าใครที่ไหนจะเอาขนมมาส่งตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้ แต่พอเดินเข้าไปรับขนมหน้าบ้านก็ต้องตกกะใจกับความคึกคักของ "รถกับข้าว" มากมาย จอดเต็มหน้าบ้านไปหมดเลยครับ บัดนั้นเมื่อจ่ายเงินค่าขนมถ้วยฟูเสร็จ ก็ต้องรีบเดินกลับมาคว้ากล้องเดินออกไปถ่ายรูปในทันที
บ้านผมอยู่ในตลาดครับ อยู่ห่างจากธนาคารไม่กี่สิบเมตร เมื่อก่อนพ่อผมก็ทำงานอยู่ธนาคารนี้แหละครับ และแถว ๆ นี้ก็เต็มไปด้วยร้านโชว์ห่วยและร้านค้าขายส่งมากมาย รถกับข้าวกว่า 40 คันในแต่ละวันที่ต้องมาซื้อของและรับของบริเวณตลาด
"รถกับข้าว มาแวะซื้อของ"
ซื้อแล้วไปไหน
"เข้าไปขายในชุมชน"
ความเจริญและความสะดวกสบายกำลังจะเข้าไปเคาะประตูถึงหน้าบ้าน
วัฒนธรรมไทย "ทำอยู่ ทำกิน" กำลังถูกทดแทนด้วย การ "ซื้ออยู่ ซื้อกิน"
พ่อค้า แม่ค้า ก็ค้นหาวิธีทำมาหากิน โดยมุ่งเป้าไปที่การตอบสนองความสะดวกสบาย ในการเพิ่มอุปสงค์และความต้องการของพี่น้องต่าง ๆ ในชุมชน
พ่อค้า แม่ค้า ทำอาชีพ "หาเงิน หาทอง"
พี่น้อง ชุมชน ทำอาชีพ "ซื้ออยู่ ซื้อกิน"
ความยากจน เกิดจาก รายได้ของคนไทยน้อยลง?
หรือว่า
ความยากจน เกิดจาก ค่าใช้จ่ายของคนไทยมากขึ้น?
เมื่อก่อนบ้านเรามี "ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ" ปลูกข้าว เก็บผัก หาปลา มาทำอาหาร
ในปัจจุบัน ทำงาน หาเงิน ซื้อข้าว ซื้ออาหาร ทำทุกอย่างเพื่อ "ซื้อ" ซื้อทั้งอยู่ ซื้อทั้งกิน มีรายได้เท่าไหร่ถึงจะพอ เมื่อทุกอย่างเราได้แต่ซื้อ
เมื่อสิ่งเสนอมาพบกับสิ่งสนอง ทุกอย่างก็ลงตัวและดูทีท่าจะขยายวงใหญ่ขึ้น
ตลาดในชุมชน ถึงทดแทนด้วยรถกับข้าว มีทั้งรถกระบะและรถมอเตอร์ไซด์ หรือบางที่เรียกว่า "รถโชว์เล่" มีตระกร้าพ่วงท้าย มีกับข้าวถุงเล็กถุงน้อยเต็มคันรถ
ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ที่เคยปลูกไว้ข้าง ๆ บ้าน ผักสวนครัวรั้วกินได้
จะปลูกกันไปทำไม
บาทสองบาทก็ซื้อได้ ไม่ต้องปลูกให้เสียเวลา
วัฒนธรรมแห่งความสะดวกสบายที่แฝงมากับระบบทุนนิยมนี้ กำลังกลืนกลินวัฒนธรรมของเราทีละนิด ทีละนิด
โดยเฉพาะ "เด็กรุ่นใหม่" วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา
รีบกิน รีบใช้ รีบไป รีบมา รีบมาก ๆ ทำไม่ไหว ซื้อง่าย ๆ "ดีกว่า"
ระบบการค้า และระบบเศรษฐศาสตร์ที่ลืมนึกถึงเรื่อง "ของเสีย" ที่จะก่อให้เกิดขยะอย่างมากมายในชุมชน
การตลาดเชิงรุก ที่เดินเข้าไป "บริการ" ท่านถึงหน้าประตูบ้าน
ตลาดและร้านโชว์ห่วยในชุมชนจะอยู่ได้หรือไม่ นั่นก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งมีต้นเหตุจาก "ตลาดเคลื่อนที่" เหล่านี้
ตลาดที่ไม่ต้องเสีย "ภาษี"
ภาษีการค้า ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน
ต้นทุน และความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน....
ร้านค้าที่ดำเนินการตลาดเชิงรับ เปิดร้านรอให้ลูกค้าเดินเข้ามา
รถค้าที่ดำเนินการตลาดเชิงรุก เปิดท้ายส่งตรงถึงหน้าประตูบ้าน
และปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย
ปัญหาที่แลกมาด้วยความสะดวกสบาย
ปัญหาที่เหมือนเป็นปัญหาเล็ก แต่นี่แหละคือ "ต้นเหตุแห่งปัญหา"
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีครับ
ทำน้ำยาซักผ้า ปลูกผัก ใช้ปุ๋ยชีวภาพ OTOP วิสาหกิจชุมชน Q มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชุมชน ทอผ้า รักษาสิ่งแวดล้อม ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ห้ามชุมชนเข้าไปทำมาหากิน แต่ให้คนภายนอกเข้ามาท่องเที่ยว เหยียบย่ำ และย่ำยี สิ่งต่าง ๆ ในชุมชน เหรอครับ?
"นโยบายแบบโดด ๆ มีแต่ต้นไม้ แต่ไม่มีป่า ขาดความหลากหลายทางชีวภาพ"
"ขาดซึ่งระบบนิเวศทางสังคม แบบระบบนิเวศแบบผู้นั่งรอรับความเอื้ออาทร"
"ระบบเมื่อไหร่จะทำให้ฉัน"
ระบบที่สร้างและเสริมความอยากที่อยู่บนพื้นฐานของความสะดวกสบายของมนุษย์
ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากสบาย
สิ่งอำนวยความสะดวก ของอำนวยความสะดวก และ "อาหารอำนวยความสะดวก"
ลัทธิบูชาเงินและสังคมบ้าบริโภค ที่เน้นในการกระตุ้นการสร้าง GDP สร้างอาชีพ สร้างรายได้ กระตุ้นให้ชุมชน "ใช้จ่ายเงิน"
ซื้อ ๆ ๆ ๆ และซื้อ โดยไม่คำนึงถึงระบบ "วิถีชีวิต"
ไม่มีซื้อ ก็ "ยืม"
ยืมไม่ได้ ก็ "กู้"
กู้ไม่ได้ ก็ "ขาย"
ขายไม่ได้ก็ "ขโมย"
ปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย
ที่ดิน ตกไปอยู่ในมือของ "นายทุน"
หนี้สินที่ใช้กันไม่มีวันจบสิ้น กู้หนี้มาใช้หนี้ หมุนวนกันไปอย่างไม่รู้ว่าวันใดจะใช้หนี้กันหมด
ผักที่ผัด ปลาที่ทอด น้ำที่กิน น้ำพริกที่ตำ ข้าวทุกเม็ดที่หุง ได้มาจากการ "ซื้อ"
หน่วยงานต่าง ๆ ของบประมาณ ส่งโครงการไปแก้ (สร้าง) ปัญหา
เก็บข้อมูล จัดเวที ทำกรณีศึกษา สร้าง Model จัดซื้ออุปกรณ์ อบรมการประกอบอาชีพ ศึกษาวิจัย
"เห็นใจชุมชนจังเลย"
เข้าใจชุมชนกันเถอะครับ อย่าเห็นใจเขาเลย
เขาถูกเห็นใจมานานมากแล้ว
"ปล่อย" ให้เขาได้ลืมตาอ้าปาก และยืนด้วยตนเองบ้างเถอะครับ
"ปล่อยให้เขา มิใช่ ช่วยให้เขา" ไม่มีใครช่วยกันได้ตลอดหรอกครับ การช่วยมิใช่ทางออกที่ยั่งยืน
"ปล่อย" ให้เขามีชีวิต มีเวลาประกอบอาชีพ เวลาทำมาหากิน เวลาที่จะอยู่กับครอบครัว เวลาที่จะนั่งสูดลมหายใจแล้วนึกย้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นมาและเป็นไป
"ปล่อย" ให้ใจเขาของล่องลอยไปในวิถีแห่งความเป็นไทย
"ปล่อย" ให้ตัวของเขาได้สัมผัสพื้นดินของประเทศไทย ที่มีความเป็นไท
"ปล่อย" ให้ทุกสรรพสิ่งได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ตามวิถีแห่งความถูกต้องและเหมาะสม
ชีวิตใคร ใครก็รัก
"ปล่อยบ้างเถอะครับ"
แก้แบบไม่ต้องแก้ แค่ทำหน้าที่ (หลัก) ของตนเองให้ที่สุด
แล้วทุกสรรพสิ่งจะเข้าสู่จุด "สมดุล"
สมดุลแห่งสมดุล
ตอนนี้เข้าใจ ว่าอาจารย์ปภังกร ติดเครื่องแล้ว...ผมเข้าใจว่า อะไรก็ฉุดอาจารย์ปภังกรไม่อยู่ครับ พี่พัชรา
ให้กำลังใจครับ...เราไปด้วยกัน
ขอบคุณมากนะครับ ที่เล่าเรืองราวดีๆ ให้ฟัง
ตอนเด็กๆ ย่าผมมักจะบอกว่า การซื้อกับข้าวถุงแสดงว่าเรามักง่าย ขี้เกียจ ไม่ยอมทำกับข้าว อีกอย่างถ้าไม่ทำกับข้าว และผีบ้านผีเรือนจะกินอะไร แม้ไม่ทำกับข้าว อย่างน้อยก้ต้องก่อไฟในเตาทิ้งไว้
แต่เดียวนี้ บางครั้งผมก็ต้องพึงพารถกับข้าวนะ เพราะมันสะดวก และอีกอย่าง ผมพบว่า การซื้อกับข้าวถุงทำให้เราไม่ต้องเครียดกับการคิดว่า วันนี้จะซืออะไรมาทำกับข้าวดี (เหมือนผลักภาระ แต่มันเป็นเรืองจริง) มีงานวิจัยนะว่า การคิดหาของมาทำกับข้าว เป็นส่วนหนึ่งของความเครียดในชีวิตประจำวัน
ไม่เชื่อ ลองถามแม่บ้านทั้งหลายดูนะครับ
อ่านแล้วกระชากความคิดมากเลยครับ เพราะผมเจอสภาพนี้ตั้งแต่เด็กจนโตเหมือนกันเลยคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ
การซื้อข้าวกินพูดไปก็เข้าตัวครับเพราะผมก็ซื้อกินเช่นกัน
แต่หลังจากเพาะกายมาสักระยะ จึงเข้าสู่ระบบโภชนาการนักเพาะกายไปด้วย
ถึงได้รู้ว่าพวกมืออาชีพจะทำอาหารเอง!!
ถ้าไม่มีเวลาก็จะจ้างพ่อครัวหรือเข้าร้านอาหารที่ทำพิเศษต่างหากสำหรับพวกนักเล่นกล้ามเพราะต้องการสารอาหารพิเศษที่ครบถ้วน
ที่พูดมาไกลนี้เพราะอยากบอกว่า ทุกวันนี้ผมและอีกหลายๆ ท่านฝากชีวิตไว้กับแม่ค้าที่ขายกับข้าว คิดว่าคุ้มไหมครับ
ความพอเพียงกับ(สาร)อาหารนั้นเป็นเรื่องสำคัญ อย่าสั่งแต่อาหารสิ้นคิดนะครับ เดียวจะขาดสารอาหารบางตัวจนเป็นโรคไป (ทุกวันนี้เราขาดผักจนโรคอ้วนถามหากันใหญ่)
กระเพราไข่ดาวทีนึงคร้าบ
วัฒนธรรมแปลว่าการปฏิบัติที่พัฒนาแล้ว แต่การซื้อกินน่าจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงหรืออย่างมากก็ประเพณีมากกว่านะครับ
ผมก็กำลังมองเรื่องนี้เหมือนกัน
เราเริ่มมาจาก
๑. การหาอยู่หากิน ในยุคโบราณที่ทรัพยากรยังสมบูรณ์
๒. การทำอยู่ทำกิน ในยุคพัฒนาการเกษตรแบบยังชึพ พึ่งพาตนเองได้
๓. การทำกินเหลือขายจนทรัพยากรพื้นฐานเสื่อมโทรม เริ่มพึ่งภายนอก ที่ทำให้ระบบทุนทางทรัพยากรและสังคมเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว เพราะเท่าไหร่ก็ไม่ทันใจการขาย
๔. การทำขายซื้อกิน ที่เน้นการพึ่งพาภายนอกอย่างรุนแรง แทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกอย่างเสื่อมโทรม ทั้งธรรมชาติและสังคม
๕. การยืมอยู่ยืมกิน ที่ไม่มีอะไรเป็นฐานมีแต่เอาอนาคตมาใช้ ทั้งอนาคตของตนเองและผู้อื่น อันนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด ที่ทางรัฐบาลพยายามอย่างสุดแรงในทุกเรื่องที่จะ "แปลงสินทรัพย์ให้เป็นหนี้" ไม่รู้จะทรมานกันไปถึงไหน แค่นี้ก็ยังไม่สะใจท่านอีก ผมยังนึกไม่ออกว่าต่อไปจะเป็นอะไร ใครคิดออกช่วยบอกด้วยครับ
จริงๆแล้วไม่อยากได้ยินคำตอบหรอกกลัวจะร้ายกว่านี้
แต่ถ้าเราปรับมาหาเศรษฐกิจพอเพียงคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่คิดออกตอนนี้
ชอบความคิดของ ดร แสวงค่ะ
สวัสดีค่ะ
เพิ่งเข้ามาครั้งแรก
ตอนนี้กำลังทำสัมนาเรื่อง "ครัวรถเร่"หรือ "รถกับข้าว" ในจังหวัดเชียงใหม่
ไม่นึกว่าที่อื่อนก็มีด้วย แถมเรียกไม่เหมือนกันซะอีก
เพิ่งรู้ว่ามีชื่อเรียกว่า "รถพุ่มพวง"ด้วย
ข้อมูลของอ.เป็นประโยชน์มากค่ะ
ขอบคุณค่ะ