ขันธชาดก


ว่าด้วยขันธปริตรป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ ได้

ขันธชาดก 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๓. ขันธชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๒๐๓)

ว่าด้วยขันธปริตรป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ ได้

             (ฤๅษีโพธิสัตว์สอนดาบสทั้งหลายให้เจริญเมตตาในพญางูทั้ง ๔ ว่า)

             [๑๐๕] เราขอมีเมตตากับตระกูลพญางูวิรูปักษ์

                       เราขอมีเมตตากับตระกูลพญางูเอราปถะ

                       เราขอมีเมตตากับตระกูลพญางูฉัพยาบุตร

                       เราขอมีเมตตากับตระกูลพญางูกัณหาโคตมกะ

                       เราขอมีเมตตากับสัตว์ไม่มีเท้า เราขอมีเมตตากับสัตว์สองเท้า

                       เราขอมีเมตตากับสัตว์สี่เท้า เราขอมีเมตตากับสัตว์มีหลายเท้า

                       สัตว์ไม่มีเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา

                       สัตว์สองเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา สัตว์สี่เท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา

                       สัตว์มีหลายเท้าอย่าได้เบียดเบียนเรา

                       ขอสรรพสัตว์ที่มีลมหายใจ

                       ขอสรรพสัตว์ที่ยังมีชีวิตทั้งมวลจงพบกับความเจริญ

                       ความชั่วช้าอย่าได้มาแผ้วพานสัตว์ตนใดตนหนึ่งเลย

             [๑๐๖] พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้

                       พระธรรมมีพระคุณหาประมาณมิได้

                       พระสงฆ์มีพระคุณหาประมาณมิได้

                       สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมงป่อง

                       ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก หนู มีคุณพอประมาณได้

                       เราทำการรักษา ทำการป้องกันไว้แล้ว

                       ขอหมู่สัตว์ผู้มีชีวิตทั้งหลายจงหลีกไป

                       เรานั้นขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาค

                       ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์

ขันธชาดกที่ ๓ จบ

--------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขันธปริตตชาดก

ว่าด้วย พระปริตต์ป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ งูตัวหนึ่งเลื้อยออกจากระหว่างไม้ผุ ได้กัดเข้าที่นิ้วเท้า ภิกษุนั้นมรณภาพในที่นั้นทันที. เรื่องที่ภิกษุนั้นมรณภาพได้ปรากฏไปทั่ววัด. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ได้ยินว่า ภิกษุรูปโน้นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ประตูเรือนไฟ ถูกงูกัดถึงแก่มรณภาพ ณ ที่นั้นเอง.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุรูปนั้นจักได้เจริญเมตตาแผ่ถึงตระกูลพญางูทั้งสี่แล้ว งูก็จะไม่กัดภิกษุนั้น.
               แม้ดาบสทั้งหลายซึ่งเป็นบัณฑิตแต่ปางก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติ ก็ได้เจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ ปลอดภัยอันจะเกิดเพราะอาศัยตระกูลพญางูเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ แคว้นกาสี ครั้นเจริญวัย สละกามสุข ออกบวชเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด สร้างอาศรมบทอยู่ที่คุ้งแม่น้ำแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ เพลิดเพลินในฌาน เป็นครูประจำคณะ มีหมู่ฤๅษีแวดล้อมอยู่อย่างสงบ.
               ครั้งนั้น ที่ฝั่งคงคา มีงูนานาชนิดทำอันตรายแก่พวกฤๅษี พวกฤๅษีโดยมากได้ถึงแก่กรรม ดาบสทั้งหลายจึงบอกเรื่องนั้นแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เรียกประชุมดาบสทั้งหมด แล้วกล่าวว่า หากพวกท่านเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ งูทั้งหลายก็จะไม่กัดพวกเธอ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป พวกเธอจงเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า :-
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า วิรูปักขะ
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า เอราปถะ
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า ฉัพยาปุตตะ
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับตระกูลพญางูชื่อว่า กัณหาโคตมกะ.

               พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงตระกูลพญางูทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า หากพวกท่านจักสามารถเจริญเมตตาในตระกูลพญางูทั้ง ๔ นั้น งูทั้งหลายก็จักไม่กัดไม่เบียดเบียนพวกท่าน แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์ที่ไม่มีเท้า
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สองเท้า
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์สี่เท้า
               ขอไมตรีจิตของเราจงมีกับสัตว์มีเท้ามาก.

               พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงเมตตาภาวนาโดยสรุปอย่างนี้แล้ว
               บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยการขอร้อง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
               ขอสัตว์ที่ไม่มีเท้า สัตว์ที่มี ๒ เท้า สัตว์ที่มี ๔ เท้า สัตว์ที่มีเท้ามาก อย่าได้เบียดเบียนเราเลย.

               บัดนี้ เมื่อจะแสดงการเจริญเมตตาโดยไม่เจาะจง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
               ขอสัตว์ผู้ข้องอยู่ สัตว์ผู้มีลมปราณ สัตว์ผู้เกิดแล้วหมดทั้งสิ้นด้วยกัน จงประสบพบแต่ความเจริญทั่วกัน ความทุกข์อันชั่วช้า อย่าได้มาถึงสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งเลย.

               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกท่านจงเจริญเมตตาไม่เฉพาะเจาะจง ในสรรพสัตว์อย่างนี้ เพื่อให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยอีก จึงกล่าวว่า :-
               พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระคุณหาประมาณมิได้ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน คือ งู แมงป่อง ตะขาบ แมงมุม ตุ๊กแก และหนู เป็นสัตว์ประมาณได้.

               พระโพธิสัตว์แสดงว่า เพราะธรรมทั้งหลายอันทำประมาณมีราคะภายในของสัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่ ฉะนั้น สัตว์เลื้อยคลานเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีประมาณ แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อย่างนี้ว่า ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยอันหาประมาณมิได้ ขอสัตว์ทั้งหลายอันมีประมาณเหล่านี้ จงทำการปกป้องรักษาพวกเราทั้งกลางคืนกลางวันเถิด
               เพื่อแสดงกรรมที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
               เราได้ทำการรักษาตัวแล้ว ป้องกันตัวแล้ว
               ขอสัตว์ทั้งหลายจงพากันหลีกไป
               ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
               ขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์.

               พระโพธิสัตว์ผูกพระปริตรนี้ให้แก่คณะฤๅษี ก็พระปริตรนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ในชาดกนี้ด้วยคาถาทั้งหลายตอนต้น เพราะแสดงเมตตาในตระกูลพญานาคทั้งสี่ หรือเพราะแสดงเมตตาภาวนาทั้งสอง คือโดยเจาะจงและไม่เจาะจง ควรค้นคว้าหาเหตุอื่นต่อไป.
               ตั้งแต่นั้น คณะฤๅษีตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ เจริญเมตตา รำลึกถึงพระพุทธคุณ เมื่อฤๅษีรำลึกถึงพระพุทธคุณอยู่อย่างนี้ บรรดางูทั้งหลายทั้งหมดต่างก็หลีกไป แม้พระโพธิสัตว์ก็เจริญพรหมวิหาร มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก
               คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในครั้งนี้.
               ส่วนครูประจำคณะ คือ เราตถาคต นี้แล.


               จบ อรรถกถาขันธปริตตชาดกที่ ๓               
               -----------------------------------------------------  

     [๒๕๕]        วิรูปกฺเขหิ เม เมตฺตํ                       เมตฺตํ เอราปเถหิ เม                    ฉพฺยาปุตฺเตหิ เม เมตฺตํ                 เมตฺตํ กณฺหาโคตมเกหิ จ                       อปาทเกหิ เม เมตฺตํ                     เมตฺตํ ทิปาทเกหิ เม                       จตุปฺปเทหิ เม เมตฺตํ                     เมตฺตํ พหุปฺปเทหิ เม                       มา มํ อปาทโก หึสิ                  มา มํ หึสิ ทิปาทโก                       มา มํ จตุปฺปโท หึสิ                  มา มํ หึสิ พหุปฺปโท                       สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา         สพฺเพ ภูตา จ เกวลา                       สพฺเพ ภทฺรานิ ปสฺสนฺตุ             มา กิญฺจิ ปาปมาคมา ฯ     

[๒๕๖]   อปฺปมาโณ   พุทฺโธ   อปฺปมาโณ   ธมฺโม   อปฺปมาโณ สงฺโฆ   ปมาณวนฺตานิ   สิรึสปานิ   อหิ   วิจฺฉิกา   สตปที   อุณฺณานาภี สรพู   มูสิกา   กตา   เม   รกฺขา   กตา   เม ปริตฺตา ปฏิกฺกมนฺตุ ภูตานิ โสหํ นโม ภควโต นโม สตฺตนฺนํ สมฺมาสมฺพุทฺธานนฺติ ฯ                                                                                        

---------

 

คำสำคัญ (Tags): #ฤๅษีโพธิสัตว์
หมายเลขบันทึก: 718045เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2024 05:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน 2024 05:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท