ในการประชุมวิชาการประจำปี ๒๕๖๗ ของ ควอท. วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๗ รศ. ดร. บัณฑิต ทิพากร อดีตรองอธิการบดี มจธ. และอดีตรองเลขาธิการ กกอ. เสนอเรื่อง Skill-First Approach : การอุดมศึกษาที่เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม
ท่านบอกว่าในยุค Industry 5.0 คนเราต้องมี talent ด้าน learning agility, adaptability, empathy และ transdisciplinary ที่ผมคิดต่อว่า ควรเสริมด้วย Future Skills
ที่สำคัญ ดร. บัณฑิตท่านบอกว่า การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนจาก formal learning ไปเป็น informal เพื่อพัฒนามนุษย์ยุคใหม่ที่มี curiosity, creativity, empathy, humor, และ passion ที่เราพูดกันว่า ต้องพัฒนา soft skills โครงสร้างองค์กรเปลี่ยนจากรูปปิระมิดเป็น Agile Organization ที่มีการรวมตัวกันทำหน้าที่ value delivering teams หนุนด้วย servant leaders ในยุคนั้นความรู้ที่สำคัญที่สุดคือ “รู้ว่าไม่รู้” เพราะเส้นทางชีวิตจะผ่าน work disruption ครั้งแล้วครั้งเล่า
สมรรถนะที่ปัจจุบันจัดระบบเป็น discipline-based competencies ในอนาคตอันใกล้จะเปลี่ยนเป็น trans-disciplinary-based competencies
คุณสมบัติสำคัญ ๑๐ ประการสำหรับมนุษย์ในยุค ๕.๐ ได้แก่ (๑) ความสมารถทำงานที่จำเพาะ (๒) อยู่กับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและไม่ชัดเจนได้ (๓) แรงบันดาลใจ (๔) อารมณ์ขัน (๕) ความเข้าใจและเห็นใจ (๖) ความสร้างสรรค์ (๗) ความสงสัยใคร่รู้ (๘) คุณค่าเชิงนามธรรม – intangible value (๙) ความรู้ฝังใน – implicit knowledge (๑๐) การเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ
ลักษณะงานในอนาคตจะผลักดันให้ อุดมศึกษากับเทคโนโลยี เป็นทั้ง “คู่หู” และ “คู่แข่ง” ไปพร้อมๆ กัน ต้องอยู่ด้วยกันแต่เผลอไม่ได้ หากเผลอไม่ปรับตัว ก็จะถูกเทคโนโลยี disrupt ที่สำคัญ อุดมศึกษาต้องติดอาวุธให้ศิษย์เตรียมพร้อมทำงานที่ไม่เคยมี และเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด
ตำแหน่งงานในอนาคตจะไม่ใช่ role-based แต่เป็น skills-based และที่สำคัญไม่ใช่ต้องการแค่ hard skills แต่ต้องการทั้ง hard และ soft skills และทักษะจะสำคัญกว่าใบปริญญา ดังในบทความ (๑) การศึกษาในอนาคตจึงต้องเป็น competence-based education ที่เน้นเรียนจากประสบการณ์ที่เรียกว่า Experiential Learning ซึ่งจะเป็นทักษะสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ในทุกที่ ทุกสถานการณ์ ทุกเวลา
วิจารณ์ พานิช
๑ เม.ย. ๖๗
ห้อง ๑๕๑๐ โรงแรมจอมเทียนบีช พัทยา
ไม่มีความเห็น