อนุโมทนาสาธุการ งานธรรมจักรบูชา วันที่ ๑-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ณ สังเวชนียสถาน พุทธคยา อินเดีย
สำหรับโครงการที่ ๓ ซึ่งเกิดขึ้นต่อมาในวันที่ ๖ – ๗ กุมภาพันธ์ คือ ธรรมยาตรา มหาโพธิสมาคมได้ขอให้อาตมาเป็นผู้นำคณะธรรมยาตราในครั้งนี้อีกเช่นกัน คือ เป็นผู้นำคณะพระนานาชาติออกจาริก เดินไปตามเส้นทางจากพระศรีมหาโพธิ์ (พุทธคยา) สู่พระนครราชคฤห์จุดสิ้นสุด ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ใช้เวลา ๒ วัน กับ ๑ คืน โดยหลังจากเสร็จสิ้นสักการบูชาพระศรีมหาโพธิ์แล้ว อาตมาก็ถือธงนำกองทัพธรรมตั้งขบวนยาวเหยียด ๗๐๐ – ๘๐๐ คน ที่มีพระนานาชาติมากมายเข้าร่วม มีประเทศเกาหลีเป็นสปอนเซอร์ ที่รับภาระค่าใช้จ่ายสูง มีค่าอาหาร เป็นต้น มีสื่อมวลชน โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ มาทำข่าวกันมากมาย เพราะเป็นครั้งแรกของชาวพุทธที่เกิดธรรมยาตราในพุทธภูมิชมพูทวีปกึ่งพุทธกาล ขบวนธรรมยาตราได้เดินตัดข้ามแม่น้ำแนรัญชราแล้วข้ามแม่น้ำโมหณี ซึ่งปัจจุบันแห้งเป็นทะเลทรายจึงเดินยากมาก เพราะทรายยุบตัว เพื่อมุ่งหน้านำขบวนไปให้ถึงดงคสิริ ซึ่งตามแผนกะว่าจะใช้เวลา ๓ ชั่วโมง แต่เราเดินใช้เวลาเพียง ๒ ชั่วโมง เพราะอาตมาเดินเร็ว และเป็นผู้ถือธงนำขบวนไปโดยตลอดตามภาระที่ได้รับมอบหมาย โดยกำหนดรับประทานอาหารกันที่ภูเขาดงคสิริ
จากดงคสิริ บางคนก็ขึ้นรถไป แต่ส่วนใหญ่ก็เดินตามขบวนไป เพราะคิดว่าใกล้ เนื่องจากมีข้อมูลแจ้งว่ามีระยะทางเดินเพียง ๔ กิโลเมตร แต่ปรากฏทางมันยาวเหยียดอ้อมไปมาจนน่าจะมากกว่า ๑๐ กิโลเมตร ท่ามกลางฝุ่น ความร้อน และหลงทางด้วยอีกต่างหาก จนไปออกที่หมู่บ้านโบดากาเร่ (แปลว่า หมู่บ้านของพุทธะ) เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยประทับเมื่อครั้งนำกองทัพธรรมสู่พระนครราชคฤห์ แม้จะเป็นการเดินที่หนักหนาสาหัสกับคณะ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเดินทางไกล แต่ก็แปลกใจที่ทุกคนกลับแข็งแรง แถวผู้คนที่เดินยาวเหยียดปราณ ๑ กิโลเมตร ธงฉัพพัณรังสี ฉายแสงนำขบวนโบกสะบัดไปทั่วขบวน โดยเฉพาะในยามเดินตัดผ่านทุ่งนาในอินเดีย ให้หวนนึกถึงกาลสมัยที่พระพุทธองค์ทรงนำพระสงฆ์สาวกออกโปรดสัตว์ทั้งหลาย โดยขบวนธรรยาตราที่อาตมานำทัพครั้งนี้ได้เคลื่อนผ่านหมู่บ้านต่างๆ และเมื่อทะลุออกถนนใหญ่ก็ได้มีชาวบ้านเป่าปี่ตีกลองต้อนรับอยู่บนถนนอย่างใหญ่โต บนคออาตมามีคนถวายพวงมาลัยจนเต็มคอ ต้องมีสติควบคุมจิตไม่ไปยินดีในลาภสักการะเหล่านั้น โดยบางหมู่บ้านเป็นชาวบ้านที่นับถือศาสนามุสลิมมาคอยต้อนรับและเมื่อถึงตรงจุดที่เราจะขึ้นรถเพื่อไปเจเที่ยน คือ ลัฏฐิวัน หรือสวนตาลหนุ่ม ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากคยาสีสะ มาประทับที่สวนตาลหนุ่มแห่งนี้ ในอดีตซึ่งพระเจ้าพิมพิสารพร้อมข้าราชบริพารจำนวน ๑๒ นหุต มาเข้าเฝ้า เพื่อทูลเชิญพระองค์เข้าสู่พระนครราชคฤห์ และในครั้งนั้น ณ ลัฏฐิวันแห่งนี้ ได้เกิดพระอริยเจ้าตั้ง ๑๑๐,๐๐๐ และเกิดผู้ที่ถึงพระไตรสรณคมณ์อีก ๑๐,๐๐๐ รวมเรียกว่า ๑๒ นหุต โดยพระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาธรรม อันมีมหานาราทสูตรและอริยสัจ ๔ ที่นี่ ยังให้เกิดพระอริยบุคคลชั้นต้นมากมาย ณ แผ่นดินแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “เจเที่ยน”
ในคืนที่พวกเราไปพัก (๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓) อากาศหนาวมาก สถานที่พักเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในขณะที่ผู้เข้าพักมีจำนวนมาก รัฐบาลอินเดียจัดชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธ ๑ หมวด ไปรักษาการดูแลตลอดทาง เพราะเคยมีพระเดินทางไปแล้วโดนปล้น เส้นทางที่เดินเป็นเส้นทางผ่านหมู่บ้านคนจน พระอินเดีย พระทิเบต ฯลฯ ก็นอนเรียงรายตามหน้าอาคาร แต่เขาก็อดทน เข้มแข็งและมีความสุข พวกพระไทย คนไทยก็ได้นอนในห้องอาคารเรียนสะดวกสบายตามฐานะ ทั้งโรงเรียนมีห้องน้ำ ๒ ห้อง ต้อนรับผู้คนจำนวนมาก จึงไม่ต้องคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
อนึ่งจากพิจารณาดูความจริงก็จะทราบว่าคนอินเดียให้ความชื่นชอบเรื่องธรรมยาตรากันมาก จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ลงข่าวตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และออกโทรทัศน์กันตลอดทุกระยะทางที่เดิน ดังที่เราเคยเห็นพวกฮินดูเดินตามถนนและเห็นเขาถอดรองเท้าเดินกันมากมาย เพื่อไปบูชาเทพเจ้าของเขา และนี่เป็นครั้งแรกในพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาลที่จัดให้มี “ธรรมยาตรา” จากเจเที่ยนก็เดินทางต่อไปยังพระนครราชคฤห์ โดยนึกในใจว่า นี่เป็นเส้นทางเดินของพระพุทธเจ้าในอดีตจากลัฏฐิวัน สู่เวฬุวัน ฯ เป็นเส้นทางป่า ครั้งนี้ทำให้อาตมามองเห็นอาณาเขตของพระนครราชคฤห์ที่มีลักษณะเป็น loop กว้างใหญ่คล้ายรูปอะมีบา มีภูเขาสบภูเขาต่อกันตลอด แต่ละเทือกเขายาวเป็นสิบกว่ากิโลเมตรและภายใน loop ที่กว้างใหญ่ไพศาลของภูเขาเหล่านั้น เป็นเมืองมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่เราเดินไม่ทั่วถึง เส้นทางจากลัฏฐิวันจนถึงตัวเมืองเวฬุวันจนถึงตัวเมืองเวฬุวันนั้นไม่ต่ำกว่า ๑๐ กิโลเมตร ใจจริงอาตมาอยากถอดรองเท้าเดิน แต่เส้นทางก็เต็มไปด้วยหินและหนาม เดี๋ยวนี้เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านชาวป่าใช้ พอเดินไปได้พักหนึ่งรองเท้าของอาตมาก็ขาด อาตมาก็เลยถอดรองเท้าทิ้ง แล้วเดินเท้าเปล่านำทัพเหยียบหินและหนามไปจนเข้าสู่ตัวเมืองราชคฤห์ ท่านสีวลีเป็นพระผู้ใหญ่ของศรีลังกา พอเห็นอาตมาถอดรองเท้า ท่านก็เลยถอดเดินด้วย หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ว่ากูรูยีถอดรองเท้าเดินนำธรรมยาตรา เมื่อไปถึงที่หมาย เขาก็เตรียมการต้อนรับที่ถ้ำของพระเจ้าพิมพิสาร โทรทัศน์มาทำรายงานข่าวออกไปทั่วอีกเช่นกัน
จากจุดที่พักที่ถ้ำสมบัติพระเจ้าพิมพิสารก็ออกเดินต่อไปสู่ภูเขาคิชฌกูฏเพื่อขึ้นรัตนคีรี เพื่อจะได้กราบสักการบูชาสันติสถูปที่ตั้งอยู่บนยอดเขา เดินในป่าก็หนักหนาแล้ว ยังมาเดินต่อบนถนนร้อนๆ แบบไม่ใส่รองเท้า อาตมาก็ห่วงเหมือนกันว่า เท้าเราคงยับเยิน เพราะรู้สึกเจ็บมาก แต่ก็ได้นำคณะขึ้นภูเขาคิชฌกูฏแบบไม่ต้องพัก อาตมาเกือบเป็นลม ทุกคนหน้ามืดกันหมดเพราะเร่งเดินในขณะที่อากาศร้อน ปีนภูเขาสองลูกใหญ่ๆจากคิชฌกูฏสู่รัตนคีรีอีกลูกหนึ่งซึ่งกลับลงมาเดินเท้าต่อเข้าเวฬุวันฯ คาดว่าอีกประมาณ ๘-๙ กิโลเมตร วัดเวฬุวันฯ ก็เปิดประตูต้อนรับ สิ่งที่เกิดขึ้นมีการทำข่าวไปทั่วชมพูทวีปประกาศศาสนกิจภายใต้การนำของพระสงฆ์ไทยที่เป็น Forest monk และตอนนี้ที่ราชคฤห์เปลี่ยนแปลงไปมาก รัฐบาลอินเดียที่เป็นฮินดูให้ความสนใจจัดสรรงบประมาณมาทุ่มปรับปรุงเวฬุวัน เพื่อรองรับงานมาฆบูชาโลก ที่จะจัดให้มีขึ้นใน ๒๖-๒๘ กุมภาพันธ์นี้ ถนนทางเดินภายในเวฬุวันฯ ถูกปรับเป็นถนนซิเมนต์ ในวันนี้อาตมามีกุฏิหลังแรกที่วัดเวฬุวันฯ เรียบร้อยแล้ว เป็นกุฏิหลังแรกที่บูชาพระคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้าในวัดเวฬุวันมหาวิหารแห่งนี้
สภาพในวันนี้วัดเวฬุวันฯ ของพระพุทธเจ้าได้ถูกปรับปรุงพัฒนาให้เกิดสภาพใหม่อย่างสวยงามและที่สำคัญทางหน่วยงานราชการของอินเดียได้มาหารือว่า หากทางเรามีความประสงค์ เขาก็พร้อมจะทำเรื่องขอคืนพระพุทธรูปโบราณสมัยพระเจ้าอโศก จากพิพิธภัณฑ์กลับมาประดิษฐานที่เวฬุวัน โดยขอให้เราสร้างศาลาให้ ทางเราตอบตกลงด้วยความยินดีเพื่อบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าได้ประทานโอวาทปาฏิโมกข์เป็นหนึ่งวิหาร มีพระพุทธรูปเก่าแก่มาประดิษฐานไว้ ดร.อุปสัมปทา กล่าวว่า “ นับแต่ Forest monk – Guruji จากประเทศไทยมาพักอยู่ที่เวฬุวันฯ รัฐบาลของเขาได้ให้ความสำคัญกับตำบลเล็กๆแห่งนี้ หันมาทุ่มเทพัฒนาการวัดเวฬุวันฯ อย่างเข้มแข็งมากอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน”
จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่รัฐบาลอินเดียได้ให้การสนับสนุนการจัดงานมาฆบูชาโลกที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร นครราชคฤห์ (แคว้นมคธในอดีต) ในระหว่าวันที่ ๒๖- ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ จึงใคร่ของแจ้งข่าวสารสู่ศรัทธาชาวไทยสาธุชนทุกท่าน เพื่อร่วมอนุโมทนาสาธุการและมีส่วนร่วมในงานบุญดังกล่าว เพื่อทำการสืบอายุพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องต่อไป และหากพระสงฆ์ อุบาสก-อุบาสิกาคณะใดประสงค์ที่จะไปร่วมงานมาฆบูชา ณ วัดเวฬุวันฯ ในครั้งนี้ ก็สามารถติดต่อได้ที่ มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ถนนศรีอยุทธยา หรือจดหมายเข้ามาที “ธรรมส่องโลก” ก็ได้ จึงขอจบการบอกกล่าวเล่าเรื่องเพื่อร่วมกันอนุโมทนาสาธุการ ณ บัดนี้
ขอเจริญพร
พระอาจารย์อารยะวังโส
อ่านรายละเอียดตอนที่ผ่านมาได้ค่ะ
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๑ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344722
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๒ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344805
อ่านงานธรรมจักรบูชา อินเดีย ตอนที่ ๓ ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/354313
อ่านลิขิตธรรมของหลวงพ่ออารยะวังโส ได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/arayawangso/344511